เมื่อเราเลือกสิ่งหนึ่งย่อมหมายถึงเรากำลังละทิ้งอีกสิ่ง ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ | จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

ทางเลือก

ผมใช้เวลาเลือกอยู่นานว่าจะเขียนอะไรในบทบรรณาธิการชิ้นนี้

สำหรับผมการเลือกไม่เคยเป็นเรื่องง่าย เพราะเมื่อเราเลือกสิ่งหนึ่งย่อมหมายถึงเรากำลังละทิ้งอีกสิ่ง ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่

ส่วนระดับความยากในการเลือกก็อยู่ที่ว่าเดิมพันของมันมากน้อยแค่ไหน การเลือกว่าจะกินอะไรอาจจะไม่ยากเท่าการเลือกซื้อบ้านสักหลัง การเลือกเส้นทางกลับบ้านก็ง่ายกว่าการเลือกเส้นทางชีวิตในอนาคต

ทางเลือก

เรื่องตลกร้ายของสิ่งที่เรียกว่าชีวิตคือเราต้องยืนอยู่ระหว่างทางแยกในการเลือกแทบจะทุกวินาที

คุณจะอ่านบรรทัดถัดไปไหม หรือตัดสินใจหันเหไปทำอย่างอื่น นี่ก็นับเป็นการเลือก

หลายครั้งการเลือกไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย เลือกทางไหนก็ไม่ผิด ในขณะที่บางการเลือกก็เรียกร้องความเข้มแข็งของหัวจิตหัวใจมหาศาล

“หากผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นจะให้พยาบาลปั๊มหัวใจไหม”

เมื่อราว 2 เดือนก่อนผมได้รับคำถามนี้จากนางพยาบาลในห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน หลังจากอี๊หรือป้าที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กและรักผมเหมือนลูกเส้นเลือดในสมองแตก

ทางเลือกหนึ่งฝืนกลไกธรรมชาติ ทำให้คนที่เรารักอยู่กับเราต่อไปได้อีกช่วงเวลาหนึ่ง แต่อี๊จะทรมาน กับอีกทางเลือกคือโอบรับความเป็นจริง ทำใจว่าอี๊อาจจากไปได้ทุกเวลานาที ซึ่งอี๊จะทรมานน้อยกว่า–คนที่ทรมานคือเราเอง

ความยากทบทวีคูณเมื่อระยะเวลาในการตัดสินใจไม่ได้แปรผันตามความยากของโจทย์

สุดท้ายผมจำต้องใช้เวลาไม่นานตัดสินใจเลือกทางหลัง

หากจะมีอะไรสักอย่างในชีวิตที่เราไม่มีโอกาสเลือกก็คงเป็นผลของการตัดสินใจ

หลังจากพยาบาลเดินจากไปน้ำตาผมก็ไหลออกมาอย่างไร้การควบคุม ในขณะที่อวัยวะภายในบริเวณอกข้างซ้ายแตกสลายเรียบร้อยแล้ว

“ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมที่จะลาออก”

เมื่อราวเดือนก่อนพี่ในบริษัทที่เคารพถามซ้ำหลายครั้งด้วยประโยคเดิมผ่านทางโทรศัพท์เมื่อผมตัดสินใจขอลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัว

ไม่ง่ายในการเลือกยืนยันเดินออกมาจากการงานและสื่อที่รัก บางทีนี่อาจเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่บุคคลที่ผมรักที่สุดในชีวิตเพิ่งจากไปไม่นาน

สำหรับผม a day ไม่ใช่แค่สื่อหรือนิตยสาร หากแต่มันเป็นทั้งโรงเรียนสอนวิชาชีพและโรงเรียนดัดสันดาน เป็นที่หล่อหลอมตัวตนและปลูกฝังทัศนคติในการทำงานจนมีวันนี้ ผู้คนที่ผมผูกพันทั้งหลายก็รู้จักกันที่นี่ มีความฝันมากมายที่พวกเราเอามาแชร์กันในที่แห่งนี้ การต้องตัดสินใจเดินจากมาจึงเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดและทำใจลำบาก

ทางเลือก

“ไม่ผูก ไม่ยึด เพื่อให้สุดท้ายในวันที่ไม่มีมัน เราจะได้ไม่เคว้ง”

บางประโยคของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ลอยเข้ามาในส่วนลึกของใจขณะไล่สายตาอ่านต้นฉบับ a day เล่มสุดท้ายที่ผมจะได้ทำในฐานะบรรณาธิการ ประโยคนี้ทั้งทำหน้าที่ตบบ่าปลอบใจและบอกเตือนสัจจะบางประการ

ไม่ว่าจะการจากไปของอี๊หรือการลาออกจากงาน ความเจ็บปวดก็ล้วนเกิดจากการที่เราผูกและพัน ยึดและถือสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต แต่ทำยังไงได้ ธรรมชาติของมนุษย์ล้วนเป็นเช่นนี้ไหม ผมไม่แน่ใจ แต่ผมเป็นมนุษย์เช่นนี้ และบางทีนี่อาจเป็นอีกสิ่งในชีวิตที่เราไม่มีทางเลือก ก็ได้แต่ทำใจรับผลของมัน

ในวันนั้นแม้ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแค่ไหนว่าจะลาออก แต่พอวางสายผมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ปล่อยให้น้ำตาทำหน้าที่ของมันอีกครั้งในรอบไม่กี่สัปดาห์

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทางที่เราเลือกคือทางที่ถูก

ผมถามคำถามนี้กับตัวเองในช่วงชีวิตที่ผ่านการเลือกยากๆ มาติดๆ กัน แล้วก็ตระหนักได้ว่าท้ายที่สุดการจะหาคำตอบของคำถามนี้ เราอาจต้องนิยามให้ได้ว่าการตัดสินใจที่ ‘ถูก’ เป็นอย่างไร

หากจะมีบางสิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้ในชีวิตช่วงนี้คงเป็นการรู้ว่าไม่มีทางเลือกใดในชีวิตหรอกที่ดีทั้งหมดหรือแย่ทุกอย่าง สุดท้ายไม่ว่าเราจะตัดสินใจเลือกหนทางใดเราจะได้ลิ้มรสทั้งด้านหวานและขมของทางเลือกนั้น ทุกทางเลือกมีทั้งสุขและทุกข์มัดรวมกันมาเป็นแพ็กเกจ

หน้าที่เรามีเพียงเลือกอย่างกล้าหาญแล้วโอบรับทั้งด้านดีและร้ายจากการเลือกนั้น

ย้อนกลับไปวันที่ผมเลือกกลับมาเป็นบรรณาธิการบริหารที่ a day หากถามว่าถ้าวันนั้นผมรู้ว่าสุดท้ายมันจะจบลงเช่นนี้ที่แต่ละคนต้องแยกย้าย ผมยังจะเลือกแบบเดิมไหม–มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดหรือเปล่า

คำตอบคือผมไม่เคยคิดว่าตัวเองตัดสินใจผิด มันตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะมีการตัดสินใจครั้งใดที่ผมอยากย้อนเวลาไปขอบคุณตัวเองในอดีตก็คงเป็นการตัดสินใจครั้งนั้น ช่วงเวลากว่า 2 ปี 8 เดือนเป็นช่วงเวลาที่งดงามในชีวิต ย้อนมองกลับไปก็มีรอยยิ้ม ภูมิใจในสิ่งที่พวกเราชาว a team ได้ทำร่วมกัน ดีใจที่พวกเราได้ใช้วันเวลาร่วมกัน

แน่นอน มันไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความสุข มีความเจ็บปวดไม่น้อยที่ผมต้องเก็บและกลืนไว้กับตัว มีหลายค่ำคืนที่นอนหลับไปพร้อมความกังวลโดยไม่กล้าแบ่งปันกับใคร มีความโกรธเกรี้ยวต่อความไม่เป็นธรรมเหมือนปุถุชนทั่วไป แต่สิ่งเหล่านั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่การงานพัดพามาให้

ผมได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตล้ำค่าที่ไม่มีสถานศึกษาที่ไหนบอกสอน ได้ขัดเกลาตัวเองให้นึกถึงคนรอบตัวนอกจากคร่ำเคร่งเอาแต่งานส่วนตัวให้ดี ได้ภูมิใจไปกับการเห็นน้องๆ ในทีมเติบโต ซึ่งเป็นความสุขชนิดที่ใช่ว่าทุกคนจะเคยสัมผัส ได้ทำงานกับทีมที่เก่งและเป็นมนุษย์ที่น่ารัก ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักในโลกการทำงานทุกวันนี้ ได้พบพานกัลยาณมิตรที่มาทั้งในรูปแบบคอลัมนิสต์ พาร์ตเนอร์ในโปรเจกต์ต่างๆ รวมถึงผู้ติดตามที่คอยส่งกำลังใจทั้งในยามที่พวกเราทำอะไรน่าสนุกสนานหรือยามได้รับแรงกระแทกจากสถานการณ์ไม่คาดคิด–ผมขอใช้พื้นที่นี้ขอบคุณทุกคนจากส่วนลึกของหัวใจ

สุดท้ายแล้ว ทางเลือกที่ถูกในชีวิตสำหรับผมคงไม่ใช่ทางเลือกที่ไม่มีความทุกข์ใด หากแต่มันเป็นทางเลือกที่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วเราไม่เสียดาย และได้พบความหมายสำคัญจากการเลือกนั้น

ในช่วงเวลาแสนสั้นบนโลกอันกว้างใหญ่ จะมีอะไรน่าดีใจเท่าการได้รู้ว่าวันเวลาที่ผ่านมามันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

AUTHOR