ปีนี้สอนให้รู้ว่า “ไม่มีอะไรไปหยุดอาชีพเราได้ ถ้าเราไม่หยุด” – กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่

Highlights

  • ปีที่แล้ว กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ หรือ F.HERO ประกาศว่าจะออกจากบ้านอย่างค่ายก้านคอคลับมาเติบโตด้วยตัวเอง พร้อมกับเตรียมออกอัลบั้มแรกในชีวิตหลังทำงานในวงการมา 17 ปี
  • ผ่านไป 1 ปี INTO THE NEW ERA อัลบั้มแรกของแรปเปอร์คนนี้ก็ปรากฏออกสู่สายตาของทุกคนเป็นครั้งแรก ซึ่งอัดแน่นไปด้วย 32 บทเพลง และมีศิลปินมาร่วมสร้างสรรค์ผลงานกว่า 51 ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นแอ๊ด คาราบาว, ไข่ มาลีฮวนน่า, ปู พงษ์สิทธิ์, อิ้งค์ วรันธร, โอม Cocktail, KH, TWOPEE, YOUNGOHM ฯลฯ
  • ปีนี้เขายังได้ร่วมทำงานกับศิลปินต่างประเทศถึง 2 ครั้ง ทั้งวงไอดอลเมทัลจากญี่ปุ่นอย่าง BABYMETAL และแบมแบม GOT7 ในอัลบั้มของเขาเอง
  • แม้ใครหลายคนจะบอกว่านี่คือความสำเร็จของเขา แต่เจ้าตัวกลับมองว่านี่คือบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิตที่จะทำให้เขาได้เรียนรู้และทำงานในวงการฮิปฮอปนี้ต่อไป

ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว นับจากวันแรกที่ กอล์ฟ–ณัฐวุฒิ ศรีหมอก ประกาศออกจากบ้านหลังเก่าอย่างก้านคอคลับเพื่อมาเติบโตด้วยตัวเอง เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เรากำลังทำ a day 217 ฉบับ The Rise of Thai Rap เราจึงมีโอกาสไปคุยกับเขาในช่วงที่กอล์ฟอุทิศเวลาทั้งหมดที่มีให้กับการทำงานในสตูดิโอ      

ผ่านมา 1 ปีในที่สุด INTO THE NEW ERA อัลบั้มชุดแรกในรอบ 17 ปีของการทำงานของชายคนนี้ก็ปล่อยออกมา ในฐานะคนที่ติดตามความเคลื่อนไหวของศิลปินคนนี้มาเสมอ เรากล้าเรียกได้ว่านี่คือผลงานที่ผ่านการทำงานอย่างหนักตลอดปีของกอล์ฟ 

และคงไม่ใช่เราเพียงคนเดียวที่เห็นด้วยว่าเขาตั้งใจจริง เพราะทุกผลงานและรางวัลที่แรปเปอร์คนนี้ได้รับเป็นเครื่องยืนยันว่า นี่คือความสำเร็จของการเติบโตด้วยตัวเองของชายวัย 37 ปี

ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานกับวงไอดอลเมทัลจากญี่ปุ่นอย่าง BABYMETAL ในเพลง PA PA YA!! ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา หรือการได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ศิลปินสุดฮิตในปี 2019 จากการจัดอันดับของ JOOX ด้วยยอดผู้ฟังจำนวน 1.5 ล้านคน

และตลอดปีนี้เขายังมียอดสตรีมมิงบน Spotify กว่า 13.5 ล้านครั้ง พร้อมผู้ฟังกว่า 78 ประเทศทั่วโลก ยอดวิวรวมจาก 8 เอ็มวีทั้งหมด 360 กว่าล้านวิว 

ที่สำคัญคืออัลบั้ม INTO THE NEW ERA จำนวน  2,050 ชุดที่อัดแน่นไปด้วย 32 บทเพลง พร้อมการร่วมงานกับศิลปินหลากหลายรูปแบบกว่า 51 ชีวิต ตอนนี้ขายหมดเรียบร้อยแล้ว

แม้นี่จะเป็นตัวเลขที่เป็นมาตรวัดว่าเขาเป็นศิลปินคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จไม่น้อยในปีนี้ แต่สำหรับแรปเปอร์ที่อยู่ในวงการมา 17 ปีอย่างกอล์ฟกลับคิดว่านี่เป็นขั้นแรกของการเริ่มต้น และยังยกให้อัลบั้มแรกในชีวิตเป็นครูและบทเรียนครั้งสำคัญในการเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเขา  

หนึ่งปีที่ผ่านมาเขาเรียนรู้อะไรจาก INTO THE NEW ERA ลองไปฟังคำตอบจากเขากัน

ปีที่แล้วเราเพิ่งมีโอกาสคุยกับคุณในช่วงที่กำลังทำอัลบั้มอยู่ มาถึงปีนี้ที่ผลงานของคุณออกมาแล้ว เราคิดว่าคุณประสบความสำเร็จไม่น้อย สำหรับคุณเองตอนนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง

ขั้นหนึ่งนะครับ เป็นขั้นแรกของการเริ่มต้น เพราะจริงๆ แล้วเราวางแพลนไว้ว่าจะทำทั้งหมด 3 อัลบั้ม ตอนนี้เราเพิ่งเสร็จแค่ขั้นเดียว แต่ว่าเงินหมดเสียก่อน เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลาอีกหลายปีเหมือนกันกว่าจะไปในอัลบั้มที่ 2 จริงๆ มีแพลนในหัวแล้วว่าอยากทำอะไรต่ออีกสองอัลบั้ม แต่รู้ว่ามันต้องใช้เงิน ใช้เวลาเยอะ ก็เลยพักก่อน พักมาทำร้าน พักไปทัวร์คอนเสิร์ต พักไปขายเสื้อ พักแล้วเดี๋ยวเก็บเงินไปทำ

 

ก่อนหน้าที่ INTO THE NEW ERA จะออกมา คุณเคยบอกว่าอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่จะผิดพลาด เล่าได้ไหมว่าคุณผิดพลาดอะไรมาบ้าง

ใช่ เต็มไปหมดเลยเรื่องข้อผิดพลาด (ตอบทันที) โห กว่าจะเสร็จ เรารู้เลยว่ารอบนี้มันเหมือนครูเลย เหมือนห้องเรียนห้องใหญ่ โดยเฉพาะตอน post-production การตามเครดิต การเขียนเนื้อเพลง มันหนักมาก การมิกซ์มาสเตอร์อีก เรื่องพวกนี้ต้องเผื่อเวลาไว้ก่อนเลย มันเป็นศิลปะ

เราได้เรียนรู้การทำงานกับค่ายว่าต้องเผื่อเวลาตัดขอบให้เขาเพราะเขามีแผนโปรโมต เพราะฉะนั้นเราจะเอาแต่ตัวเราเสร็จแล้วเสร็จเลยไม่ได้ น้องๆ ในค่ายโดนไล่บี้กันมา ผู้จัดการเราช่วงนั้นเหนื่อยเลย จนพี่บอล (ต่อพงศ์ จันทบุบผา) ด่าว่ากอล์ฟทำงานอย่างนี้ไม่ได้ เราก็บอกว่าเราไม่รู้ เราไม่เคยทำงานกับค่าย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าถึงเราจะเป็นอัลบั้มชายเดี่ยว แต่เราไม่ได้ทำงานคนเดียวเหมือนชื่ออัลบั้ม เพราะฉะนั้นอย่าคิดถึงแต่ตัวเองว่าเขียนเพลงแล้วจบ

อย่างในช่วงทำเพลงก็ผิดพลาดเยอะเหมือนกัน อัลบั้มที่เราได้เห็นมี 32 เพลงใช่ไหมครับ แต่จริงๆ เราทำมาเกือบ 50-60 เพลงเลยครับ อันนี้คือผิดพลาดจนไม่รู้จะผิดยังไงแล้ว อันนู้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี ตอนจะวางเพลงในอัลบั้มให้คนฟังแล้วสมูทเราก็เลือกเพลงไปเรียงเหมือนต่อจิ๊กซอว์ มันเลยมีความรู้สึกที่เพลงนั้นก็เสียดาย เพลงนี้ก็เสียดาย จับยัดยังไงดี อย่างบางเพลงเป็นเรื่องการเมืองก็รู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลาใส่ลงไป สุดท้ายก็ทิ้งกันไปตั้งเยอะ พอได้อัลบั้มที่สมบูรณ์แล้ว หันกลับมาดูเหลือจิ๊กซอว์อีกเพียบเลยที่ไม่ได้ใช้ ไอ้พวกนี้คือทำมาไม่พอดี เปลืองเงินเปลืองทอง ถ้าเกิดจัดการวางแผนสักหน่อยอาจจะไม่ต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้ นี่แสดงว่าเรื่องการวางแผนสำคัญ

 

แล้วคุณเสียดายไหม

ไม่ครับ เรารู้สึกว่าเป็นขั้นที่ต้องผ่านเพราะไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับบทเรียนนี้เลย อันนี้ถือว่าเป็นค่าครู เราจ่ายไปแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างคุ้มหมดเลยไอ้ที่ผิดพลาดไป แล้วเก่งภายใน 2 ปีนี้ให้ได้ 

อีกอย่างงานชิ้นนี้เราไม่ได้ทำเพื่อเงินอยู่แล้ว แต่เราทำเพื่อตัวเอง เพื่ออีโก้ตัวเอง เป็นงานเอาแต่ใจตัวเอง คือลงทุนไป 4 ล้านกว่าบาททำยังไงมันก็ไม่ได้กำไร แต่มันก็ต้องทำ เหมือนที่เขียนไว้ในเพลง F.HERO ที่คนบอกว่า ไอ้เหี้ย มึงไม่เก่ง แล้วเราก็บอกว่า อ๋อเหรอ เดี๋ยวทำให้ดู ปลายยอดของอัลบั้มนี้มันคือ F.HERO 

เพราะฉะนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงิน มันเกี่ยวกับเรื่องต้องเสร็จเว้ย เพราะอัลบั้มนี้เราตั้งใจทำให้มันเจ็บ ทำให้เครียด แล้วมันก็ทำให้เราเครียดได้ดีเลยล่ะ

คุณทำให้ตัวเองเครียดอย่างนี้ ระหว่างที่ทำอัลบั้มไม่มีช่วงที่เหนื่อยหรือท้อบ้างเหรอ

เหนื่อยตอน post-production แต่ว่าระหว่างทำมันก็สนุก แล้วเรารู้สึกว่าที่ที่เหมาะสมกับเราที่สุดคือในสตูดิโอเลย เราอยากอยู่ในนี้ อยากทำเพลงตลอด 

แต่ถามว่าช่วงท้อมีไหม มันก็มีช่วงก่อนทำเพลง Marathon โห เหนื่อย ไม่ไหว พอแล้ว กูเอาแค่นี้แล้วล่ะ จนไอ้เอ้ (สัณหภาส บุนนาค) มันก็ส่งเพลง Marathon ให้ฟัง แล้วแน็ป (ชนัทธา สายศิลา) มันก็อัดมา ‘กูจะไปต่อ กูจะไปต่อ’ เฮ้ย มาเลย ไหวๆ ไปๆ 

ดังนั้น จริงๆ จะเสร็จตั้งนานแล้ว (หัวเราะ) จะพอแล้วเพราะเหนื่อย จนแน็ปมาอัดให้ช่วงสุดท้ายที่จะวิ่งเข้าเส้นชัยพอดี เลยต้องไปต่อ ฮึดสุดท้ายแล้ว

พูดถึงเพลงในอัลบั้มคุณมีศิลปินมาร่วมงานหลากหลายมาก แต่ละเพลงที่ออกมาก็ดูเข้าใกล้สไตล์ของศิลปินคนนั้น แล้วอัลบั้มนี้ถือว่าเป็นตัวคุณไหม

อันนี้แหละคือตัวตนเรา (ตอบทันที) เพราะมันไม่มีใครทำอย่างนี้ได้ ตัวตนของเราเรารู้ว่าเราเป็นจอมยุทธที่อยู่ในหอคัมภีร์ เราคือไต้ซือกวาดลานที่รู้ว่ามีกระบวนท่าที่เก่งแน่ๆ แต่เราอยากศึกษากระบวนท่าอื่นๆ เพราะชอบเพลงแรปไทยมาก เราชอบฮิปฮอปไทยมากๆ เลยรู้สึกว่า โห อันนั้นก็ดีว่ะ อันนี้ก็ดีว่ะ ก็อยากลองใหม่หมดเลย ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะจบอยู่แค่นี้ 

แล้วเราก็เปรียบว่าเราคือน้ำ ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เปลี่ยนใส่ภาชนะไหนก็เป็นรูปทรงภาชนะนั้น เราไม่อยากจะไปจำกัดรูปทรงว่า เฮ้ย เราเก่งโอลด์สกูลมาก จะทำแค่นี้ ไม่ เรารู้สึกว่าอยากศึกษาไปเรื่อยๆ แล้วนี่คือตัวตนของเรา เราเป็นคนฟังเพลงเยอะมาก เราฟัง BNK, YENTED หรือ Safeplanet เราก็ฟัง ตอนนี้กำลังชอบ Plastic Plastic มาก ในขณะเดียวกันเราก็ฟัง 1MILL, P9D ร็อกเราก็ฟัง

เลยรู้สึกว่า เฮ้ย ถ้ายิ่งไปจำกัดว่าเราคืออะไรสักอย่างยิ่งไม่ใช่ ยิ่งจะรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเราจริงๆ คือมันก็จะเป็นตัวเราส่วนเดียว แล้วที่เหลือล่ะก็ไม่ใช่เราเลย เป็นอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นยิ่งไปกลัวว่าคนมาบอกว่าเราเป็นอะไรยิ่งไม่ใช่ ถ้าเกิดมีคนมาบอกว่า เฮ้ย นี่ไม่ใช่ตัวคุณ เราจะบอกว่า ไม่ นี่แหละตัวเรา นี่ต่างหากตัวเรา นี่ทั้งหมดคือตัวเรา ไม่เกี่ยงเลย เราทำเพลงอาร์ตหรือเพลงขายก็ได้ สนุกจะตาย

แต่หลายคนก็มีภาพจำว่าคุณเป็นแรปเปอร์เพื่อชีวิตมาโดยตลอด อย่างนี้มันยากไหมกับการทำลายภาพจำของคนอื่น

ไม่ต้องไปทำลายเขา ทำลายข้างในเราสิ อันนี้เป็นเรื่องยาก ทำลายเราที่ต้องกลัวเขามาว่า กำแพงที่เรามานั่งตั้ง กลัวว่าเขาจะคิดยังไงกับเรา ยอมรับเลยว่าตอนแรกจะทำอัลบั้มนี้ก็กลัว กลัวว่าถ้าทำเพลงขายที่เราไม่เคยทำแล้วมันจะยังไงวะ สุดท้ายแล้วชอบว่ะ ทุกวันนี้ก็เล่นแต่เพลงขาย (หัวเราะ)

แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้ในปีนี้ว่า การทำเพลงแมสกับเพลงอาร์ตมันไปด้วยกันได้ สองอย่างมันต้องพยุงกัน เราทำแมสเพื่อจะได้ไปทำอาร์ตได้ บอกเลยว่าถ้าไม่มี เสือสิ้นลาย ไปเล่นสด มันทำไม่สำเร็จหรอก

 

นึกถึงเพลง INTRO NO FEAR ที่คุณบอกว่า ‘กลัวความผิดพลาด กลัวที่จะออกมาจากกรอบเดิมๆ แต่ความกลัวไม่มีอยู่จริง ที่แห่งเดียวที่ความกลัวจะมีอยู่จริงได้คือในความคิดของกูเอง’

ใช่ เราเลยเอาไปคั่นตรงกลางระหว่างพาร์ต INTO กับ THE NEW ERA เราตกตะกอนเรื่องความกลัวนี้ได้เพราะตอนแรกเจอเรื่องน้ำก่อนแล้วเราก็รู้สึกว่า เออว่ะ มันอยู่ที่จะขังมันยังไง มันอยู่ที่จะขังมันในรูปทรงอะไร เราสร้างความกลัวขึ้นมาเอง กลัวมากเลย กลัวเฮียจะด่า ไปบอกเฮีย เฮียไม่ด่าว่ะ กลัวมากเลยที่ออกมาแล้วคนจะไม่ยอมรับ เฮ้ย อยู่ๆ ไปคนก็ยอมรับ ตอนทำเพลงกับแบมแบมก็กลัวคนนั้นจะด่า คนนี้จะด่า สุดท้ายก็ไม่ คือคิดไปเองหมดเลย 

ปีนี้ที่ได้เล่นคอนเสิร์ตของ BABYMETAL ก็กลัวมาก นอนไม่หลับเลย คือมันเป็นแดนที่เราไม่เคยก้าวเข้าไป เราไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเราจะทำยังไง พรุ่งนี้แฟนอินเตอร์เขาจะมาเยอะ เราต้องเล่นอะไร ครั้งล่าสุดตอนเป็นตัวแทนประเทศไทยเล่นคอนเสิร์ต Spotify แล้วเราต้องไปเล่นกับวงเกาหลี อันนั้นก็ยังกลัวมากๆ 

สุดท้ายแล้วมาคิดว่ามันก็ผ่านไปด้วยการเล่นอย่างที่เป็นเรามากที่สุด ไม่ต้องไปคิดมาก ถ้าจะโดนด่าก็โดน มันอาจมีเรื่องที่เราคิดว่าไม่ดีแล้วก็เกิดเรื่องนั้นตามมาจริงๆ นั่นแหละ แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไป  ถ้าเราเผชิญหน้ากับมันเดี๋ยวก็ผ่านไปเอง มันก็แค่งานคืนเดียว ตอนนั้นก็บอกตัวเองว่าพรุ่งนี้จบงาน Spotify ก็ต้องไปเล่นงานมิตซูฯ ต่อ ก็ไม่มีอะไรไปหยุดอาชีพเราได้อยู่ดีถ้าเราไม่หยุด

แสดงว่าหลายเพลงในอัลบั้มนี้คุณทำลายความกลัวออกมาจากคอมฟอร์ตโซนเยอะมาก

ใช่ครับ เช่น การใช้ออโต้จูนนี่สนุกมาก ไปทำออโต้จูนที่บ้านเต๋า URBOYTJ (จิรายุทธ ผโลประการ) เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย มันก็บอกว่า ‘ออโต้จูนต้องร้องให้เหน่อนิดหนึ่งครับพี่’ ยากมาก เราเลยรู้สึกว่าไม่ควรดูถูกคนที่เราทำอย่างเขาไม่ได้ คือมันเป็นอีกศาสตร์ของเด็กเขา พอเราทำไม่ได้เราจะบอกว่าศาสตร์ของเราดีกว่าของเขาก็ไม่ใช่ ศาสตร์ของเขาก็คือศาสตร์ของเขา สนุกดี กลายเป็นว่าเราได้เรียนจาก YOUNGOHM, FIIXD เรียนเรื่องจังหวะ ได้เรียนรู้เยอะขึ้น เจ๋งดี พวกรุ่นน้องก็เป็นครูของเราไปเลย

ทุ่มเททำงานขนาดนี้ ถือว่าอัลบั้มนี้เป็นความสำเร็จไหม

เป็นบทเรียนบทใหญ่ เป็นบทเรียนที่ให้อะไรเราเยอะ อย่างแรกเลยมันเป็นบทเรียนเรื่องการเผชิญหน้า คือเราได้เผชิญกับการออกจากงาน ได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าต้องทำ ได้เผชิญหน้ากับเรื่องพ่อที่ซุกไว้ในพรมแดง แล้วตอนเกิดเรื่องพ่อเราบอกตัวเองว่าจะล้มไม่ได้ ถ้าเกิดเราล้มไปคนหนึ่ง แม่กับเมียกับลูกเราจะไม่มีคนพาเขาไปต่อ จำได้ว่าตอนเผาพ่อเสร็จเราวางทุกอย่างไว้ แอบไปร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียว ไม่ให้ใครรู้ว่าเราร้องไห้ แล้วเราก็ออกมา ‘เฮ้ ทุกคน ไปเที่ยวทะเลกัน’ ก็ไปเที่ยวทะเล ทำให้ทุกคนหายดี แล้วก็เก็บซ่อนเรื่องนี้ไว้ใต้พรม

จนวันที่เราตัดสินใจว่าจะเขียนเรื่องนี้ แล้วเราก็เปิดพรมออกมา (เงียบ) โห เรานั่งร้องไห้อยู่ 6 ชั่วโมง เขียนไปด้วยนั่งร้องไห้ไปด้วย เขียนหนึ่งคำก็ร้อง เพลง บนพระจันทร์ เราเลยต้องอัดทีเดียวให้ผ่าน เพราะว่าไม่ไหว กลั้นใจอัด จบแล้วเดินออกมาร้องไห้ทั้งคืน 

สุดท้ายเราก็ได้เผชิญหน้ากับเรื่องนี้ รู้สึกได้บำบัดตัวเองเหมือนกัน เพราะเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ก็ต้องอยู่กับเรื่องนี้ให้ได้อยู่ดี ซึ่งการเอามันมาเขียนเพลงแปลว่าต้องยอมรับว่าเราต้องอยู่กับมันได้แล้วแหละ 

แต่พอตอนที่อัลบั้มนี้ออกมาใหม่ๆ แล้วคนก็ชมเพลงนี้มากๆ ยิ่งคนชมทำให้จิตเรายิ่งตก มันเหมือนคนเอามาเปิดให้เราฟังอยู่เรื่อยๆ มันก็เหมือนกับย้ำๆ เรา แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ดีขึ้นๆ เราก็ได้รู้ว่าสิ่งที่จะต้องทำให้ดีที่สุดในบทเรียนนี้คือ การยอมรับและการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ซ่อนไว้ใต้พรม ต่อให้สุดท้ายซ่อนไว้ข้างในยังไงมันก็ยังอยู่ ไม่มีอะไรหายไปจากโลก สสารไม่มีวันหายไปจากโลก มันต้องแปรสภาพเป็นอะไรสักอย่าง แล้วก็นับว่าดีแล้วที่เรายอมเผชิญหน้า ไม่งั้นจนถึงจุดหนึ่งเราอาจตัดสินใจลาแบบเงียบๆ ก็ได้ ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่า เออ มันอาจจะเจ็บหน่อยเว้ย แต่เราต้องเผชิญหน้ากับมันให้ได้ 

 

ดูคุณเป็นคนโบยตีตัวเองแล้วก็พาตัวเองไปเจอสถานการณ์ยากๆ เรื่องนี้มันสำคัญยังไงกับตัวคุณ

อัลบั้มนี้ไม่เหลือทางให้เราไปแล้วครับ คือถ้ามันไม่ success เราออกจากงานมาขนาดนี้มีทางเดียวที่จะต้องไปคือ ต้องชนะ ต้องสำเร็จเท่านั้น แล้วก็ต้องไม่กั๊ก ต้องไม่เหลืออะไรอีกแล้ว นี่คือจุดตัดสินจุดสุดท้ายแล้ว ถ้าเกิดผ่านไม่ได้ ถ้ายังอยู่ในคอมฟอร์ตโซน คือจบแล้ว 

 

แล้วตอนอัลบั้มออกมาคุณรู้สึกยังไงบ้าง ตอนนั้นทำอะไรอยู่

วันที่เห็นมาสเตอร์ดีใจมาก แต่วันที่อัลบั้มออกจำได้เลยว่าชูใจเข้าโรงพยาบาล แพ้ตาบวม เรายังนั่งอยู่กับเบลล์แล้วบอกว่า อัลบั้มออกแล้วเนอะ ต้องมานั่งฟังเพลงที่ปล่อยทางยูทูบกันในโรงพยาบาล นั่งดูฟีดแบ็กกันในโรงพยาบาลเลย ลูกก็ป่วย 

แต่มันก็ดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้วไอ้ที่ทำมาไม่สำคัญเท่าตรงนี้ ไอ้เกียรติยศที่ทำมาเหมือนฟ้ามาบอกเลยว่า ที่มึงพราวด์มากว่าซีดีจะออก พอลูกป่วยจริงก็ไม่มีความสุข ณ วินาทีนั้นมันไม่มีอะไรสำคัญกว่าคนในบ้าน เงินก็ซื้อความสบายใจไม่ได้ เกียรติยศก็ซื้อความสบายใจไม่ได้ ชีวิตมันอาจจะแค่คนในบ้านเราสบายดี เรามีสุขภาพแข็งแรงดี เราอยู่ด้วยกัน แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

แต่ปีนี้ก็ออกทัวร์เยอะมาก แล้วคุณบาลานซ์การทำงานกับครอบครัวยังไง

ตอนนี้เป็นปัญหา เราพยายามอยู่ แต่ต้องออกไปทุกคืน ก็เลือกไม่ได้จริงๆ ต้องให้ลูกเข้าใจ พอมีเวลาแล้วจะพาลูกโดดเรียน คือลดเวลาเรียนของลูกมาอยู่กับเรามากขึ้น พาลูกโดดซะจนลูกต้องขอไปเรียนเอง ขอไปโรงเรียนเถอะ เราก็จะบอกว่าเดี๋ยวนะ ไปเที่ยวกันก่อน (หัวเราะ) ใช้วิธีนี้เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กจะอยู่กับเราได้นานที่สุดแล้ว หลังจากประถมเขาจะไปตามทางของเขาแล้ว ช่วงอนุบาลยังเป็นช่วงที่ยังเรียนได้นิดๆ หน่อยๆ ก็พอให้รู้ สำหรับเรานะ คนอื่นอาจไม่ได้คิดอย่างนี้  

แล้วเราเป็นฟรีแลนซ์ด้วย ไม่ได้เงินเดือน ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่าเงินมันก็สำคัญกับเขา โลกนี้ถึงต้องมีภรรยาไว้อีกคน แบ่งหน้าที่กันชัดเจนว่าหน้าที่เราคือนอกบ้าน เพราะฉะนั้นพอเป็นฟรีแลนซ์เราไม่รู้อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แล้วงานจะหายไปไหม ทุกอาชีพมันก็เสี่ยงเหมือนกัน แต่อาชีพอย่างเรามันจะมีความบอบบางของมันอยู่ เพราะฉะนั้นถามว่าคิดถึงลูกไหม คิดถึง แต่ความเสียสละของพ่อก็ต้องไป นี่คือบาลานซ์ที่สุดแล้ว คือภรรยาเขาเองก็เสียสละอยู่กับลูกตลอดเวลา ต้องไปส่งลูกไปโรงเรียนทุกวัน รับลูกมาสอนการบ้าน อ่านนิทานให้ฟัง ต้องตัวติดกับลูกตลอดเวลา 

 

อย่างนี้ถือว่าปีนี้คุณมีความสุขไหม

มีความสุขมากครับ สุดท้ายก็แค่อยากให้แม่แข็งแรง ลูกน่ารัก เมียน่ารัก อยากกินอะไรได้กิน อยากนอนเมื่อไหร่ได้นอน มีเตียงสบายๆ เพิ่งซื้อบ้านใหม่ด้วย ปีหน้าก็ลุยต่อ วางเป้าหมายไว้ว่าอยากไปทำงานต่างประเทศ อยากไปแอตแลนตา ไปทำเพลงกับโปรดิวเซอร์ที่นู่น อยากทำสักอีพีที่ใช้โปรดักชั่นอินเตอร์ แล้วใช้แรปไทยดู อยากรู้ว่าโจทย์นี้จะเป็นยังไง

 

สุดท้ายแล้วถ้าเปรียบการทำงานของคุณในวงการเพลงเป็นน้ำ แล้วชีวิตคุณปีนี้ล่ะ จะมองเป็นอะไร

(นิ่งคิด) เหมือนคลื่นลูกแรกเลย นี่คือลูกแรกที่แรงที่สุด เก็บไว้นาน เหมือนปล่อยออกจากคลื่น แต่เดี๋ยวก็จะค่อยๆ สุขุมขึ้น ตอนนี้คือมันสาดไปหมด มันออกมาเร็ว อาจจะทำนู่นทำนี่อะไรไม่ทัน เดี๋ยวมันจะค่อยๆ นิ่มขึ้น รอบสุดท้ายอยากให้มันนิ่ง แล้วข้างในไหลแรงๆ 

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน