Wild Dog Bookshop ร้านหนังสืออิสระที่ขอนแก่นของหนุ่มใต้จากสตูล

Highlights

  • Wild Dog Bookshop คือร้านหนังสืออิสระที่ก่อตั้งขึ้นจากความชื่นชอบหนังสือตั้งแต่เด็กของ โอ๊บ–บุรินทร์ฑร ตันตระกูล
  • หลังจากผ่านความผิดหวังในชีวิตครั้งใหญ่และใจที่อยากเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง เขาจึงขึ้นเหนือล่องใต้ตามดูการทำร้านหนังสืออิสระทั่วประเทศเพื่อสั่งสมประสบการณ์จากสายตาและการพูดคุยเพื่อทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ
  • ด้วยจุดหมายที่อยากหลบหนีจากสภาพแวดล้อมเดิม เขาจึงเลือกปักหลักตั้งร้านหนังสือในเมืองที่ไม่คุ้นเคยอย่างขอนแก่น เพื่อเป็นหมุดหมายของการเริ่มต้นชีวิตใหม่

ในวันที่คุณอยากเดินทางตามที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง คุณเริ่มต้นมันยังไง

สำหรับ โอ๊บ–บุรินทร์ฑร ตันตระกูล เขาเลือกนึกถึงสิ่งที่ชอบในวัยเด็กอย่างการอ่านหนังสือ และนั่นจึงเป็นที่มาในการแบกเป้เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ตระเวนดูร้านหนังสืออิสระเกือบทั่วประเทศเพื่อเป็นแบบอย่างการเปิดร้านของเขาเอง

เมื่อได้เห็นตัวอย่างตามที่ต้องการแล้ว โอ๊บตัดสินใจปักหมุดเลือกที่ตั้งของสิ่งที่อยากทำ ด้วยโจทย์ที่ว่าไม่เอากรุงเทพฯ และเว้นห่างจากบ้านเกิดที่สตูล จนได้คำตอบสุดท้ายเป็นจังหวัดขอนแก่น ทำให้ถนนศรีจันทร์ในอำเภอเมืองขอนแก่นมีร้านหนังสืออิสระชื่อว่า Wild Dog Bookshop เปิดบริการต้อนรับนักอ่าน พร้อมกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้สนใจได้แวะเวียนมาสนุกสนาน ทำความรู้จักกัน  

เล่าสั้นๆ อย่างนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่น เรียบง่าย เมื่อชายคนหนึ่งได้ทำสิ่งที่รักตามเป้าหมายของตัวเอง แต่ใครจะรู้ว่ากว่าเขาจะผ่านการค้นหาตัวเอง มองหาหลักปักฐานแห่งใหม่ในการเริ่มต้นชีวิต ทำธุรกิจร้านหนังสือต่างถิ่นในที่ไม่คุ้นเคย เขาล้มลุกคลุกคลานกับมันขนาดไหน 

รายละเอียดเหล่านี้ไม่มีใครรู้ดีกว่าเจ้าตัว ถ้าอย่างนั้นให้เขาเริ่มต้นเล่าให้เราฟังเลยดีกว่า 

 

ร้านหนังสือกับการเดินทางครั้งใหม่ของชายหนุ่ม

ว่ากันตั้งแต่ที่มาที่ไปของการเปิดร้าน Wild Dog Bookshop โอ๊บเล่าว่าเขาชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะครอบครัวสนับสนุนให้ลูกชายทั้งสามอ่านหนังสือตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยการพาแวะเข้าร้านหนังสือเพื่อให้ลูกๆ ได้ซื้อหนังสือสักเล่มสองเล่มกลับไปอ่านที่บ้าน

“พอโตมาหน่อยก็อ่านแต่หนังสือเรียน ตั้งแต่ประถมจนมัธยม เพราะเราเป็นคนอยู่ในกรอบ อ่านหนังสือเตรียมสอบมหาวิทยาลัย พอเข้านิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ได้ก็อ่านแต่หนังสือกฎหมาย ไล่มาจนเรียนปริญญาโทก็ยังอ่านอยู่ แต่ยังพอมีหนังสืออื่นๆ บ้างประปราย ซึ่งก็เกี่ยวกับสังคมกับการเมืองอยู่ดี จนมาวันหนึ่งเริ่มรู้สึกว่าทำไมเราไม่มีความสุขกับการอ่านหนังสือเลย เพราะเราอ่านเพื่อเรียน เพื่อสอบอย่างเดียวเลย อยากลองเปิดรับการอ่านหนังสือที่หลากหลายดูบ้าง” 

ประกอบกับช่วงนั้นโอ๊บเกิดความรู้สึกผิดหวังทุกอย่างในชีวิต ทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามต่อสิ่งที่เกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งครอบครัว หน้าที่การงาน รวมถึงเป้าหมายในการใช้ชีวิตที่ไม่ได้เลือกด้วยตัวเอง

“เราเป็นคนว่านอนสอนง่าย เป็นคนหัวอ่อน ใช้ชีวิตโดยประเมินความพึงพอใจของคนอื่นตลอดเวลาโดยเฉพาะครอบครัว จนมาวันหนึ่งทุกอย่างมันพังครืนเพราะเขาไม่ปล่อยเราสักที พอเรียนจบมหาวิทยาลัยเราต้องไปตามสเตปทุกอย่าง ต้องเป็นเนติฯ อัยการ ผู้พิพากษา เรารู้สึกว่ามันเป็นช่องเกินไป แล้วมันไม่มีที่ให้เราหายใจหายคอเลย ชีวิตมันไต่บันไดเรื่อยๆ เราไม่มีความสุข” ชายหนุ่มย้อนเล่าความหลัง

โอ๊บเริ่มตั้งคำถามถึงความหมายของชีวิต แต่เขาไม่รู้ว่าคำตอบอยู่ตรงไหน ชายหนุ่มจึงทดลองทำหลายอย่าง ทั้งปีนเขาเข้าถึงธรรมชาติตามสูตรที่นักเขียนหลายคนเคยว่าไว้ ลองไปบวชในวัดป่า 3 เดือน หรือแม้แต่ออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ แต่ดูเหมือนคำถามก็ยังไม่ได้รับคำตอบ

สุดท้ายเขากลับมาทำงานอีกครั้งในองค์กรอิสระแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ผ่านไปสักระยะก็รู้สึกผิดหวังกับการทำงาน ในขณะที่ปัญหาทางบ้านเริ่มสะสมขึ้นเรื่อยๆ โอ๊บจึงตัดสินใจว่าจะออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในหนทางที่เลือกเอง

“ตอนนั้นคิดอยู่ 2 อย่าง ไม่ทำร้านกาแฟก็จะทำร้านหนังสือเพราะเป็นสิ่งที่ชอบทั้งสองอย่าง แต่เราไม่ถนัดชงกาแฟเลยเลือกทำร้านหนังสือแทน แล้วก็ขับรถไปหาพ่อที่สตูล ระหว่างทางก็แวะดูร้านหนังสืออิสระว่าเขาทำร้านยังไง”

ไม่ว่าจะร้าน Low-Pressure Area : ความกดอากาศต่ำ ที่สตูล, Buku Books & More ที่ปัตตานี, Books Therapy ที่นครศรีธรรมราช หรือข้ามภูมิภาคไปสำรวจถึงร้านน้ำพุทูเดย์ที่บุรีรัมย์ จนถึงตะลุยหลายร้านในเชียงใหม่ เขาก็ไปเยือนเพื่อเรียนรู้มาแล้วทั้งนั้น

อีกโจทย์ที่เขาตั้งเอาไว้คือ การเปิดร้านหนังสือของตัวเองครั้งนี้จะไม่เลือกทำเลในบ้านเกิดและกรุงเทพฯ แน่นอน

“ประเด็นแรกคือเราไม่อยากอยู่ที่เดิมๆ มันเป็นจุดที่เราอยากทิ้งทุกอย่างแล้ว ถ้าไปอยู่ที่อื่นเราได้เริ่มต้นใหม่ เราอยากไปอยู่ที่ใหม่ๆ ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ลุยคนเดียวไปเลย ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องโรแมนติกหรือเปล่า แต่ในใจตอนนั้นคือไปข้างหน้าอย่างเดียว”

เขาหยิบแผนที่มากาง จิ้มเลือกสำรวจพื้นที่ต่างๆ ทั้งเหนือ กลาง อีสานตอนบน อีสานตอนล่าง และใต้ จนในที่สุดก็เลือกขอนแก่น เหตุผลเพราะขอนแก่นจะเป็นเมืองเศรษฐกิจในอนาคต 

“หลังจากนั่งรถทัวร์มาลงที่นี่ เราก็เดินสำรวจอยู่วันสองวัน แล้วกลับไปตั้งหลักที่กรุงเทพฯ ใหม่ ทำแบบนี้อยู่ 2 รอบ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเอาความมั่นใจมาจากไหนเพื่อเปิดร้านหนังสือ มีแต่คนไม่เห็นด้วย ไปคุยกับเจ้าของร้านหนังสือแต่ละร้าน บางคนเขาก็มองว่าเราจะทำธุรกิจนี้ทำไม มันเป็นไปได้ยาก” 

แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจลงมือทำ หลังจากเดินไปเจอบ้านเช่าแถวโรงเรียนกัลยาณวัตร 

“หาที่เช่าได้ รู้สึกทนแรงกดดันตัวเองไม่ไหว ต้องตัดสินใจแล้วแหละ ไม่มีที่ไหนครบร้อยเปอร์เซ็นต์ เราไม่สามารถหาความมั่นใจจากไหนมาดันหลังได้เลย มีแต่ลุย ต้องลุย พอเริ่มต้นเปิดร้านปุ๊บก็ล้มเหลวทันที” เขาหัวเราะให้กับโชคชะตาตัวเอง

 

ผิดหวังครั้งที่สองแต่ต้องลองใหม่

ครั้งแรกที่ร้าน Wild Dog Bookshop เปิดที่ห้องเช่าแถวๆ โรงเรียนกัลยาณวัตร แรงแห่งความกดดันของโอ๊บก็โหมพัดใส่ตัวทันที เขายอมรับว่าตัวเองคาดหวังว่าจะทำร้านได้ดีกว่านี้ เพราะด้วยค่าเช่าห้องราคาสูง เขาจึงต้องพยายามหาหนังสือที่หลากหลายและทำให้ลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาแวะเวียนมากขึ้น  

“ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเข้ามาเลย มีลูกค้ามาบ้าง แต่ไม่ได้มีทุกวัน แล้วถ้าคนยังเข้าน้อยเราจะหาเงินค่าเช่าจากไหน มันก็เริ่มกดดันตัวเองว่าทำยังไงร้านมันก็ไม่ดีสักที ใจมันรับกับความผิดหวังไม่ไหว กลายเป็นว่าไม่กล้าเจอคน เครียดไปเลยตอนนั้น คิดดูว่ากลัวถึงขั้นที่จะปิดร้านแต่ละวัน ต้องรอให้ร้านนมฝั่งตรงข้ามปิดก่อนเพราะเราไม่ชอบให้คนมอง” 

โอ๊บยอมรับว่าภาวะนี้ทำให้เปิด-ปิดร้านไม่เป็นเวลา จนถึงขั้นที่เขาบอกว่า 3 เดือนเปิด 3 เดือนปิด ลูกค้าบางคนต้องมาเคาะประตูเรียกเวลาจะเข้ามาดูหนังสือในร้าน 

“ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกเลย ยังไม่รู้จักใครด้วย แต่ก็รู้ว่าล้มไม่ได้ เพราะไม่รู้จะไปไหนแล้ว เราไม่อยากกลับไปกรุงเทพฯ อย่างพ่ายแพ้”   

จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้รู้จักกับลูกค้าที่มาเลือกหนังสือในร้านคนหนึ่งที่เข้ามาชวนเขาพูดคุย บางครั้งก็ชวนออกไปข้างนอก ทำความรู้จักกับผู้คนบ่อยๆ

“พี่วิกเป็นลูกค้าร้านเรา มาชวนเราคุย พอรู้จักกันพี่วิกก็ชวนออกไปข้างนอก ทำให้ได้รู้จักคนมากขึ้นเยอะ อีกคนที่ได้รู้จักคือเฮียอ๋า เป็นเจ้าของร้านเหล้า แล้ววันหนึ่งแกเปิดร้านอาหารตามสั่งที่ถนนศรีจันทร์ แกก็ชวนเราย้ายไปอยู่ด้วย เราตอบตกลงเลย” โอ๊บกำลังพูดถึงที่ตั้งร้านแห่งใหม่บนถนนศรีจันทร์

“เพราะที่นี่มันตอบโจทย์ ค่าเช่าก็ถูกลง รู้สึกว่ามันเป็นไปได้มากขึ้น เครียดก็ได้ออกมาคุยกับเฮียอ๋าหรือน้องๆ ที่อยู่นี่บ้าง บรรยากาศมันดีกว่าร้านเก่าเยอะ” โอ๊บพูดอย่างมีความหวัง

เมื่อเขาเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไอเดียก็เริ่มตามมา ประจวบเหมาะกับช่วงที่เขาเปิดร้านในย่านใหม่เป็นช่วงเทศกาลร้านหนังสืออิสระ เขาจึงเริ่มจัดกิจกรรมเพื่อให้คนเข้าร้านมากขึ้น นั่นคือการแจกต้นไม้ที่เขาปลูกเองให้กับลูกค้าที่ซื้อหนังสือครบตามกำหนด

“อีกอย่างคือเราไปซื้อถุงผ้ามา 50 ใบ แล้วเขียนโคว้ตต่างๆ ลงบนกระเป๋า แจกให้ร้านหนังสืออิสระในขอนแก่น ซึ่งมีห้องหนังสือสมจริง ร้านแมวผีบุ๊ค ถ้ามีลูกค้าคนไหนมาเยี่ยมชมครบ 3 ร้าน เอาถุงผ้าไปเลย” พูดจบเขาก็หยิบถุงผ้าทำเองให้เราดูเป็นตัวอย่าง

“เราก็พยายามคิดกิจกรรมเรื่อยๆ โดยไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ด้วยความที่เราไม่สามารถจ้างใครมาช่วยได้ ก็ออกแบบกิจกรรมที่คนธรรมดาๆ นี่แหละมาร่วมสนุกกันได้ เกิดเป็น open mic คือกิจกรรมที่มีไมค์ตั้งอยู่ พร้อมเครื่องดนตรีอย่าง กีตาร์ คีย์บอร์ด เล็กๆ น้อยๆ เตรียมไว้ให้ แล้วใครอยากทำอะไรกับมันก็ทำเลย open mic ครั้งแรกชื่องานว่า Open Night ไม่มีธีมเฉพาะ พี่วิกก็มาช่วย ไปชวนเพื่อนมา ลูกค้าเก่าๆ บางคนก็มา”

เขาบอกตัวเองว่าไม่ต้องคาดหวังมากในกิจกรรมครั้งแรก แต่เมื่อถึงวันงานมีคนมาร่วมไม่น้อย ตั้งแต่เด็กประถมไปจนถึงผู้ใหญ่ บ้างหยิบเครื่องดนตรีอย่างเชลโลมาเล่น บ้างพกพิณพกแคนมาร่วมสร้างความสนุกด้วยกัน มีการอ่านบทกวีแปลจากภาษาฮินดีเป็นภาษาไทย ไปจนถึงอ่านบทกวีเป็นภาษากะเหรี่ยง 

“แล้วเราก็เริ่มจัด open mic อีกครั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คราวนี้มีธีมด้วย ชื่อว่า Bad Night แตกสลาย พอดีเราจัดหลังช่วงเกิดเหตุที่โคราชพอดี เลยใช้ชื่อนี้แทน Bad Valentine คนก็มาร่วมงานเยอะเหมือนกัน” 

 

สร้างร้านหนังสือให้เป็นพื้นที่ที่คนสบายใจเมื่อได้แวะเวียนเข้ามา

“เราอยากให้ร้านหนังสือเป็นพื้นที่ที่ 3 นอกจากบ้านกับที่ทำงาน ถ้าไม่ได้ไปสังสรรค์ที่ไหนก็แวะมาร้านนี้ได้เสมอ” โอ๊บตอบหลังจากเราถามว่าเมื่อร้านหนังสือเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เป้าหมายของเขาตอนนี้คืออะไร

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาจัดร้านให้คนได้เข้ามาเลือกหนังสือ นั่งอ่าน นั่งพูดคุยกันอย่างสบายๆ พร้อมมุมชาให้บริการกับผู้มาเยือน แม้เขาจะเล่าอย่างขำขันว่าไม่ค่อยมีใครเข้ามาดื่มเท่าไหร่นัก

“ตอนแรกจุดหมายคืออยากทำเพื่อตัวเราเอง แต่พอเปิดร้านจริงๆ กลับกลายเป็นว่าเราต้องคิดมากกว่านั้น เราอยากจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้คนได้อ่านจริงๆ เช่น ทำบุ๊กคลับ บุ๊กทอล์ก ชวนคนพูดคุยเรื่องหนังสือแต่ละเล่ม ซึ่งเราก็อยากหยิบหนังสือที่อ่านจริงๆ มาคุยด้วย แต่เราอ่านแต่การเมือง นี่ก็จะเป็นโอกาสที่ได้อ่านหนังสือหลากหลายอย่างที่อยากทำ แล้วมาชวนคนอื่นคุยกัน

“อีกอย่างคือเราอยากจัดเสวนาให้นักเขียนได้มาพูดคุยกัน จัดงาน poetry night บริเวณด้านหลัง ให้คนมากินข้าว อ่านบทกวีกัน มันเป็นวัฒนธรรมแบบจอร์เจีย เพราะเราชอบกวีนิพนธ์มากและเห็นความสำเร็จของบ้านๆ น่านๆ ก็อยากลองทำดู แต่เริ่มจากคนตัวเล็กๆ นี่แหละมาช่วยกันจัดเป็นพื้นที่เล็กๆ เพราะตั้งแต่มาอยู่ขอนแก่นก็เริ่มสังเกตแล้วว่าคนขอนแก่นชอบงานศิลปะมาก” โอ๊บพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเริ่มเห็นความเป็นไปได้ในการทำร้านหนังสือ โอ๊บเริ่มมีกำลังใจในการทำร้านนี้มากขึ้นไหม เราถาม

เราพยายามแยกแยะอยู่ว่ามันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เพราะจริงๆ แล้วกิจกรรมส่งเสริมการอ่านก็ยังไม่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง แต่ก็นับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ใจเราไม่แฟบเกินไปนัก ไม่กล้าดีใจเร็ว แต่ว่าเวลาเสียใจเร็วเหลือเกิน” เขาหัวเราะให้กับคำตอบตัวเอง 

แต่โอ๊บบอกว่าจะค่อยๆ จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการอ่านไปเรื่อยๆ ตามความพร้อม เพื่อไม่ให้เป็นการกดดันตัวเองจนเกินไป อีกอย่างตอนนี้ขอนแก่นเริ่มมีร้านหนังสืออิสระมากขึ้นแล้ว เขาคิดว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะแต่ละร้านเริ่มเลือกแนวทางของตัวเองชัดเจน และมีร้านหนังสือกระจายตัวในขอนแก่นมากขึ้น

“อนาคตเราอาจเป็นร้านหนังสือเฉพาะทาง เลือกหนังสือเข้ามาได้ง่ายขึ้น และจัดกิจกรรมที่เราอยากทำมากขึ้น เพื่อเป็นอีกพื้นที่ให้คนได้สบายใจที่จะมา”  


ภาพ : สุย 

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย