confidence kikie
ปีนี้สอนให้รู้ว่า…สัญญาณเตือนจากร่างกายไม่ใช่สิ่งที่รอได้
อาชีพของเราคือค้าขาย แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องยืนนานกว่าคนอื่นสักหน่อย แต่ละวันจะยืนนานๆ โดยไม่นั่งเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 ชั่วโมง
เราเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันปกติ เรายืนทำงาน ยกของหนักๆ มาตั้งแต่อายุ 18 มันคือชีวิตประจำวันของเรามาตลอด จนกระทั่งวันที่เราเริ่มปวดหลัง
ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเดี๋ยวก็คงหาย ซึ่งมันก็หายจริงๆ แต่หลังจากนั้นก็กลับไปเป็นอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเริ่มเรื้อรังมากขึ้นในปี 2019 และถึงขั้นไม่สามารถยืนต่อไปได้อีกในช่วงกลางปี
ตอนนั้นคิดว่าแค่หายากินหายาทาแล้วนอนให้มากขึ้น มันก็คงดีขึ้นเหมือนเดิมเอง แต่ในใจเริ่มรู้สึกว่าไม่ปกติเพราะอาการเจ็บมันดันรู้สึกมากกว่าปกติ มากจนใจหาย ที่ทำได้แค่นอนนิ่งๆ เป็นวันๆ
เราได้คำแนะนำจากเพื่อนสนิทที่ผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทในวัย 23 ปีว่า “มึงต้องไปหาหมอได้แล้วนะ” เรายังคิดว่าการไปหาหมอทำให้เสียเวลาเป็นครึ่งวันแน่นอน เราไม่ได้มีเวลาขนาดนั้นหรอก เพื่อนเลยเสนอว่าให้ลองไปคลินิกกายภาพบำบัดดู
เราตัดสินใจฟังคำแนะนำของเพื่อนที่เคยเป็นมาก่อน และเรารับรู้ได้ดีว่าตอนนั้นร่างกายของตัวเองเจ็บปวดแค่ไหน ก่อนที่ความรู้สึกและความเจ็บจะลามไปมากกว่านี้เราก็เดินเข้าไปในคลินิกกายภาพบำบัดในช่วงต้นเดือนสิงหาคมเสียแล้ว
นักกายภาพบำบัดได้สอบถามชีวิตประจำวันและการใช้งานร่างกายตัวเอง พร้อมทั้งตรวจสภาพร่างกายของเรา ตอนแรกที่ฟังผลการตรวจเรานึกโล่งใจที่ไม่ได้เป็นถึงขั้นกระดูกทับเส้นประสาท เราถามเขากลับไปว่า “แค่นี้คงไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ นึกว่าจะเป็นหนักเสียอีก” แต่เธอตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ค่ะ แต่ถ้าทิ้งไว้อีกสักพักก็ไม่แน่” เรานึกสงสัยในคำตอบของเธอ ก่อนจะรู้สึกสะดุดกับประโยคถัดมาที่ว่า “ถ้ารอต่อไป แค่กายภาพบำบัดอาจจะช่วยได้ไม่มากแล้วล่ะค่ะ โชคดีที่มาก่อน ถึงจะแค่นิดเดียวก็ตาม”
หลังทำกายภาพบำบัดเสร็จเป็นอีกครั้งที่หัวสมองมึนเบลอไปหมด ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บจากการทำอัลตราซาวนด์หรือผลกระทบที่ทำให้ขามีอาการปวดและชาไปหมดหลังจากอัลตราซาวนด์เสร็จ
ช่วงแรกๆ เราจำเป็นต้องปรับตัวเยอะมากเพราะไม่สามารถยืนได้นานๆ แค่เกินครึ่งชั่วโมงก็แทบจะไม่ไหวแล้ว จำเป็นต้องหาเก้าอี้มานั่งรอง และในเวลานั้นเองคนในครอบครัวเราจึงเริ่มปรึกษากันว่า ควรให้เราพักอยู่ที่บ้านแทน
ย้อนกลับไปตอนนั้นจำได้เลยว่ารู้สึกแย่แค่ไหนกับการทำได้แค่นอนมองเพดานอยู่เฉยๆ เราเคยคิดว่าถ้ามีโอกาสได้พัก เราจะนอนเยอะๆ ตุนร่างกาย นั่งดูหนังที่อยากดู นั่งดูรายการวาไรตี้ที่เราชอบ แต่ในตอนนั้นมันทำได้แค่นอนอย่างเดียว เราไม่รู้สึกอยากทำอะไรเลย แม้กระทั่งการแตะโทรศัพท์ก็ยังไม่ทำ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกไม่ชอบการได้นอนโง่ๆ เอาเสียเลย และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าทำไมตัวเองถึงเป็นคนไร้ค่าได้ขนาดนี้
เราเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองหดหู่ลงได้ขนาดนั้นก็ตอนที่เราไม่สามารถยิ้มให้กับศิลปินที่เรามองเขาเป็นรอยยิ้มมาโดยตลอด แม้กระทั่งวันนั้นพวกเขาก็ยังช่วยเราไว้ไม่ได้เลย แน่นอนว่าเราไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของพวกเขา เพราะสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจากใจเราเองเพียงคนเดียว
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบเดือน อาการของเราก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ เรารู้สึกดีขึ้นจากการให้กำลังใจของครอบครัวและเพื่อนๆ ที่อยู่รอบข้าง เราเริ่มมีกำลังใจในการทำกายภาพบำบัดมากขึ้น เราเริ่มออกกำลังกายตามที่นักกายภาพบำบัดบอก เราเริ่มมีความหวังว่าจะกลับมาเป็นคนเดิมที่มีชีวิตชีวามากขึ้น
ในตอนนี้ถ้าลองนับๆ ดูก็จะเข้าสู่เดือนที่ 4 ที่เรากำลังทำกายภาพบำบัดอยู่ ครั้งล่าสุดนักกายภาพบำบัดบอกกับเราว่า เท่าที่มองดูผลของร่างกาย อีกแค่เดือนเดียวหลังของเราจะกลับมาเป็นปกติ ดังนั้นขอให้อดทนอีกนิดเดียว ก่อนเดือนกุมภาพันธ์ก็จะหายเป็นปกติ หลังจากนี้ขออย่ากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีก แต่จงหมั่นออกกำลังกายและดูแลตัวเองให้มากขึ้น และหวังว่าจะไม่กลับมาเจอกันอีกในเร็วๆ นี้
แน่นอนว่านี่คือข่าวดีที่สุดต้อนรับปีใหม่นี้สำหรับใจเราเลย นึกอยากขอบคุณครอบครัวและเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจในวันที่เรานึกเกลียดตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะคนสำคัญเหล่านี้ทำให้เราผ่านมันมาได้โดยไม่รู้สึกแย่กับตัวเองไปมากกว่านี้
เหนือสิ่งอื่นใดเราอยากขอบคุณ GOT7 เหมือนกันที่ทำให้เราอยากแข็งแรงก่อนที่จะไปเจอเขาในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์นี้ที่ราชมังคลากีฬาสถาน
นึกตลกดีตรงที่ช่วงที่มีคอนเสิร์ต GOT7 FAN FEST เป็นช่วงที่เรารักษาตัวแรกๆ เราไม่นึกอยากไปด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเราก็ถามนักกายภาพบำบัดว่า สภาพร่างกายของเราตอนนี้สามารถไปคอนเสิร์ตได้ไหม
ที่ตลกกว่าคือรอบสุดท้ายที่เป็นโซโลของ JB หัวหน้าวง เราหาบัตรนั่งไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องยอมไปบัตรยืน โดยกะจังหวะให้คอนเสิร์ตเริ่มพอดีแล้วค่อยเข้าไป มันต้องเป็นคอนเสิร์ตที่สนุกมากและทำให้เรากลับมาคิดถึง GOT7 แบบมากๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแน่ๆ
ในตอนสุดท้าย JB หัวหน้าวง พูดขึ้นมาว่า “บางครั้งทุกคนอาจจะเหนื่อยหรือล้า หวังว่าพวกเราจะปลอบใจทุกคนได้ เหมือนที่อากาเซ่ปลอบใจและเป็นกำลังใจให้พวกเรา พวกเราก็อยากปลอบใจและเป็นกำลังใจให้ทุกคน” แน่นอนว่าหลังจากพูดจบเราควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย ทำได้แค่ปล่อยน้ำตาให้ไหลไปแบบนั้นท่ามกลางเสียงกรี๊ดจากคนอื่นๆ ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วเรายังรักพวกเขาไม่เคยเปลี่ยน และพวกเขานี่แหละที่ทำให้เรากลับมายิ้มอย่างเต็มรูปแบบได้อีกครั้ง
เราคิดมาเสมอว่าเราเป็นคนที่เก่งและภูมิใจในตัวเองมากๆ เพราะเริ่มทำงานก่อนคนอื่น เราเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 18 มีจุดยืนได้ไว มั่นคงกว่าใครๆ และแน่นอนว่าแข็งแรงกว่าใครๆ ด้วย แต่ในปี 2019 เราในวัย 24 ก็ได้เรียนรู้กับตัวเองว่า จริงๆ แล้วคนที่เก่งอาจไม่ใช่คนที่ทำงานได้มากกว่าใคร แต่เป็นคนที่ดูแลตัวเองให้ไม่เจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ
และเราเชื่อว่าในปี 2020 เราจะเป็นคนที่มองเห็นค่าของตัวเองมากขึ้น นอกเหนือจากจำนวนเงินที่ได้รับกลับมาเช่นกันค่ะ 🙂
wasuntara sananwai
ปีนี้เราได้เรียนรู้ว่า
Waiting period is valuable. (การรอ) ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเป้าหมายการรอก็เป็นการเพิ่มมูลค่าของสิ่งนั้นในใจ แม้จะยังไม่ได้ทำในตอนนี้ แต่โกลจะผลักดันให้เราพยายามไปสู่สิ่งที่วางแผนไว้ แต่ต้องใส่ความอดทนบรรจุเข้าไปมากๆ ด้วย
Life never ends. ชีวิตปีนี้ (2019) เหมือนถ้วยดินเผาที่อาจแตกหักได้เป็นพันชิ้น แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ชีวิตต้องจบสิ้นลง จงใช้ชีวิตต่อไปด้วยความหวัง ความฝัน แทนที่จะหนีเราต้องรู้จักซ่อมแซมหลังพบเจอเรื่องเลวร้าย (ปีนี้อาม่าเป็น stroke แม่เป็น MI เราเป็น cellulitis รับการรักษา 3 เดือนที่โรงพยาบาล) แต่ทุกอย่างอยู่ด้วยกำลังใจจากตัวเองและคนรัก
my lottery attitude & inner ลึกๆ เราเกิดมาพร้อมทักษะ ‘ช่างแม่ง’ ในอะไรร้ายๆ คือทัศนคติที่ดีอยู่ที่ตัวเรา (เกิดมาพร้อมสิ่งนี้) มองโลกในแง่ที่ควรเป็น
Happiness does not depend on the distance. ปกติเป็นคนเยอะ ชอบไปต่างประเทศ ในประเทศ แต่ค้นพบว่าแค่ออกจากที่ที่คุ้นเคยก็คือการไปเที่ยวแล้ว 🙂 ไม่ต้องไปไกลสุดฟ้า ขอแค่ไปกับใครสักคนก็สุขมากแล้ว
eco warning ปีนี้ได้ไปค่ายอนุรักษ์บ่อยขึ้น ตัวเองตระหนักแล้วว่าสามารถเป็นส่วนหนึ่งให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเริ่มจากตัวเองก่อน พยายามรักและรัก (ษา) โลกให้มากขึ้น เช่น ลดพลาสติก ใช้ถุงผ้า ใช้ ecowrap
slow step มีจังหวะการก้าวเดินที่ช้าลง (ช้ากว่าชาวบ้านแต่โอเค) เรียนรู้ที่จะยอมรับ ลดการเปรียบเทียบกับคนอื่น และมองหาข้อดีของตัวเองมากขึ้น
movies time เป็นปีที่ดูหนังเยอะมาก ค้นพบว่าการดูหนังเหมือนการอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ มีข้อคิดในการดำเนินชีวิตอยู่
All is well. ทุกสิ่งที่เกิดทั้งดีและไม่ดีมีความงามของชีวิตซ่อนอยู่ สิ่งเหล่านั้นทำให้เรามีชีวิตแบบตอนนี้
pkphakk97
What I’ve learned from the whole year…
ปีนี้เป็นอีกปีที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในชีวิตทั้งเรื่องดีและร้าย รวมไปถึงเรื่องการเรียน ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด และชีวิตที่ต้องเจอปัญหาอุปสรรคมากมาย
แต่สิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในชีวิตคือ ทั้งหมดล้วนเป็นประสบการณ์และเป็นครูที่ดีที่สุดที่สอนให้รู้จักโลกในมุมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้ชีวิตของพวกเขาไม่มีความสุข หรืออาจคิดว่าทำไมชีวิตถึงเจอแต่ปัญหา แต่สำหรับเราคิดว่าทุกปัญหาและอุปสรรค ล้วนแต่เป็นครูหรือบทเรียนที่ล้ำค่ามากที่สุดในชีวิต ไม่มีสอนในหลักสูตรการเรียนระดับมหาวิทยาลัย แต่เป็นสิ่งที่ต้องพบเจอเอง เราเชื่อว่าหากสามารถแก้ปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้ได้เมื่อใด เมื่อนั้นเราก็จะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้งในอนาคตข้างหน้า
ในด้านการเรียนและการทำงาน ปีนี้เป็นปีแห่งการเรียนรู้จากความผิดพลาดในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการย้ายมหาวิทยาลัย การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สภาพสังคม และเพื่อนใหม่ ปีนี้ถือว่าเรื่องเรียนและการทำงานมีทั้งสมหวังและผิดหวังปนกันตลอด 365 วันเลย แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ความผิดหวัง และความล้มเหลว คือมันทำให้เราได้มองเห็นข้อเสียที่เกิดขึ้นในตัวเรา มันก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้วที่ล้วนแต่มีข้อดี-ข้อเสียผสมกันไป เพียงแค่เราต้องปรับปรุงข้อเสียเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้
ดังนั้นการที่ชีวิตเราทำเรื่องผิดพลาด ไม่ว่าจะการเรียน การทำงาน ความรัก หรือความสัมพันธ์ มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์จะผิดพลาด เพราะชีวิตเราจะประสบผลสำเร็จได้ เบื้องหลังความสำเร็จทุกอย่างคือเราได้เรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดนั้น เพราะทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีโอกาสให้เราได้เรียนรู้และแก้ตัวใหม่อยู่เสมอ อยู่ที่ว่าตัวเราจะมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในบทเรียนนั้นหรือไม่
เรื่องความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ปีนี้เป็นอีกปีที่มีผู้คน เพื่อน และคนรู้จักที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต บางคนก็เดินออกไปโดยทิ้งรอยบาดแผลเอาไว้เป็นบทเรียน แต่ไม่ว่าใครจะเข้ามาหรือออกไปมากน้อยแค่ไหน เราเชื่อเสมอว่าไม่สามารถที่จะรักษาทุกคนที่เข้ามาในชีวิตให้อยู่กับเราไปได้ตลอด มันเป็นธรรมชาติที่ทุกๆ ความสัมพันธ์มีเกิดก็ต้องมีหมดอายุ สิ่งที่สำคัญกว่าคือทุกๆ ครั้งที่มีคนเข้ามาในชีวิต ตัวเราจะนำบทเรียนจากคนเหล่านั้นมาเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน
ตัวเราใช้ชีวิตบนโลกที่มีคนหลากหลาย ในช่วงชีวิตแรกๆ เราก็ไม่ค่อยเข้าใจคนบางคนที่ได้เจอ ทำไมเขาถึงคิดกับเราแบบนั้นแบบนี้ แต่พอเราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ผ่านสังคมมามากมายหลายรูปแบบ มันก็ทำให้เรามีมุมมองต่อคนที่กว้างขึ้น เพราะพื้นฐานทางความคิด พื้นฐานด้านการเลี้ยงดูของแต่ละคนผ่านมาไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงไม่อาจจะตัดสินคนคนนี้ด้วยการมองจากเพียงแค่ภายนอก แต่เราควรจะศึกษานิสัยภายในของแต่ละคนว่าเขามีทัศนคติการใช้ชีวิตยังไง
ในทุกๆ ปีก็จะมีเรื่องราวและเหตุการณ์เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 365 วัน เพื่อเป็นบทเรียนในชีวิต นอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียน การเดินทางในแต่ละวันก็จะมีทั้งเส้นทางเรียบและขรุขระเพื่อให้เราได้เรียนรู้ เป็นสีสันให้ชีวิตในแต่ละวัน เพราะนี่คือสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต
สุดท้ายขอมอบคำพูดของคนคนหนึ่ง…
LIFE ALWAYS OFFERS YOU A SECOND CHANCE. IT IS CALLED TOMORROW.
ชีวิตจะมอบโอกาสครั้งที่สองให้คุณได้แก้ตัวเสมอ สิ่งนั้นเรียกว่าวันพรุ่งนี้
Goodbye and thank you for everything in 2019. See u again in 2020.
Thesun Goodday
ปี 2019
เป็นปีที่สอนให้ได้รู้จักความสัมพันธ์และความผิดหวัง เป็นปีที่สอนให้เราเข้าใจคำว่าอกหัก เป็นปีที่รู้สึกว่าในชีวิตเราแบกรับปัญหาต่างๆ ไว้แทบจะไม่ไหว อยากทิ้งตัวเองให้หายไปกับอากาศ ไม่อยากตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมันมาได้ด้วยตัวของเราเอง ปีนี้มันเลยทำให้เราได้คำตอบอะไรหลายๆ อย่าง และสอนให้ได้รู้ว่า
- เวลามันช่วยเยียวยาหัวใจของเราได้จริงๆ แต่จะช้าหรือเร็วก็ล้วนขึ้นอยู่กับตัวเรานะ มีแต่เราเท่านั้นที่จะตอบมันได้
- อย่ายึดติดกับคนในอดีต มองไปรอบตัว คนที่รักเรามีเยอะแยะเลย อย่างน้อยก็ตัวเราเองแล้วหนึ่งคน
- หนังสือธรรมะก็ไม่ช่วยเยียวยาอะไรถ้าใจเราไม่รู้จักปล่อยวาง
- อยู่กับปัจจุบันให้เป็น
- อย่าพูดว่าไม่มีใครรักเรา เพราะขนาดเรายังไม่รักตัวเองเลยจะให้คนอื่นมารักได้ยังไง
- หัวใจของเราหัดดูแลใส่ใจมันบ้าง อย่าคอยแต่พึ่งให้คนอื่นมาดูแล
- สุขภาพหัดดูแลมันเพราะมันพยายามดูแลเราอยู่นะ
- การร้องไห้ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติ มันเพียงเป็นสิ่งที่เราปลดปล่อยออกมาเมื่อรู้สึกว่าแบกรับบางเรื่องไว้ไม่ไหว
- อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เราทุกคนแตกต่างกัน
- ยอมรับความจริงจริงๆ
- อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเรา
- ใช้เวลาให้คุ้มค่ากับคนที่เห็นคุณค่าของเรา
- ความสัมพันธ์ถ้ามันใช่เราจะไม่พยายามอยู่ฝ่ายเดียว
- รักตัวเองไปเถอะ มาถึงจุดนี้ก็เข้าใจแล้วนะว่าถ้าเรารักตัวเองมากพอ เราก็ไม่จำเป็นต้องเอาใครเข้ามาเติมเต็มชีวิตให้มากมายนัก
- คนเรามีความสุขได้ด้วยทัศนคติ
- อยู่ใกล้ใครแล้วรู้สึกว่ามีแต่พลังลบแค่เงียบแล้วเดินออกมา
- ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีแล้วลำบากตัวเอง ทำให้มันพอดี ถ้ารู้สึกว่ามันเกินไปแล้วก็หัดปฏิเสธให้เป็นบ้าง
- บางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องฝืนทำเรื่องที่ไม่อยากทำ
- เปิดโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- ความฝันกับการลงมือทำมันควบคู่กัน
- เพื่อนไม่จำเป็นต้องมีเยอะ มีน้อยแต่มีคุณภาพก็ถือว่าโชคดีแล้ว
- ความหงุดหงิดมักทำให้เราใจแคบ เวลาทำอะไรก็ใจเย็นๆ อย่าใช้อารมณ์นำมากนักมันจะเสียเรื่องเอา
- ยังไงชีวิตก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้า แม้ว่าวันนั้นมันจะแย่แค่ไหน อาจจะต้องหยุดพักบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นกำไร
ขอบคุณตัวเองในวัย 23 ปีที่ยังคงเติบโตไปอย่างช้าๆ ในพื้นที่ของตัวเอง
Thidarat Chaowarat
ปี 2019 สอนให้รู้ว่า…
ตั้งแต่จบมหา’ลัย ทำงานบริษัท เราก็ไม่ได้รีวิวสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละปีสักเท่าไหร่ เพราะชีวิตประจำวันก็มีแต่เรื่องราวซ้ำๆ การกระทำเดิมๆ จะมีเพิ่มเติมก็แค่การได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศไกลๆ ที่ทำให้เกิดกำลังใจได้ชั่วคราว
แต่ปี 2019 นี้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอย่าง ตั้งแต่การลาออกจากงานประจำ แถมยังกดวีซ่าไปต่างประเทศตามที่หวังไว้ไม่ได้อีก ทำให้มีเวลาว่างสั้นๆ ลองทำในสิ่งที่อยากทำมานาน และหาโอกาสในชีวิตครั้งใหม่
และนี่คือบทเรียนที่เราได้ตกผลึกในปี 2019 ปีที่ดูเหมือนจะธรรมดา ทว่าเรารู้สึกได้ถึงการเติบโตทางความคิดของตัวเอง เพราะมีหลายครั้งที่เราสามารถ ‘เอาชนะ’ ความคิดแย่ๆ และความท้อแท้ใจมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
- ฝึกรับมือกับการเปลี่ยนแปลง – ปีนี้มีอะไรเปลี่ยนไปเยอะมาก ตั้งแต่เรื่องงาน ที่อยู่อาศัย ไปจนถึงความสัมพันธ์ ทั้งที่เป็นเรื่องดีและเรื่องแย่ แม้แต่ความคิดเราก็ยังเปลี่ยนไปได้ทุกวัน สิ่งที่ทำได้คือรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอยู่กับปัจจุบัน
- ยอมรับกับสิ่งที่ทำผิดพลาด – หลายครั้งเรามักจะถูกสอนให้เป็น perfectionist จนเกลียดและกลัวความผิดพลาดไปเลย พอมาคิดดูดีๆ เราว่าจริงๆ แล้วการลองผิดลองถูกนี่แหละคือกระบวนการสำคัญของการเรียนรู้ เติบโต และก้าวไปข้างหน้า
- รับฟังคนอื่นอย่างจริงใจ – จะว่าไปคงไม่มีใครหรอกที่จะเข้าใจสถานการณ์ของคนอื่นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นกับตัว แต่การรับฟังอย่างจริงใจ ไม่ด่วนตัดสิน ไม่มีอคติ และคิดให้ดีๆ ก่อนจะพูดหรือออกความเห็นอะไร ก็คงจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นมากๆ
- ลองทำในสิ่งที่อยากทำ – เรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากทำมากๆ แต่ก็ติดโน่นติดนี่จนสุดท้ายก็ไม่เคยได้ทำ ลองไม่คิดมากและเลิกหาข้ออ้างดูบ้าง เพราะบางทีเราอาจจะได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตก็เป็นได้ (แล้วอย่าลืมวางแผนดีๆ และจัดการความคาดหวังของตัวเอง)
- หยุดหนีปัญหาและกล้าตัดสินใจ – มันง่ายมากที่จะหนีปัญหา ทั้งที่จริงๆ เราไม่เคยหนีพ้น เมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะถูกอะไรก็ตามบังคับให้เลือกเสมอ เลือกตามที่เรารู้สึกถึงแม้ว่าสุดท้ายจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด จงเข้าใจ ยอมรับ และอยู่กับมัน
และนี่คือ 5 ข้อสั้นๆ ที่อยากจะเขียนเตือนตัวเองไว้และแบ่งปันให้ใครๆ ได้อ่าน ขอบคุณทุกคน ทุกเหตุการณ์ หนังสือทุกเล่ม หนังทุกเรื่อง หรืออะไรก็ตามที่ให้บทเรียนระหว่างการใช้ชีวิตของเราในปี 2019 ขอให้ปี 2020 เป็นปีที่ดี