วักกาไน : เหนือสุดแดนอาทิตย์อุทัย เมืองแห่งสายลม ชมวิวได้ถึงรัสเซีย

ประเทศญี่ปุ่นเป็นเป้าหมายปลายทางของคนไทยหลาย คน โดยเฉพาะสถานที่สำคัญที่หลายคนอยากไปสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นส่วนโตเกียว ที่มีทั้งภูเขาไฟฟูจิ ห้าแยกย่านชิบูยะ ไปจนถึงโซนคันไซเช่น โอซากา เกียวโต นารา หรือตอนใต้ของญี่ปุ่นในโซนภูมิภาคคิวชู เช่น ฟูกูโอกะ ฮิโรชิมา หรือจังหวัดที่คนไทยที่กำลังนิยมอย่างโอกินาวา เพื่อสัมผัสทะเลญี่ปุ่นอันสวยงามอย่างใกล้ชิด

และในจุดหมายทั้งหมดนั้นก็มีอีกภูมิภาคยอดนิยมโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวเพื่อสัมผัสกับหิมะ นั่นคือฮอกไกโด ภูมิภาคเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น

หากใครอยากสัมผัสหิมะแบบไม่ไกลจากไทย ฮอกไกโดดูจะใกล้ประเทศไทยมากที่สุดและไม่ต้องขอวีซ่าด้วย เมืองที่คนไทยชอบไปหลัก ก็มีทั้งซัปโปโร จุดศูนย์กลางแห่งเกาะฮอกไกโด ฮาโกดาเตะ ตอนใต้ของฮอกไกโด หรือจะเดินสายชิมของหวานก็หนีไม่พ้นโอตารุ หรือไปแช่ออนเซน ตามรอยหนังเรื่อง แฟนเดย์ฯ ก็ไปที่โนโบริเบตสึ หรือไกลสุดก็ไปดูหมีขาว พาเหรดเพนกวินที่เมืองอาซาฮิกาวะ

แต่ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปภูมิภาคฮอกไกโดครั้งแรกของผม กว่าจะได้กลับไปเยือนอีกครั้งก็คงอีกหลายปี เมื่อผมมีโอกาสได้ย่างกรายบนเกาะฮอกไกโด ก็ขอมุ่งหน้าสู่เมืองเหนือสุดของแดนอาทิตย์อุทัยที่มีชื่อว่า ‘วักกาไน’

วักกาไนมีฉายาว่า ‘เมืองแห่งสายลม’ ตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของเกาะฮอกไกโดและจุดเหนือสุดของญี่ปุ่น คือแหลมโซยะ ซึ่งในช่วงฟ้าใสก็จะเห็นประเทศรัสเซียอยู่ไกล ระยะทางจากแหลมโซยะไปเกาะซาฮาริน รัสเซีย ก็เพียงแค่ 43 กิโลเมตรเท่านั้น และห่างจากเกาะอิชิกากิของโอกินาวา 2,849 กิโลเมตร

การเดินทางไปเมืองวักกาไนสามารถทำได้ 3 วิธีคือ หนึ่ง เช่ารถขับ สอง นั่งเครืองบินซึ่งมีเพียงวันละ 2 เที่ยวบินเท่านั้นโดยสายการบิน ANA เป็นเครื่องลำเล็ก และวิธีที่สามคือนั่งรถไฟ ซึ่งผมใช้วิธีที่ 3 ครับ คือ JR Hokkaido Pass 7 วัน ซึ่งก็คุ้มสำหรับเดินทางไปเมืองเหนือสุดแล้ว

การเดินทางด้วยรถไฟจากซัปโปโรมาวักกาไนใช้เวลายาวนาน แต่ก็ทำให้เห็นสภาพและอากาศรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว ทั้งใบไม้เปลี่ยนสี หิมะตก และสายฝน เมื่อห่างจากเมืองซัปโปโรและเข้าสู่อาซาฮิกาวะคนยังค่อนข้างหนาแน่น แต่เมื่อรถไฟออกจากอาซาฮิกาวะ ผู้คนก็เริ่มน้อยลงจนเมื่อมาถึงวักกาไนในเวลา 17:30 . บรรยากาศมืดมิดและเงียบสงบ ผู้โดยสารจำนวนไม่ถึง 10 คน เดินทางมาถึงสถานี JR สุดท้ายและสถานีเหนือสุดของแผ่นดินญี่ปุ่น

เมื่อออกจากรถไฟเราเจอป้ายที่เขียนว่า ‘สู่สถานีเหนือสุดแดนญี่ปุ่น จุดสิ้นสุดทางรถไฟสายเหนือ สถานีวักกาไน’ ส่วนป้ายไม้เขียนว่า ปลายเหนือสุดของญี่ปุ่น สถานีวักกาไน’

ออกจากสถานีวักกาไน อากาศเย็นยะเยือกเข้ามาแทนที่ ลมหนาวปะทะหน้าสมฉายา ‘เมืองแห่งสายลม’ บรรยากาศหกโมงเย็นเงียบและวังเวงเหมือนเมืองร้าง พวกผมรีบไปโรงแรมเพื่อเช็กอินและเก็บแรงไว้สำหรับวันต่อไป

ยามเช้า วักกาไน พระอาทิตย์ส่องแสงจากหน้าต่างห้องนอน มองเห็นสถานีวักกาไนและกังหันลมบนเขาไกลลิบ เมืองนี้ช่างเงียบสงบดีแท้ และวันนี้เราจะไปชมสถานที่ในเมืองวักกาไนกัน

สถานที่แรกคือกำแพงกั้นลมหรือ Wakkanai Port North Breakwater Dome อยู่ใกล้โรงแรมที่ผมพักเพียง 5-6 นาทีเท่านั้น กำแพงนี้สร้างเป็นโดมสำหรับกันคลื่นและลมเข้ามาบริเวณท่าเรือ ภายในโดมกำแพงมีเสาแบบโรมัน แนะนำให้ไปยามเช้าจะได้รูปสวยงาม แถมระหว่างที่กำลังเดิน หิมะแรกในวักกาไนก็โปรยปรายลงมา สร้างความตื่นเต้นในยามเช้าให้พวกเราเป็นอย่างมาก

หลังชมกำแพงกั้นลมแล้ว ต่อไปนี้คือไฮไลต์ทริปฮอกไกโดของผม นั่นคือจุดเหนือสุดแผ่นดินญี่ปุ่นแหลมโซยะ ที่นั่งรถบัสจากสถานีวักกาไนราคาไป-กลับ 2,500 เยน และใช้เวลาเพียง 50 นาที

ตอนไปถึงแหลมโซยะ อุณหภูมิอยู่ที่ 1.7 องศาเซลเซียส ใกล้จะแตะเลขศูนย์แล้ว ที่แหลมโซยะบรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา เพราะมีคนอาศัยอยู่น้อยมาก และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะมากัน อาจเพราะไม่คุ้มกับเวลาเดินทาง

ถัดจากสัญลักษณ์จุดเหนือสุด มีรูปปั้นที่อยู่ใกล้ กันคือ Mamiya Rinzō ที่หันหน้าไปยังเกาะซาฮาลิน เพราะเขาผู้นี้เป็นนักสำรวจที่มีชื่อเสียงในปลายสมัยโชกุนและเป็นคนค้นพบเกาะซาฮาลินนั่นเอง

จากรูปปั้นรินโซ ข้ามถนนไปเราจะเจอบันไดขึ้นเขา เมื่อขึ้นไปก็เจออนุสรณ์รำลึกผู้เสียชีวิตสายการบินโคเรียนแอร์ KAL007 ที่บินตรงจากนิวยอร์กมู่งหน้าสู่กรุงโซล เกาหลีใต้ แต่ถูกยิงตกด้วยมิสไซล์ของสหภาพโซเวียด อันเนื่องมาจากยุคนั้นเป็นช่วงความขัดแย้งระหว่างคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตยหรือสงครามเย็น ทำให้มีผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด 269 คน รวมถึงคนไทยด้วย

บริเวณนี้มีร้านของที่ระลึก เป็นตึกสีฟ้าเด่นตระหง่าน และมี ‘หนังสือรับรองการมาถึงตอนเหนือสุดของญี่ปุ่น’ เป็นที่ระลึกในราคาเพียง 100 เยนเท่านั้นซึ่งในหนังสือรับรองระบุว่าคุณได้มาถึงตอนเหนือสุดแล้วนะ อยู่ที่ละติจูด 45 องศา 31 นาที รวมถึงวันที่เราไปและเวลา

เมื่อได้เวลาอันสมควร ก็กลับเข้าเมืองไปหาอะไรกินกัน ที่ท่าเรือมีร้านอาหารอยู่แห่งหนึ่งซึ่งเมนูที่ผมกินคือ Oversize Hokke Set Meal ราคา 1,800 เยน เมื่อกินเสร็จ ดื่มกาแฟดำปิดท้าย แล้วก็ได้เวลาจากเมืองวักกาไน เมืองที่ผมใช้เวลาแค่ 1 วันเท่านั้น

เมื่อถึงสถานีวักกาไนก็จะเจอทางรถไฟยื่นออกมานอกตัวสถานี เป็นหมุดหมายแสดงว่าตรงนี้เคยเป็นชานชาลาเก่าและเป็นสัญลักษณ์บอกเราอีกครั้งว่า สิ้นสุดเส้นทางรถไฟของญี่ปุ่น เมืองนี้นะจ๊ะ ไม่มีต่อแล้วจ้ะ

ระหว่างรอรถไฟไปยังอาซาฮิกาวะเพื่อไปยังเมืองคุชิโระ ก็นั่งอ่านป้ายตรงหน้าที่นั่งที่เขียนว่า ‘สถานีวักกาไน สถานีเหนือสุดและปลายทางเหนือสุดของญี่ปุ่น’ ขณะที่ด้านล่างตรงสี่เหลี่ยมด้านซ้ายเขียนว่า

‘Ibusuki Makurazaki Line จังหวัดคาโงชิมา เป็นเส้นทางรถไฟสายใต้สุดของญี่ปุ่น‘

สถานี Nishi-Ōyama Station เป็นสถานีใต้สุดของญี่ปุ่น‘

ส่วนตรงสี่เหลี่ยมด้านขวาก็เขียนว่า

สายโซยะ (เป็นเส้นทางรถไฟสายเหนือสุดของญี่ปุ่น)’

สถานีวักกาไน (สถานีเหนือสุดของญี่ปุ่น)’

ส่วนอักษรสีขาวตรงกลาง แปลคร่าว ประมาณว่า จากส่วนใต้สุดถึงส่วนเหนือสุดเชื่อมต่อกันด้วยระบบรางรถไฟ และนี่คือจุดสิ้นสุดทางรถไฟ’ คนชอบนั่งรถไฟหรือชอบการเดินทางแบบนี้คงสนุกและฟิน ที่ครั้งหนึ่งคุณได้มาเหยียบจุดเหนือสุดของญี่ปุ่นแล้ว และผมหวังว่าในไม่ช้าผมคงจะได้ไปเยือนสถานีใต้สุดของญี่ปุ่นที่คาโงชิม่าเช่นกัน

หวังว่าทริปนี้จะทำให้หลาย คนรู้จักเมืองวักกาไนมากยิ่งขึ้นนะ และไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเน้น ‘เหนือสุด จุดเหนือสุด’ ตลอด เพราะเมืองวักกาไนเขาโปรโมตแนวนี้ ไหน ก็อยู่เหนือสุดแล้ว ทุกอย่างเลยต้องมีเหนือสุดให้หมด

AUTHOR