มนุษย์แต่ละคนเติบโตด้วยความต้องการแสงที่ต่างกัน | จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

ช่วงเดือนที่ผ่านมาผมหันมาปลูกต้นไม้ในห้องนอน แต่ละต้นวางกระจายไว้แต่ละมุมตามความสวยงามลงตัวglobal citizen

พ่วงมากับต้นไม้คือภาระหน้าที่ใหม่ที่งอกขึ้นมา ทุกเช้าผมจะต้องตื่นมายกกระถางทั้งหมดไปวางนอกหน้าต่าง เพราะหากทำการบ้านสักหน่อยเราย่อมรู้ว่าต้นไม้แต่ละต้นล้วนต้องการแสงในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มีทางเลยที่มันจะเติบโตในมุมมืด

ยามที่ต้นไม้ขาดแสงที่เพียงพอ บางต้นไม่ใช่แค่ไม่เติบโต แต่ถึงขั้นเหี่ยวเฉาและตายลงช้าๆ

เมื่ออยากเห็นมันงอกงาม จะมีทางเลือกใดนอกจากย้ายไปข้างนอก

อาจไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่ทำยังไงได้

ก็แสงสว่างมันอยู่ตรงนั้น

global citizen

ช่วงเวลาเดียวกับที่หันมาปลูกต้นไม้ในห้อง ผมและทีมกำลังคลุกคลีอยู่กับการทำ a day ฉบับ global citizen ที่ตั้งใจบอกเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตในต่างแดนผ่านชีวิตของเหล่าพลเมืองโลกผู้โยกย้ายจากไทยไปอยู่ประเทศต่างๆ

การอ่านเรื่องเล่าของแต่ละคนทำให้ผมเห็นทั้งจุดต่างและจุดร่วม

แน่นอนว่าต้นทุนชีวิต วิธีคิดในการโยกย้าย จุดหมายปลายทาง หรือเหตุผลที่ผลักดันให้ต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของแต่ละคนย่อมต่างกัน

บ้างเดินทางด้วยมีครอบครัวหนุนหลัง มีทุนทรัพย์เหลือเฟือ บ้างเดินทางด้วยการทุบหม้อข้าว ไม่รู้เลยว่าปลายทางมีอะไรรออยู่ รู้แค่ว่าต้องไปและไม่มีแผนสำรอง

บ้างตั้งใจไปอยู่ระยะสั้นแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่ยาว บ้างตั้งใจตีตั๋วเที่ยวเดียวไปลงหลักปักฐานที่ต่างแดน

บ้างเดินทางไปประเทศที่โดดเด่นเรื่องงานสร้างสรรค์ บ้างเดินทางไปประเทศที่เปิดกว้างเรื่องเสรีภาพ

บ้างเดินทางด้วยสมัครใจ อยากไปเห็นว่าบ้านเมืองที่พัฒนาเป็นยังไง อยากไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น บ้างเดินทางด้วยเหตุจำเป็น ไม่ได้อยากจากบ้านเกิด ครอบครัว หรือคนรักหรอก แต่ถ้าไม่ไปก็อาจถูกลิดรอนอิสรภาพหรือถูกหมายปองถึงชีวิต

แต่ไม่ว่าจะต่างกันยังไง ผมก็พอเห็นจุดร่วมของพลเมืองโลกเหล่านั้น

ที่ผ่านมาผมเห็นคนจำนวนไม่น้อยพยายามสร้างภาพว่าเหล่าผู้ต้องการโยกย้ายประเทศคือผู้เกลียดชังบ้านเมือง ไม่รักบ้านเกิด รวมถึงมีความพยายามในการปิดกรุ๊ปในเฟซบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลความรู้ที่จำเป็นในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากแต่จุดร่วมที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจย้ายประเทศคือความหวังและโอกาสที่เขามองหามันอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางด้านการศึกษา โอกาสในการลืมตาอ้าปาก โอกาสในการพัฒนาศักยภาพให้เต็มขีดความสามารถโดยไม่มีอะไรมาครอบ รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี

แน่นอน ใช่ว่าประเทศต่างๆ จะมีแต่ข้อดี โดยเฉพาะกับผู้มาใหม่ แต่ละคนย่อมต้องเผชิญแรงเสียดทาน มากน้อยอาจต่างกัน แต่ทุกคนต่างต้องเผชิญช่วงเวลายากลำบากในการปรับตัวทั้งสิ้น บางบ้านเมืองที่แม้จะเชิดชูเสรีภาพก็ยังมีปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวให้เห็น เพียงแต่มันก็เป็นในระดับปัจเจก เพราะเหนืออื่นใด หลายตัวละครในเล่มล้วนพูดตรงกันว่าสุดท้ายยังมีกฎหมายช่วยคุ้มครองประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม รวมถึงโครงสร้างต่างๆ ในสังคมที่มองมนุษย์เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นใคร ประกอบอาชีพใด ก็มีคุณภาพ
ชีวิตที่ดีได้

เมื่อโครงสร้างต่างๆ ดำเนินไปภายใต้วิธีคิดที่ว่ามนุษย์เท่ากัน ผู้คนในบ้านเมืองนั้นก็ยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรี และเคารพกันในฐานะมนุษย์กับมนุษย์

หนึ่งในคนที่ผมคิดว่าเรื่องเล่าของเธอช่างทรงพลังคือเพียงฝัน นาคสุขไพบูลย์ หญิงสาวผู้มีอาการออทิสติกในวัยเด็กจนไม่อาจหาที่ทางแสดงศักยภาพในบ้านเกิดได้

“เรารู้สึกว่าสังคมไทยตีกรอบให้เด็กเป็นได้แค่ ‘อภิชาตบุตร’ ต้องเพอร์เฟกต์และเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาให้พ่อแม่ เราอยากถามว่าลูกที่เกิดมาไม่สมประกอบนับเป็น ‘อวชาตบุตร’ ด้วยหรือเปล่า” คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบของเธอสะท้อนภาพอะไรหลายอย่างในบ้านเรา

โชคดีที่หลังจากใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในวัยเด็กเธอตัดสินใจโบยบินออกสู่โลกกว้างไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อหาหนทางใหม่ให้ชีวิตหลังจากได้ทุนการศึกษา

ปัจจุบันเธอเป็นนักวิจัยและนักศึกษาปริญญาเอกด้านพันธุกรรมมะเร็ง (Cancer Genomics) จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยควีนเบลฟาสต์

“ระบบการศึกษาที่อังกฤษทำให้คนมีสิทธิที่จะฝัน โดยที่คุณค่าทุกอาชีพเท่ากัน และทุกคนมีเกียรติเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม” เพียงฝันเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในต่างแดนแต่เป็นเพียงฝันในบ้านเกิด

ทำให้คนมีสิทธิที่จะฝัน–คำง่ายๆ แต่ยามนี้นึกไม่ออกว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองที่เราอยู่อาศัยได้ยังไง ในเมื่อหันมองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพรัฐไล่ลิดรอนความหวังและความฝันของผู้คน

และในยามที่บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยใฝ่ฝันจะย้ายตัวเองออกไปข้างนอกและมองตัวเองเป็นพลเมืองโลก

ที่ใดก็ได้ที่มีความหวัง ที่ไหนก็ได้ที่มีแสงสว่าง

global citizen

คล้ายต้นไม้, ผมคิดว่ามนุษย์แต่ละคนเติบโตด้วยความต้องการแสงที่ต่างกัน

บางคนอาจทนอยู่ได้ในที่แสงน้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันอาจโตช้า หรือไม่โตไปกว่านี้

ในขณะที่บางคนอยู่ไม่ได้ในที่ไร้แสง มันเหี่ยว มันเฉา โชคดีที่เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถพาตัวเองไปข้างนอกได้โดยไม่ต้องรอให้ใครมาเคลื่อนย้าย

เมื่ออยากเห็นชีวิตงอกงาม จะมีทางเลือกใดนอกจากย้ายไปข้างนอก

อาจไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่ทำยังไงได้

ก็แสงสว่างมันอยู่ตรงนั้น

1

11“อยู่ผิดที่ กี่ปีก็ไม่โต” ประโยคนี้หากหมายถึงต้นไม้ คงเป็นการปลูกผิดที่ผิดกระถางไม่มีแสงที่เหมาะสมให้เติบโตแผ่กิ่งก้านใบ หากหมายถึงมนุษย์ การเติบโตที่ว่าไม่ใช่แค่ร่างกาย เราต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน มีความฝัน หรือแม้กระทั่งอุดมการณ์ที่ยึดถือ หลังคลุกคลีอยู่กับการทำ a day ที่ว่าด้วยเรื่องราวของหลายชีวิตที่มุ่งหน้าไปแสวงหาบ้านหลังใหม่ในต่างแดน เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการเติบโตให้กับชีวิต ‘จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์’ สังเกตเห็นจุดร่วมบางอย่างของพวกเขาเหล่านนั้น นั่นคือความหวังและโอกาส คล้ายกับต้นไม้ เมื่ออยากเห็นชีวิตงอกงามจะมีทางเลือกใดนอกจากย้ายไปข้างนอก ไปหาแสง ไปเติบโต

12“อยู่ผิดที่ กี่ปีก็ไม่โต” ประโยคนี้หากหมายถึงต้นไม้ คงเป็นการปลูกผิดที่ผิดกระถางไม่มีแสงที่เหมาะสมให้เติบโตแผ่กิ่งก้านใบ หากหมายถึงมนุษย์ การเติบโตที่ว่าไม่ใช่แค่ร่างกาย เราต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน มีความฝัน หรือแม้กระทั่งอุดมการณ์ที่ยึดถือ หลังคลุกคลีอยู่กับการทำ a day ที่ว่าด้วยเรื่องราวของหลายชีวิตที่มุ่งหน้าไปแสวงหาบ้านหลังใหม่ในต่างแดน เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการเติบโตให้กับชีวิต ‘จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์’ สังเกตเห็นจุดร่วมบางอย่างของพวกเขาเหล่านนั้น นั่นคือความหวังและโอกาส คล้ายกับต้นไม้ เมื่ออยากเห็นชีวิตงอกงามจะมีทางเลือกใดนอกจากย้ายไปข้างนอก ไปหาแสง ไปเติบโต

2

21“อยู่ผิดที่ กี่ปีก็ไม่โต” ประโยคนี้หากหมายถึงต้นไม้ คงเป็นการปลูกผิดที่ผิดกระถางไม่มีแสงที่เหมาะสมให้เติบโตแผ่กิ่งก้านใบ หากหมายถึงมนุษย์ การเติบโตที่ว่าไม่ใช่แค่ร่างกาย เราต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน มีความฝัน หรือแม้กระทั่งอุดมการณ์ที่ยึดถือ หลังคลุกคลีอยู่กับการทำ a day ที่ว่าด้วยเรื่องราวของหลายชีวิตที่มุ่งหน้าไปแสวงหาบ้านหลังใหม่ในต่างแดน เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการเติบโตให้กับชีวิต ‘จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์’ สังเกตเห็นจุดร่วมบางอย่างของพวกเขาเหล่านนั้น นั่นคือความหวังและโอกาส คล้ายกับต้นไม้ เมื่ออยากเห็นชีวิตงอกงามจะมีทางเลือกใดนอกจากย้ายไปข้างนอก ไปหาแสง ไปเติบโต

22“อยู่ผิดที่ กี่ปีก็ไม่โต” ประโยคนี้หากหมายถึงต้นไม้ คงเป็นการปลูกผิดที่ผิดกระถางไม่มีแสงที่เหมาะสมให้เติบโตแผ่กิ่งก้านใบ หากหมายถึงมนุษย์ การเติบโตที่ว่าไม่ใช่แค่ร่างกาย เราต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน มีความฝัน หรือแม้กระทั่งอุดมการณ์ที่ยึดถือ หลังคลุกคลีอยู่กับการทำ a day ที่ว่าด้วยเรื่องราวของหลายชีวิตที่มุ่งหน้าไปแสวงหาบ้านหลังใหม่ในต่างแดน เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการเติบโตให้กับชีวิต ‘จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์’ สังเกตเห็นจุดร่วมบางอย่างของพวกเขาเหล่านนั้น นั่นคือความหวังและโอกาส คล้ายกับต้นไม้ เมื่ออยากเห็นชีวิตงอกงามจะมีทางเลือกใดนอกจากย้ายไปข้างนอก ไปหาแสง ไปเติบโต

3

31“อยู่ผิดที่ กี่ปีก็ไม่โต” ประโยคนี้หากหมายถึงต้นไม้ คงเป็นการปลูกผิดที่ผิดกระถางไม่มีแสงที่เหมาะสมให้เติบโตแผ่กิ่งก้านใบ หากหมายถึงมนุษย์ การเติบโตที่ว่าไม่ใช่แค่ร่างกาย เราต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน มีความฝัน หรือแม้กระทั่งอุดมการณ์ที่ยึดถือ หลังคลุกคลีอยู่กับการทำ a day ที่ว่าด้วยเรื่องราวของหลายชีวิตที่มุ่งหน้าไปแสวงหาบ้านหลังใหม่ในต่างแดน เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการเติบโตให้กับชีวิต ‘จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์’ สังเกตเห็นจุดร่วมบางอย่างของพวกเขาเหล่านนั้น นั่นคือความหวังและโอกาส คล้ายกับต้นไม้ เมื่ออยากเห็นชีวิตงอกงามจะมีทางเลือกใดนอกจากย้ายไปข้างนอก ไปหาแสง ไปเติบโต

32ที่ผ่านมาผมเห็นคนจำนวนไม่น้อยพยายามสร้างภาพว่าเหล่าผู้ต้องการโยกย้ายประเทศคือผู้เกลียดชังบ้านเมือง ไม่รักบ้านเกิด รวมถึงมีความพยายามในการปิดกรุ๊ปในเฟซบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลความรู้ที่จำเป็นในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากแต่จุดร่วมที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจย้ายประเทศคือความหวังและโอกาสที่เขามองหามันอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางด้านการศึกษา โอกาสในการลืมตาอ้าปาก โอกาสในการพัฒนาศักยภาพให้เต็มขีดความสามารถโดยไม่มีอะไรมาครอบ รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี

4

41ที่ผ่านมาผมเห็นคนจำนวนไม่น้อยพยายามสร้างภาพว่าเหล่าผู้ต้องการโยกย้ายประเทศคือผู้เกลียดชังบ้านเมือง ไม่รักบ้านเกิด รวมถึงมีความพยายามในการปิดกรุ๊ปในเฟซบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลความรู้ที่จำเป็นในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากแต่จุดร่วมที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจย้ายประเทศคือความหวังและโอกาสที่เขามองหามันอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางด้านการศึกษา โอกาสในการลืมตาอ้าปาก โอกาสในการพัฒนาศักยภาพให้เต็มขีดความสามารถโดยไม่มีอะไรมาครอบ รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี

42ที่ผ่านมาผมเห็นคนจำนวนไม่น้อยพยายามสร้างภาพว่าเหล่าผู้ต้องการโยกย้ายประเทศคือผู้เกลียดชังบ้านเมือง ไม่รักบ้านเกิด รวมถึงมีความพยายามในการปิดกรุ๊ปในเฟซบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลความรู้ที่จำเป็นในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากแต่จุดร่วมที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจย้ายประเทศคือความหวังและโอกาสที่เขามองหามันอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางด้านการศึกษา โอกาสในการลืมตาอ้าปาก โอกาสในการพัฒนาศักยภาพให้เต็มขีดความสามารถโดยไม่มีอะไรมาครอบ รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี

5

51ที่ผ่านมาผมเห็นคนจำนวนไม่น้อยพยายามสร้างภาพว่าเหล่าผู้ต้องการโยกย้ายประเทศคือผู้เกลียดชังบ้านเมือง ไม่รักบ้านเกิด รวมถึงมีความพยายามในการปิดกรุ๊ปในเฟซบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลความรู้ที่จำเป็นในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากแต่จุดร่วมที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจย้ายประเทศคือความหวังและโอกาสที่เขามองหามันอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางด้านการศึกษา โอกาสในการลืมตาอ้าปาก โอกาสในการพัฒนาศักยภาพให้เต็มขีดความสามารถโดยไม่มีอะไรมาครอบ รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี

52ที่ผ่านมาผมเห็นคนจำนวนไม่น้อยพยายามสร้างภาพว่าเหล่าผู้ต้องการโยกย้ายประเทศคือผู้เกลียดชังบ้านเมือง ไม่รักบ้านเกิด รวมถึงมีความพยายามในการปิดกรุ๊ปในเฟซบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลความรู้ที่จำเป็นในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากแต่จุดร่วมที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจย้ายประเทศคือความหวังและโอกาสที่เขามองหามันอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางด้านการศึกษา โอกาสในการลืมตาอ้าปาก โอกาสในการพัฒนาศักยภาพให้เต็มขีดความสามารถโดยไม่มีอะไรมาครอบ รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี

6

61ที่ผ่านมาผมเห็นคนจำนวนไม่น้อยพยายามสร้างภาพว่าเหล่าผู้ต้องการโยกย้ายประเทศคือผู้เกลียดชังบ้านเมือง ไม่รักบ้านเกิด รวมถึงมีความพยายามในการปิดกรุ๊ปในเฟซบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลความรู้ที่จำเป็นในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากแต่จุดร่วมที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจย้ายประเทศคือความหวังและโอกาสที่เขามองหามันอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางด้านการศึกษา โอกาสในการลืมตาอ้าปาก โอกาสในการพัฒนาศักยภาพให้เต็มขีดความสามารถโดยไม่มีอะไรมาครอบ รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี

62แน่นอน ใช่ว่าประเทศต่างๆ จะมีแต่ข้อดี โดยเฉพาะกับผู้มาใหม่ แต่ละคนย่อมต้องเผชิญแรงเสียดทาน มากน้อยอาจต่างกัน แต่ทุกคนต่างต้องเผชิญช่วงเวลายากลำบากในการปรับตัวทั้งสิ้น บางบ้านเมืองที่แม้จะเชิดชูเสรีภาพก็ยังมีปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวให้เห็น เพียงแต่มันก็เป็นในระดับปัจเจก เพราะเหนืออื่นใด หลายตัวละครในเล่มล้วนพูดตรงกันว่าสุดท้ายยังมีกฎหมายช่วยคุ้มครองประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม รวมถึงโครงสร้างต่างๆ ในสังคมที่มองมนุษย์เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นใคร ประกอบอาชีพใด ก็มีคุณภาที่ดีได้

7

71แน่นอน ใช่ว่าประเทศต่างๆ จะมีแต่ข้อดี โดยเฉพาะกับผู้มาใหม่ แต่ละคนย่อมต้องเผชิญแรงเสียดทาน มากน้อยอาจต่างกัน แต่ทุกคนต่างต้องเผชิญช่วงเวลายากลำบากในการปรับตัวทั้งสิ้น บางบ้านเมืองที่แม้จะเชิดชูเสรีภาพก็ยังมีปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวให้เห็น เพียงแต่มันก็เป็นในระดับปัจเจก เพราะเหนืออื่นใด หลายตัวละครในเล่มล้วนพูดตรงกันว่าสุดท้ายยังมีกฎหมายช่วยคุ้มครองประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม รวมถึงโครงสร้างต่างๆ ในสังคมที่มองมนุษย์เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นใคร ประกอบอาชีพใด ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

72แน่นอน ใช่ว่าประเทศต่างๆ จะมีแต่ข้อดี โดยเฉพาะกับผู้มาใหม่ แต่ละคนย่อมต้องเผชิญแรงเสียดทาน มากน้อยอาจต่างกัน แต่ทุกคนต่างต้องเผชิญช่วงเวลายากลำบากในการปรับตัวทั้งสิ้น บางบ้านเมืองที่แม้จะเชิดชูเสรีภาพก็ยังมีปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวให้เห็น เพียงแต่มันก็เป็นในระดับปัจเจก เพราะเหนืออื่นใด หลายตัวละครในเล่มล้วนพูดตรงกันว่าสุดท้ายยังมีกฎหมายช่วยคุ้มครองประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม รวมถึงโครงสร้างต่างๆ ในสังคมที่มองมนุษย์เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นใคร ประกอบอาชีพใด ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

8

81แน่นอน ใช่ว่าประเทศต่างๆ จะมีแต่ข้อดี โดยเฉพาะกับผู้มาใหม่ แต่ละคนย่อมต้องเผชิญแรงเสียดทาน มากน้อยอาจต่างกัน แต่ทุกคนต่างต้องเผชิญช่วงเวลายากลำบากในการปรับตัวทั้งสิ้น บางบ้านเมืองที่แม้จะเชิดชูเสรีภาพก็ยังมีปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวให้เห็น เพียงแต่มันก็เป็นในระดับปัจเจก เพราะเหนืออื่นใด หลายตัวละครในเล่มล้วนพูดตรงกันว่าสุดท้ายยังมีกฎหมายช่วยคุ้มครองประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม รวมถึงโครงสร้างต่างๆ ในสังคมที่มองมนุษย์เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นใคร ประกอบอาชีพใด ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

AUTHOR