2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว : เราเป็นเราที่ทำอะไรได้มากมายกว่านั้น

Highlights

  • 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว เป็นภาพยนตร์สารคดีตามติดชีวิตของตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย ตั้งแต่เริ่มคิดโครงการก้าวคนละก้าว ตลอด 55 วันที่ออกวิ่ง และหลังการวิ่งจบลงแล้ว เพื่อบอกเล่าแรงบันดาลใจจากตูนในฐานะคนธรรมดา
  • หนังบอกเล่ารายละเอียดแบบคนคลุกวงใน สอดแทรกฉากที่คนไม่เคยเห็น มีทั้งอารมณ์ขันและความซาบซึ้ง แต่จุดสำคัญที่เราสนใจคือ หนังกำลังพูดเรื่องความเป็นมนุษย์ การอยู่ภายใต้ข้อจำกัดบางประการแต่ยังไม่ยอมแพ้ และการขับเน้นมวลความรู้สึกของตูนและคนใกล้ชิดก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีพลังที่ตรึงผู้ชมได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์

1

ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ติดตามการไลฟ์สดของโครงการ ‘ก้าวคนละก้าว’ ไม่ได้ตามอ่านหนังสือที่เล่าเรื่องเบื้องหลัง แต่มีโอกาสได้พูดคุยกับคนบางกลุ่มที่คลุกคลีอยู่ในขบวนการวิ่งที่กลายเป็นประวัติศาสตร์สำคัญเรื่องหนึ่ง พวกเขาเหล่านั้นมักเอ่ยถ้อยคำคล้ายคลึงกันเมื่อเล่าถึงตูน ใจความมักหนีไม่พ้นพลังความมุ่งมั่น ทุ่มเท การให้ความสำคัญกับเด็กๆ และผู้ใหญ่สูงวัยที่มารอต้อนรับ แทบทุกคนพูดถึงหัวใจที่ ‘ใหญ่’ ของเขา

การงานเคยพาฉันไปเจอ ตูน บอดี้แสลม ในระยะใกล้ชิด ฉันจำได้ดีว่าการพบกันเปิดฉากด้วยการที่เขายกมือไหว้ฉัน (ที่อายุน้อยกว่ามากทั้งอายุจริงและอายุการงาน) จนรีบไหว้กลับแทบไม่ทัน ฟังเขาเล่าเรื่องการงาน (โดยไม่ลืมขอถ่ายรูปคู่) น้ำเสียงนุ่ม เนื้อหาที่กล่าว หรือท่าทีของเขา บ่งบอกว่าในมุมหนึ่งเขาไม่ได้อยากวางตัวเป็นซูเปอร์สตาร์ค้างฟ้าแต่อย่างใด

พอยิ่งเห็นสิ่งที่เขาทำผ่านการวิ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คำถามนึงที่เกิดขึ้นในใจคือ ใครจะเป็นคนดีได้ขนาดนี้ ประโยคนี้ไม่ได้ตั้งต้นจากอคติ แต่ฉัน ‘สงสัย’ จริงๆ

2

ฉันเฝ้ารอจะชมภาพยนตร์สารคดี 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว มาตั้งแต่ได้เห็นทีเซอร์ช่วงต้นปี ซึ่งว่ากันตามตรงแล้ว ด้วยความที่เรื่องราวของตูนถูกกระหน่ำเผยแพร่ในช่วงทำโครงการอย่างหนัก คนทำสื่ออาจเห็นมาแต่ไกลว่ายากนักที่จะหนีสิ่งที่เคยถูกบอกเล่ามาก่อน และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง เป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกเนื้อหาจะเป็นสิ่งสดใหม่ที่ทำให้ตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น

แต่หากจะมีบางสิ่งที่ทำให้ฉันถูกตรึงอยู่กับหนังเรื่องนี้ได้ทุกนาที มันน่าจะเป็นพลังความรู้สึกที่ส่งออกมาอย่างชัดเจน บางจังหวะก็ท่วมท้น

ไก่-ณฐพล บุญประกอบ ผู้กำกับใช้เวลาเกริ่นเรื่องราวและที่มาที่ไปเพียงน้อย ก่อนพาผู้ชมไปสำรวจมวลความรู้สึกแต่ละก้อนของตูนและคนใกล้ชิดรอบข้าง คู่ขนานไปกับเส้นทางการวิ่งจากจุดเริ่มต้นที่เบตงสู่แม่สาย

เริ่มต้นด้วยความฮึกเหิม ภาพชาวบ้านภาคใต้ออกมาต้อนรับอบอุ่นน่ารัก เหน็ดเหนื่อยกับการปะทะกับมวลมนุษย์มากมาย หงุดหงิดกับการแก้ปัญหารายทางของโครงการ เจ็บปวดกับร่างกายที่อ่อนล้า ท่องคำว่าอดทนซ้ำๆ จนลุล่วงสู่จุดหมายด้วยความปีติยินดี แน่ล่ะว่าฉัน (และทุกคนที่อยู่ในวงนอก) สามารถเขียนบรรยายสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นได้ใน 3 บรรทัด ทว่าภาพยนตร์ก็ค่อยๆ คลี่โมเมนต์รายละเอียดเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ออกมาให้เราเห็นอย่างแจ่มชัดมากขึ้น โดยใช้บทเพลงของบอดี้แสลมช่วยขับเน้นเมสเสจ

เนื้อหาไม่ได้ถูกหยิกยกมาเล่าอย่างยิ่งใหญ่และตั้งใจเชิดชู มันกำลังคุยกับเราบนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนรู้สึกร่วมกันได้

“เวลาผมเห็นเขานั่งซึม ผมรู้ว่าเขาไปเจออะไรมา” กบ-ขจรเดช พรมรักษา (นักแต่งเพลงผู้อยู่เบื้องหลังเพลงของบอดี้แสลมมากมาย) เล่าถึงภาวะเซื่องซึมของตูนหลังแสดงคอนเสิร์ตจบ เขาอธิบายว่าการรับมือคนเรือนพันเรือนหมื่นไม่ใช่เรื่องง่าย คล้ายการยืนปะทะคลื่นถาโถมแต่เพียงผู้เดียว และฉันก็เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เช่นนี้ทำให้ภายในใจของคนเราเปราะบางและแตกสลายได้ มวลความรู้สึกนั้นเองทำให้เกิดเนื้อหาในเพลง ‘เปราะบาง’ ที่ว่า จากคนร้อยพันที่ยืนใกล้กัน กลับรู้สึกว่าไกลแสนไกล

อะไรมันหายไปจากหัวใจของเรา… ฉันต่อประโยคเนื้อเพลงในใจ ดนตรีให้ทุกสิ่งกับเขา แต่ส่วนหนึ่งข้างในก็ยังเว้าแหว่ง พอลองแทนที่คำว่า ‘ดนตรี’ ด้วยสิ่งที่เรามี เราเป็น ฉันก็รู้สึกเชื่อมโยงกับความว่างเปล่านั้นขึ้นมา ในมนุษย์บางประเภทก็คล้ายว่าเราจะมีต้นทุนทางความรู้สึกในการใช้ชีวิตมากกว่าคนอื่น และบังเอิญว่าผู้ชายคนนี้ก็เป็นเช่นนั้น การออกมาวิ่งจึงไม่ใช่แค่เรื่องอยากเป็นคนดีช่วยเหลือคนอื่น มันคือการสร้างสมดุลให้ชีวิตของเขาเองด้วย

ไม่ใช่ว่าเมื่ออยู่บนเวทีเขาไม่มีความสุข แต่ตำแหน่งที่ยืนก็พรากความเป็นคนธรรมดาบางอย่างไปจากเขาตลอดกาล ขณะที่ในภาพชาวบ้านที่ออกมาต้อนรับ มือไม้ที่สัมผัสกัน รอยยิ้มที่ให้กัน ตูนในวันนั้นคือคนธรรมดาคนหนึ่งที่อยากทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จและผู้คนมากมายก็มาให้พลังเขาแก่เขา ความสุขนั้นแม้แต่เราที่เป็นผู้ชมยังสัมผัสได้

ประเด็นหนึ่งที่หนังแตะไปถึงคือคำถามที่ว่า สิ่งที่ตูนทำนั้นดีจริงไหมในเมื่อมันยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ระบบได้ ในคำตอบที่หนังมอบให้ เราไม่ได้เห็นตัวเลขสถิติมายืนยัน ไม่ได้เห็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาพูดขอบคุณ หนังแค่พาเราไปเห็นชีวิตคนไข้คนหนึ่งที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการวิ่งที่บางสะพาน ได้รับฟังเรื่องราวตั้งแต่วันเกิดอุบัติเหตุทำให้เธอเดินไม่ได้ จนถึงวันที่ตูนกลับมาวิ่งอีกครั้งและทั้งคู่ได้เจอกัน เธอนั่งอยู่บนวีลแชร์

“สัญญานะว่าเจอกันอีกครั้งจะเดินให้ได้” ชายตรงหน้าบอกเธอ เธอยิ้มแต่ยังไม่พยักหน้ารับปากเต็มที่ ภาพบางช่วงตัดสลับไป-มาระหว่างเด็กหญิงที่เจ็บปวดจากร่างกาย ถูกถั่งโถมด้วยความท้อแท้ผิดหวังกับชีวิต กับตูนที่ปวดร้าวอย่างมากจากการออกวิ่งและทำกายภาพ

ฉันท้อแท้สักกี่ทียังมีหวัง แม้พลาดพลั้งสักกี่ครั้งยังฝันไกล แม้ฉันล้มฉันก็คงไม่ตาย ฉันยังไม่ตาย ฉันยังคงหายใจ  เสียงเพลงดังขึ้นเช่นนั้น พลันแล้วก็รับรสน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

ทางออกที่สมบูรณ์แบบของปัญหาไม่อาจสร้างได้ด้วยตัวคนเดียว บางครั้งการดำรงอยู่ท่ามกลาง ‘ระบบ’ หรือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้บางประการของชีวิต ก็ทำให้เราอยากทอดอาลัย ปลดปลง ยอมแพ้ เพราะมองไม่เห็นทางที่จะดีขึ้นกว่าวันนี้ แต่ตูนก็เพียงอธิบายสั้นๆ ว่า ในระหว่างที่เราเถียงกันว่าอะไรดีหรือไม่ดี ‘ชีวิตจริง’ ของใครบางคนอย่างเด็กสาวตรงหน้ากำลังดำเนินไป และเขาเพียงอยากลงมือทำอะไรให้ได้สักอย่าง

ในก้าวย่างการหัดเดินที่แสนทรมานของเด็กสาว ในก้าวย่างที่เขาพยุงตัวเองไปให้ถึงจุดหมาย ในก้าวย่างที่ยากลำบากของเราทุกคน ใช่-มันขมปร่า แต่ภาพตรงหน้าก็ยืนยันข้อความซ้ำๆ ที่สะเทือนถึงข้างในว่า แม้เราจะอยู่ในสภาพนี้ ขอให้เรายังมีหวัง ขอให้เรายังมีหวัง ลงมือทำเถอะ อะไรที่ทำได้ เพื่อตัวเราเองและเพื่อคนอื่นด้วย

และเมื่อนั้นเราอาจรู้สึกตัวก็ได้ว่า หัวใจอันเว้าแหว่งข้างใน แท้จริงแล้วมันยิ่งใหญ่กว่าที่ตัวเองเคยคิด

3

ฉันชอบฉากที่ทีมงานตามไปถ่ายชีวิตตูนหลังเขาวิ่งจบและกลับมาถึงบ้าน โมเมนต์หลังเราได้พิชิตภารกิจแสนยากและทุกอย่างจบลง มันมักเป็นโมเมนต์ที่ในใจรู้สึกแปลกประหลาด คล้ายจะสุขใจ คล้ายจะโล่งใจ และคล้ายจะว่างเปล่า

ชีวิตของตูนและพวกเราทุกคน จบลงและเริ่มใหม่ทุกวัน บางครั้งผ่านเรื่องยากและมีบทสรุปแฮปปี้เอนดิ้งไม่ทันไร ชีวิตก็ตั้งยอดเขาสูงชันยอดใหม่ไว้ให้ปีน (อีกแล้ว) เราจะไม่มีวันได้ตามทุกสิ่งที่ต้องการ ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะพังทลายลงไปวันไหน ต้องกอบกู้เรี่ยวแรงไปต่อสู้อีกแค่ไหน

เราเพียงทำให้ดีเท่าที่เราทำได้ ก็เรายังหายใจ–จะเลือกทางเดินไหนได้อีก คิดแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ต่อให้วันนั้นผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่ออาทิวราห์วิ่งไปไม่ถึงจุดหมายที่แม่สาย สำหรับฉันแล้ว เมสเสจที่หนังอยากสื่อสารไม่ได้หายไปไหนเลย ชีวิตเป็นเช่นที่เขาบอก สิ่งใดที่เราได้ลงมือทำอย่างภาคภูมิ มันคืออนุสาวรีย์ในใจที่ไม่มีใครแย่งไปได้

สิ่งนั้นต่างหากที่จะอยู่กับเราไปจนวันสุดท้าย–หาใช่คราบน้ำตาของวันนี้

ภาพยนตร์เรื่อง 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว เปิดให้ชมฟรี 6-16 กันยายนนี้ ที่โรงภาพยนตร์ทั่วประเทศไทย หลังชมแล้วสามารถบริจาคเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่อาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ติดตามช่องทางการบริจาคได้ที่เพจ ก้าว

AUTHOR