ทาคะชิ ยามาซากิ : ผู้กำกับ Always หนังในดวงใจของชาวญี่ปุ่น 2/2

ตัวละครในเรื่อง
Always เหมือนจะเป็นตัวแทนคนญี่ปุ่นประเภทต่างๆ
เป็นความตั้งใจของคุณหรือเปล่า
ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวแทนของคนญี่ปุ่นในยุคนั้นจริงหรือเปล่า
เพราะผมไม่เคยเจอคนจริงๆ ในยุคนั้น ผมยังไม่เกิด (หัวเราะ) แต่ก็น่าจะใช่
เพราะตัวละครทั้งหมดสร้างขึ้นมาจากเรื่องที่ได้ยินคนเล่ามาอีกทีว่ามีคนแบบนี้อยู่
จึงไม่น่าจะต่างจากเรื่องจริงมากนัก

ในฐานะของคนดู
คุณประทับใจตัวละครตัวไหนเป็นพิเศษ
ยากจัง
ผมชอบทุกคน (หัวเราะ) ผมชอบคุณแม่
นักแสดงเขาเติมรายละเอียดเข้าไปทำให้ตัวละครตัวนี้สมบูรณ์ขึ้น ลูกชายก็ดี
ลูกสาวก็ดี ผมชอบทุกคนน่ะ นักแสดงคนที่เล่นเป็นแม่เขาเคยเป็นไอดอลมาก่อนสมัยที่ผมเรียนมัธยมปลาย
ตอนที่กำลังคัดเลือกนักแสดงผมก็พูดเล่นๆ ว่าอยากเจอ ก็เลยเลือกเขาแล้วเขาก็โอเค
ถือเป็นการลองเล่นบทบาทอีกแบบหนึ่งของเขาด้วย
หลังจากที่เล่นเรื่องนี้เลยกลับมาดังมากอีกครั้ง ผมดีใจมากที่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของไอดอลของผมได้
(หัวเราะ)

คุณได้ไอเดียฉากที่นักเขียนเอากล่องแหวนเปล่าๆ
ไปขอแต่งงานมาจากไหน
ตอนแรกผมเขียนบทให้นางเอกตัดใจจากนักเขียน
เพราะนางเอกคิดไปเองว่าถูกปฏิเสธความรัก ก็เลยจะกลับไปคืนดีกับคุณหมอ
แต่มีทีมงานผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่ารู้สึกไม่ดีกับฉากนี้เพราะรู้สึกเหมือนนางเอกเป็นคนเจ้าชู้
ยังไงก็ไม่อยากให้นางเอกเปลี่ยนใจและต้องลงเอยกับนักเขียน
ก็เลยคิดกันต่อว่าจะให้นักเขียนขอแต่งงานกับนางเอกได้ยังไง เพราะนักเขียนไม่มีเงิน
พรุ่งนี้ต้องถ่ายฉากนี้แล้ว ตอนกลางคืนยังคิดกันไม่ออกเลย ทีมงานเครียดกันมาก
สุดท้ายก็ออกมาแบบนี้ คนดูผู้หญิงชอบฉากนี้กันมาก แต่พอรู้ที่มาแล้วอาจจะชอบน้อยลง
(หัวเราะ)

ทีมงานของคุณสนุกกับการหาของเก่ามาประกอบฉากไหม
มันเป็นเรื่องลำบากมาก
เพราะของที่เราต้องการเป็นของที่เก่าและไม่ค่อยมีชิ้นที่อยู่ในสภาพดีเหมือนใหม่
ก็ต้องไปขอจากนักสะสม ตั้งแต่ของเล็กๆ ไปจนถึงรถยนต์
เรื่องนี้เลยเป็นที่ชุมนุมของของสะสม ของที่เราเห็นวางประกอบฉากเหมือนจะวางไว้เฉยๆ
ไม่ได้สำคัญอะไร แต่จริงๆ แล้วมันเป็นของสะสมที่มีราคาแพงมาก
และเจ้าของเขาก็หวงมาก
ของที่อยู่ในร้านซูซูกิออโต้เราหาจากร้านทั่วญี่ปุ่นไม่ได้เลย แล้วบังเอิญว่าคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้เขาต้องมาที่เมืองไทยพอดี
เขาลองถามหาในเมืองไทย ก็เลยได้จากในประเทศไทย ต้องขอบคุณประเทศไทยมาก (หัวเราะ)

ถ้าลองนึกย้อนไปช่วงที่กำลังทำเรื่อง
Always ความทรงจำแรกที่คุณนึกถึงคืออะไร
ตอนนี้ในหัวผมมีแต่เรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่
(หัวเราะ) ถ้าเป็นเรื่อง Always ผมนึกถึงตอนที่คนดูหัวเราะและร้องไห้
เพราะตอนแรกผมไม่คิดเลยว่าคนดูจะอินขนาดนี้

การที่หนังเรื่องนี้ได้ถึง
12 รางวัลจากเวทีการประกวดเดียวถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายไหม
ผมไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องนี้จะได้รางวัล
เพราะผมทำหนังรางวัลไม่เป็น แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำหนังเพื่อรางวัลด้วย ผมไม่คิดว่าจะได้รางวัลเยอะขนาดนี้เหมือนกัน
ก็ยังงงอยู่ แต่ผมก็ดีใจ ผมรู้ว่ามีคนชอบหนังเรื่องนี้เยอะ
แล้วก็มีคนทั่วญี่ปุ่นติดตามลุ้นผลการประกาศรางวัลทางโทรทัศน์ พอหนังผมได้รางวัล
ทุกคนก็ดีใจ ผมก็ดีใจ เหมือนได้ให้ของขวัญกับแฟนๆ ของผม

อะไรทำให้ Always ได้รางวัลเยอะขนาดนี้
อาจเป็นเพราะคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้กำกับที่อายุมากแล้ว
เขาเลยชอบ (หัวเราะ)

ทราบว่าคุณได้นาฬิกาข้อมือจากการทำหนังเรื่องนี้ด้วย
ที่มาเป็นอย่างไรหรือ
ก็ไม่มีอะไรหรอก
ตอนนั้นผมคุยงานกับโปรดิวเซอร์อยู่ แล้วก็มีเรื่องนึงที่ไม่แน่ใจก็เลยเถียงกัน
ผมว่าของผมน่ะถูก เขาก็ว่าของเขาถูก ผมก็เลยบอกว่า ถ้าผมถูกต้องให้นาฬิกาผมนะ
โปรดิวเซอร์ก็บอกว่าได้สิ แล้วพอเช็กข้อมูลผมเป็นฝ่ายถูก ก็เลยได้นาฬิกามาเป็นเรือนที่ใส่อยู่ตอนนี้แหละ แพงด้วย

ยี่ห้ออะไร
(มองนาฬิกาสักครู่)
โรเล็กซ์ (หัวเราะ) โปรดิวเซอร์บอกผมว่า การให้นาฬิกาผมเป็นเรื่องที่ดี
ผมก็บอกเขาว่า ไม่ใช่ๆ คุณแพ้พนันผมต่างหาก (หัวเราะ)

ตอนนี้คุณเห็นโตเกียวทาวเวอร์แล้วรู้สึกอะไรบ้าง
ผมรู้สึกว่าโตเกียวทาวเวอร์เป็นของผมด้วย
เพราะผมคิดว่าโตเกียวทาวเวอร์เป็นตัวละครตัวหนึ่งของผม
มันมีความสำคัญมากเท่ากับตัวละครอื่นๆ ในเรื่อง
ตอนนี้เวลาเห็นโตเกียวทาวเวอร์ ผมเลยรู้สึกเหมือนมันเป็นของผม

ถ้าคนต่างชาติคนหนึ่งมีเวลาเที่ยวโตเกียวแค่วันเดียวแล้วอยากรู้จักโตเกียว
คุณว่าเขาควรไปที่ไหนดี
ถ้าตอบให้เข้ากับหนัง
ผมก็แนะนำให้ไปที่รบปงงิฮิลล์เพื่อมองโตเกียวทาวเวอร์จากที่นั่น รอบๆ
จะเป็นต้นไม้เขียวๆ มีโตเกียวทาวเวอร์สีแดงอยู่ตรงกลาง สวยมาก

จากยุคโชวะถึงปัจจุบัน
คุณว่าคนญี่ปุ่นเปลี่ยนไปในเรื่องไหนมากที่สุด
วิธีการสื่อสารของคนอาจจะเปลี่ยนไป
คนไม่สนิทกับคนรอบข้าง ห่างเหินกันมากขึ้น มีความรู้สึกว่าอยู่คนเดียวเท่กว่า
เนื้อหาในนิตยสารก็เขียนทำนองว่าอยู่คนเดียวเท่กว่า ไปกินข้าวคนเดียว
เที่ยวคนเดียว นอกนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแล้ว บรรยากาศโดยรวมก็ไม่เปลี่ยน แล้วผมก็หวังว่าบรรยากาศหลักๆ
ในหนังจะไม่เปลี่ยนไปด้วย เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าสังคมคงเปลี่ยนไปเยอะ
แต่ถ้ามันเปลี่ยนไปเยอะจริง Always คงไม่ได้ดังขนาดนี้
เพราะคนดูทุกคนสามารถเข้าใจนิสัยคนในหนังได้

ญี่ปุ่นเปลี่ยนไปแต่บ้านเมือง
แต่ความเป็นญี่ปุ่นในตัวคนญี่ปุ่นยังเหมือนเดิม
ใช่

คาแรกเตอร์หลักของคนญี่ปุ่นคืออะไร
นิสัยดี
(หัวเราะ) ถ้าให้คนต่างชาติมองคงง่าย แต่ผมเป็นคนญี่ปุ่นคงตอบยาก
คนญี่ปุ่นมีความเอาจริงเอาจังมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ดีหรือไม่ดี ถ้าใช้ความจริงจังนั้นไปในทางที่ดีมันก็ดี
แต่ถ้าใช้ในทางที่แย่มันก็แย่ คนญี่ปุ่นหัวแข็ง ผมอยากให้คนญี่ปุ่นสนุกสนานกว่านี้
ดูจากคนรุ่นพ่อแม่ของผม สิ่งสำคัญของคนญี่ปุ่นคือความเชื่อใจกัน
แต่คนสมัยนี้ไม่รู้สึกว่ามันสำคัญเท่าในอดีตแล้ว ผมคิดว่าถ้าเราจะทำอะไรก็น่าจะเริ่มจากความเชื่อใจ
ตอนนี้คนรู้สึกว่าความเชื่อใจกันไม่สำคัญ
ถ้าเป็นแบบนี้เราก็จะไม่เชื่อใจกันทั้งชีวิต
ผมหวังว่าคนสมัยนี้จะกลับมาเชื่อใจกันได้อีกครั้ง

ถ้าอีก 20
ปีข้างหน้าคุณต้องทำหนังสักเรื่องที่พูดถึงสังคมญี่ปุ่นในยุคนี้ มันจะออกมายังไง
ถ้ายุคนี้จะกลายเป็นหนังเหรอ
มันก็ขึ้นกับสิ่งที่ประเทศนี้เป็นในอีก 20 ปีข้างหน้า
มันจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะมองยุคนี้อย่างไร แต่ไม่ว่ายังไงผมก็อยากทำหนังที่บอกว่ายุคนี้เป็นยุคที่ดี

ยุคนี้เราจะใช้อะไรเป็นสัญลักษณ์แทนโตเกียวทาวเวอร์ดี
คงยังเป็นโตเกียวทาวเวอร์เหมือนเดิม
ตอนนี้ถึงเราจะมีตึกสวยๆ อย่างตึกที่ว่าการเมืองโตเกียว หรือตึกอื่นๆ
ซึ่งมีเยอะมาก แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว
สัญลักษณ์ของโตเกียวก็ยังเป็นโตเกียวทาวเวอร์เหมือนเดิม
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สิ่งอื่นแทน ถึงจะมีสิ่งที่ดีกว่าหรือใหญ่กว่าสักแค่ไหน
แต่สัญลักษณ์ของโตเกียวในจิตใจคนก็ยังเป็นโตเกียวทาวเวอร์
โตเกียวทาวเวอร์สร้างในช่วงที่ประเทศกำลังยากจนมาก เวลาที่เราจนมากๆ
แล้วซื้อของที่สำคัญสักชิ้น มันจะกลายเป็นของที่มีค่ามาก
หลังจากนั้นเมื่อเรารวยแล้วซื้ออะไรอย่างอื่น แม้ว่าจะแพงกว่าแต่ก็จะไม่มีทางสำคัญเท่าของที่เราซื้อในวันที่เรายังจนอยู่

ความฝันของคนโตเกียวยุคนี้คืออะไร
อยากออกไปอยู่ต่างจังหวัด
ถ้าสามารถทำได้นะ ในโตเกียวมันมีข้อมูลมากไป
เราคงอยากไปอยู่ในที่ที่มีข้อมูลน้อยลง ไม่ต้องมีอะไรมากมายเข้ามา
คนต่างจังหวัดอยากเข้ามาอยู่ในเมือง คนเมืองก็อยากไปอยู่ต่างจังหวัด แต่ถ้าไปแล้วอาจจะเบื่อก็ได้เพราะมันไม่มีอะไรเลย
ถ้าได้ไปก็อาจจะอยากกลับมา

คุณทำฉากก็อตซิลล่าถล่มเมืองในช่วงต้นของ
Always ภาคสองได้ดีมากๆ คุณอยากจะเอา ก็อตซิลล่า
มารีเมกไหม น่าจะออกมาดีกว่าฮอลลีวู้ดแน่ๆ
(หัวเราะ)
เรื่องอยากน่ะอยากแน่ แต่นายทุนคงเป็นห่วงเพราะต้องใช้งบประมาณสูงแน่ๆ
ไม่รู้ว่าจะคุ้มกันหรือเปล่า ที่คุณเห็นใน Always มันเป็นแค่ฉากเปิดสั้นๆ
ก็เลยใส่ซีจีเข้าไปได้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นหนัง 2 ชั่วโมงคงลำบาก แต่ผมอยากทำนะ
ถ้าจะทำจริงๆ ก็ต้องเป็นเรื่องที่เกิดในยุคโชวะด้วย เพราะมันเป็นยุคเดียวกับก็อตซิลล่า
ถ้าให้ก็อตซิลล่าออกมาในยุคนี้คนก็ไม่กลัวแล้ว ถ้าจะทำจริงๆ คงใช้เงินเป็นสองเท่า
เพราะต้องทำทั้งฉากแบบ Always แล้วก็ทำก็อตซิลล่าอีก
มันคงยาก

หนังเรื่องต่อไปของคุณเป็นยังไงบ้าง
สุดยอดแน่ๆ
(หัวเราะ) คือ Always ไม่ใช่หนังที่ผมอยากทำนัก
แต่เรื่องต่อไปเป็นเรื่องที่ผมอยากทำมาก
มันเต็มไปด้วยความตั้งใจและความคิดทั้งหมดของผม
ส่วนใหญ่แล้วอะไรก็ตามที่ตัวเองตั้งใจทำมากๆ ใส่อารมณ์กับมันมากไป
มักมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวสูง ถ้าผมตั้งใจทำเรื่องนี้มากไปมันอาจเป๋ไปอีกแนวก็ได้
คงต้องหรี่ความตั้งใจลงหน่อย

เรื่องนี้เป็นหนังพีเรียดที่เกี่ยวกับสงคราม
ในยุคซามูไรช่วงที่ญี่ปุ่นเกิดสงคราม หนังแนวนี้มีเยอะ แต่ก็พูดแค่ใครสู้กับใคร
เมื่อไหร่ ยังไง แต่ผมอยากจะทำให้เห็นว่าการต่อสู้กันที่แท้จริงเป็นยังไง
ยุคนั้นคนแต่ละชนชั้นต้องอยู่กับคนชนชั้นเดียวกัน ไม่มีทางมีความรักข้ามชนชั้น
ผมอยากทำหนังที่ว่าด้วยรักข้ามชนชั้นในยุคสงคราม แบบที่ดูแล้วร้องไห้เยอะๆ

ชอบทำให้คนดูร้องไห้เหรอ
(หัวเราะ)
ผมชอบหนังที่ดูแล้วรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของอารมณ์
ดูแล้วมีอารมณ์ร่วมขึ้นลงเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ ก็เลยอยากทำหนังให้คนดูดูแล้วรู้สึกมากๆ
ความเคลื่อนไหวทางอารมณ์เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรายังมีชีวิตอยู่
นี่คือสิ่งที่ผมอยากให้คนดูได้กลับไปจากการดูหนังความยาว 2 ชั่วโมง

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าชอบทำงานกับคนที่มีพรสวรรค์
และไม่ชอบทำงานกับคนที่ไม่มีพรสวรรค์ ทำไม
ผมคิดว่าผมเป็นคนทำซีจีที่เก่งนะ
เวลาที่ผมทำงานซีจีหรืองานออกแบบให้คนอื่นผมก็ทำงานที่ดี
ผมก็เลยรับไม่ได้ที่จะให้คนที่ไม่เก่งมาทำงานให้ผม ผมอยากให้คนที่ผมยอมแพ้เขา
คือเขาเก่งกว่าผม มาทำงานสำคัญให้ผม ผมแค่นั่งเฉยๆ งานก็สามารถเดินไปได้เอง
ซึ่งมันจะเป็นอย่างนั้นได้ถ้าได้คนเก่งมาทำให้

ถ้าคุณต้องทำ
Always ภาคสาม
เรื่องจะเป็นยังไง
เจ้าของร้านซูซูกิออโต้ในเรื่องกับพ่อของผมเกิดปีเดียวกัน
ภรรยาของผมกับผมก็เกิดปี 1964 เหมือนกัน เป็นปีที่โตเกียวจัดโอลิมปิก
ผมคงอยากทำช่วงเวลานั้น คนดูจะได้เห็นปีที่ผมเกิดพอดี แต่ผมคงไม่ทำ เพราะ The God father,
Terminator, Alien
และ Back to the Future เป็นเรื่องที่ดีถึงแค่ภาคสอง
พอถึงภาคสามก็ไม่ดีแล้ว

ทำตอนปี
2016 สิ โตเกียวจัดโอลิมปิกพอดี
(หัวเราะ)

“ผมชอบหนังที่ดูแล้วรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของอารมณ์
มันคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรายังมีชีวิตอยู่”

คลิกอ่านบทสัมภาษณ์ตอนอื่นๆ ได้ที่นี่

ตอนที่ 1

(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 99 พฤศจิกายน 2551)

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ล่าม อาภากร อิโซ

AUTHOR