‘ถ้าไม่รัก ระวังจะเสียใจ’ คุยกับ วิโอเลต วอเทียร์ ในเวอร์ชั่นรักตัวเองมากขึ้น ผ่านอัลบั้มใหม่ล่าสุด Your Girl

ใครจะรู้ว่าจุดเริ่มต้นของอัลบั้มเพลงสดใสมากๆ จะเกิดมาจากความรู้สึกด้านลบจากคนเขียนเพลงเอง

เราเซอร์ไพรส์เล็กน้อยที่ได้รู้เบื้องหลังอัลบั้ม Your Girl อัลบั้มใหม่ล่าสุดของวี-วิโอเลต วอเทียร์ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากความรู้สึกเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นอัลบั้มเพลงจังหวะสนุกๆ ชวนให้ทุกคนกลับมาเห็นคุณค่าของตัวเองก็ตาม

ก่อนหน้านี้เราได้ชมโชว์เปิดตัวอัลบั้มใหม่ล่าสุดของวีเมื่อปลายเดือนตุลาคม ชื่อว่า ‘LET V BE YOUR GIRL ALBUM LAUNCH PARTY’ ที่ Lido Connect วีมาร้องเพลงในอัลบั้มใหม่ให้แฟนๆ ได้ฟังแบบสดๆ เราจึงเห็นว่ามู้ดแอนด์โทนในอัลบั้มนี้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับอัลบั้มที่แล้วอย่าง Glitter and Smok

นอกเหนือไปจากเพลงที่แต่งด้วยภาษาไทยทั้งหมดแล้ว จังหวะดนตรี และคอนเซปต์ในห้องนอนที่แสดงออกถึงความสดใสแบบเด็กสาว ยิ่งทำให้วีในตอนนี้ดูแปลกตาออกไป แม้ว่าเนื้อเพลงส่วนใหญ่ก็ยังคงหยิบเรื่องราวในชีวิตออกมาเล่าตามสไตล์ของวีอยู่เช่นเคยก็ตาม

กลับมาครั้งนี้ วีท้าทายตัวเองด้วยคอนเซปต์ที่แข็งแรงขึ้น พูดถึงการกลับมารักตัวเอง เพลงทั้งหมดถูกเขียนในช่วงที่เธอรู้สึกสงสัยในตัวเองและคิดว่าตัวเองยังดีไม่พอ ราวกับเป็นภาคต่อของอัลบั้ม Glitter and Smoke แสดงให้เห็นถึงการเติบโตไปอีกขั้น 

ที่ผ่านมาวีเคยให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่าเธอมักแต่งเพลงจากเรื่องราวในชีวิตของตัวเอง หลังจากที่เราได้ลองฟังทั้ง 10 เพลงในอัลบั้มแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าที่ผ่านมาเกิดเรื่องราวอะไรจนทำให้เธอกลับมารักตัวเอง และเธอคาดหวังอย่างไรกับการเดินทางครั้งใหม่นี้

เราเก็บความสงสัยนี้ไว้กับตัวเองไม่นานนัก ก่อนจะติดต่อเธอไปเพื่อพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับการทำเพลงในอัลบั้มใหม่ และเรื่องราวกว่าจะมาถึงวันที่เธอยอมรับตัวเองในทุกๆ ด้านอย่างเต็มใจ

เราอาจจะเสียใจมากก็ได้ หากไม่ได้ชวนวีมาพูดคุยในบ่ายวันนั้น

อัลบั้มสดใสที่เริ่มต้นด้วยความเศร้าและความสงสัยในตัวเอง

ย้อนกลับไปช่วง Glitter and Smoke อัลบั้มแรกที่เธอภูมิใจมากที่สุด แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด แม้ว่าซิงเกิลเปิดตัวอย่าง Smoke จะไต่ขึ้นสู่อันดับหนึ่งบนชาร์ต Apple Music สูงถึง 8 ประเทศ แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิดจึงทำให้ไม่ได้โปรโมตให้ไปถึงสายตาของผู้ชมมากพอ ทำให้วีจึงรู้สึกเสียใจและเสียดายในเวลาเดียวกัน

Glitter and Smoke ไม่มีจุดจบ อัลบั้มนี้มีอายุสั้นมาก จริงๆ น่าจะได้ต่อยอด แต่เรายื้อรอต่อไปไม่ไหว ไม่งั้นเราจะไม่ได้ทำอะไรเลย เราเลยต้องมูฟออน แล้วเริ่มต้นโปรเจกต์ใหม่” 

หากใครได้ฟังเพลงในอัลบั้ม Your Girl คงต้องบอกว่าเป็นอัลบั้มที่สดใสสำหรับวี ทั้งเนื้อหากระตุ้นให้กำลังใจ รวมถึงจังหวะที่สนุกสนานขึ้นกว่าอัลบั้มที่แล้ว แล้วอะไรที่ทำให้เธอหันมาทำอัลบั้มที่ positive ได้ขนาดนี้

“จุดเริ่มต้นมัน negative มากๆ” เธอตอบทันที “เราสงสัยในความสามารถของตัวเอง เหมือนเราต้องเกิดใหม่ ลุกขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง แล้วคิดว่าเราจะทำยังไงถึงจะมีความสุข” เธอเล่าย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาการทำเพลงอัลบั้มที่แล้ว

“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตอนทำ Glitter and Smoke วีทำเพลงแล้วเครียด ครั้งนี้เลยรู้สึกว่าอยากทำแล้วไม่เครียด เหมือนช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่โลกกำลังเปลี่ยนไปด้วย เราเลยอยากสนุก แต่จริงๆ เราเจอปัญหาชีวิตของเราอยู่ที่ทำให้เราค่อนข้างดาวน์ มันเป็นเรื่องที่ทำให้เรากดดันตัวเองค่อนข้างเยอะ เราตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าเราดีพอกับอะไรหลายๆ อย่างหรือเปล่า”

ระหว่างที่พูดคุยวีค่อยๆ เผยสาเหตุส่วนหนึ่งของความรู้สึกสงสัยในตัวเองที่เริ่มก่อตัวมาจากความตั้งใจเขียนเพลงจากเรื่องราวในชีวิต ที่มักถ่ายทอดเรื่องราวตัวเองในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งแบบหมดเปลือก 

“เราจริงใจกับการเขียน เปลือยกายเปลือยใจให้ทุกคนฟัง มันเลยมีช่วงที่วีนอยด์ เพราะรู้สึกว่าถ้าเขาจะไม่ชอบงานของเรา แปลว่าเขาจะไม่ชอบตัวเราหรือเปล่า พอเพลงพวกนั้นคือตัวตนของเรา มันเลยลิงก์เองในหัวโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจและทำให้เรารู้สึกดีไม่พอในหลายๆ ครั้ง”

“เหตุการณ์นี้มีผลกับคุณอย่างไรบ้าง”

“มันเปลี่ยนมุมมองการทำเพลงไป อัลบั้มที่แล้วมันมีจุดที่วีรู้สึกไม่มีความสุข เพราะเราเครียดว่ามันจะไม่ดี พอทำไปเรื่อยๆ เราไม่รู้แล้วว่าอะไรดีไม่ดี มันไม่ได้วัดจากที่ตัวเองชอบขนาดนั้น ต้องถอยกลับมาแป๊บนึงแล้วกลับไปทำใหม่ แต่อัลบั้มนี้ไม่มีโมเมนต์นั้น เอาตัวเองชอบล้วนๆ 

“อัลบั้ม Glitter and Smoke มันเป็นมู้ดมากๆ คอนเซปต์มันเลยไม่ได้แข็งแรง แต่อัลบั้ม Your Girl มีคอนเซปต์มันแข็งแรงมาก เพราะเราเริ่มจับอะไรที่มันชัดเจน บวกระยะเวลาที่มันสั้นกว่า มันทำให้สโคปตัวตนของเราได้ชัดขึ้น”

แล้วความกดดันทั้งหมดปะทุออกมาให้เธอเริ่มเขียนเพลง อย่าใจร้ายกับตัวเอง เป็นเพลงแรกในอัลบั้ม Your Girl หลังจากทัวร์ Glitter and Smoke เพื่อปลอบใจใครหลายคนรวมถึงตัวเธอเองด้วยว่าทุกคนมีช่วงเวลาเป็นของตัวเอง 

แล้วอัลบั้มใหม่ก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

รักตัวเองให้ได้แม้ในวันที่คนอื่นไม่รัก

“ตอนแรกมันยังไม่ได้ออกมาเป็นคำที่ชัดเจนว่าเราจะรักตัวเอง ยังเป็นแบบ คลั่งรักหรือเปล่า หรือลูกครึ่ง เรายังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรเหมือนกัน”

วีเล่ากลับไปถึงช่วงแรกของอัลบั้มที่ยังไม่มีคอนเซปต์ ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นศิลปินไทยออกอัลบั้มด้วยคอนเซปต์ที่ชัดเจน แต่หลังจากที่ค่อยๆ ตกตะกอนไประยะหนึ่ง ในที่สุดวีกลับมาด้วยเมสเสจง่ายๆ แต่สำคัญสำหรับคนในยุคนี้อย่างการกลับมารักตัวเอง ผ่านแง่มุมต่างๆ ในชีวิต 

“เราทำอัลบั้มนี้เพื่อฮีลตัวเองก็จริง แต่เมสเสจมันใหญ่กว่าแค่ตัวเราเอง เรารู้สึกว่าสังคมและโลกเราตอนนี้มีหลายคนที่รู้สึกดาวน์และโดดเดี่ยว บางครั้งคนเราต้องการการได้ยิน อย่างคำว่า ‘ใจเย็นนะ’ ‘สู้ๆ นะ’ หรือ ‘ไม่เป็นไรนะ’ วีรู้สึกว่าอัลบั้มนี้อยากให้ทำหน้าที่นั้นกับคนที่รู้สึกดาวน์อยู่ อยากบอกว่าไม่ต้องรู้สึกอยู่ตัวคนเดียว พวกเขาดีพอสำหรับทุกๆ อย่าง ถ้าเขาเลือกมองด้วยไม้บรรทัดตัวเอง หลักๆ อยากให้ทุกคนรู้สึกรักตัวเอง”

หากใครได้ฟังเพลงทั้งอัลบั้ม เราจะพบว่าไม่ได้เป็นการให้กำลังใจคนฟังโดยตรงอย่างที่คิด หากแต่เป็นมุมมองของคนที่รักตัวเองมองผ่านเหตุการณ์ต่างๆ 

“มันอาจไม่ได้พูดถึงเรื่องรักตัวเอง 100%” เธอเห็นด้วยที่เราบอกว่าดูเหมือนว่าเพลงไม่ได้พูดถึงแค่ตัวเองเท่านั้น “อย่างเพลงอกหัก เพลง ยื้อเพื่อ แม้ว่ามันจะเป็นการรักคนอีกคนนึง แต่วีรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องการเคารพตัวเองมากๆ เลย ถ้าอีกฝ่ายนึงหมดรักเราแล้วเราจะอยู่ตรงนั้นทำไม เราอยู่ตรงที่เรามีค่าดีกว่าไหม เราเจ็บนะ แต่เรารู้ว่าเรา deserve better ซึ่งวีเห็นเลยว่าวีเคารพตัวเอง บางครั้งเรามักจะรักตัวเองไม่เป็น แล้วเราเอาตัวเองไปผูกไว้กับคนอื่นว่าถ้าเขาไม่รักเรา แปลว่าเราดีไม่พอ เรารู้สึกว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น

“สุดท้ายมันสะท้อนแอดติจูดของเราออกมาว่าช่วงที่ผ่านมาเรารักตัวเองมากขึ้นขนาดไหน เราเคารพตัวเองมากขึ้นขนาดไหน จากทุกๆ เหตุการณ์ เพลงที่เขียนมันเป็นปัจจุบันสำหรับวีมากๆ มันมีเพลงที่วีย้อนกลับไปเล่าถึงความสัมพันธ์เก่า วีรู้สึกว่ามันถึงเวลาที่วีจะเล่าสิ่งนี้ได้แล้ว”

“หมายความว่าคุณเพิ่งโอเคที่จะพูดถึงแฟนเก่าไม่นานมานี้” 

“บางอย่างมันต้องใช้เวลา อย่างเพลง Toxic มันคือภาคต่อของ I’d Do It Again เพราะมองย้อนกลับไป อื้ม กูไม่ do it again แล้วจ้า มันคนละความรู้สึกกัน” 

สิ้นสุดประโยคเธอยิ้มเป็นหลักฐานว่าตอนนี้เธอรู้สึกสบายใจที่จะพูดถึงอดีตแล้วจริงๆ 

“คุณทำอย่างไรจึงกลับมารักตัวเองได้อีกครั้ง” เราถามต่อ

เธอนิ่งไปสักครู่ก่อนตอบ “มันต้องใช้เวลาเหมือนกันกว่าเราจะรักตัวเองเป็น เพราะวีก็เคยรักแล้วก็ให้ๆ แล้วไม่ได้รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่จริงๆ แล้ว เธอกำลังไม่เคารพตัวเอง 

“มันก็ผ่านโมเมนต์ที่ต้องคุยกับตัวเอง หรือระบาย ปรึกษาคนใกล้ตัวเรา แล้วก็จะค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรองออกมาเอง มันเป็น healing prosess มากๆ ที่ถ้าได้ฟังในเพลงจะสัมผัสได้ อย่างวีก็เคยไปพูดกับพี่โหน่ง (วิชญ์ วัฒนศัพท์)โปรดิวเซอร์ของวี เขาบอกว่า วีบ้าปะเนี่ย (หัวเราะ) คือไร้สาระมาก บางครั้งเราก็แบบหลุดเข้าไปในหลุมดำที่เราสร้างขึ้นมาเองด้วยซ้ำ แล้วเราก็ต้องหาวิธีคลานออกมาเอง”

    “ช่วงที่คุยกับตัวเอง คุณคิดถึงเรื่องอะไรบ้าง”

    “วีจะมีช่วงที่วันไหนวีรู้สึกเยอะๆ วีจะพรั่งพรูใส่โน้ตของตัวเอง” วีพยายามนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาเหล่านั้น “มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี ความน้อยใจ ความอิจฉา ความสุข ความ appriciate มันมีทุกอย่างอยู่ตรงนั้นหมดเลย” 

วีเปรียบเทียบว่าเหมือนการได้อ้วกออกไป เพื่อให้สบายตัวขึ้น จากนั้นจึงเริ่มค่อยๆ แก้ปัญหาไปทีละข้อ โดยถามตัวเองเสมอว่าต้องการอะไร ช่วงเวลาเหล่านี้มักเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ อาจจะเป็นการคิดระหว่างนั่งอยู่บนรถ หรือช่วงก่อนนอน 

อาจจะใช่อย่างที่เธอย้ำอยู่เสมอว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา

เพลงภาษาไทย จังหวะเร็ว และเต้นตามได้

การทำเพลงที่ทุกคนสนุกได้แม้ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่การทำเพลงเร็ว และเพลงภาษาไทย ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ดนตรีสนุกกลับเป็นสิ่งที่วีไม่ค่อยถนัด อัลบั้มนี้จึงเป็นความท้าทายด้านใหม่ๆ ของเธอด้วยเหมือนกัน

    “เราอยากท้าทายตัวเอง อยาก explore ที่ผ่านมาวีไปเล่นคอนเสิร์ตด้วยเพลงภาษาอังกฤษ เพลงช้า มาตลอด แล้วเธอเต้นไม่ได้ เธอร้องไม่ได้ ครั้งนี้มันเลยเป็นโจทย์ โอเค งั้นฉันทำเพลงเร็วภาษาไทย เธอเตรียมตัว” เธอยิ้มอย่างสดใส เพื่อบอกว่าโจทย์ที่ท้าทายครั้งนี้เธอทำเพื่อแฟนๆ อย่างเต็มตัว

    “วีไม่ได้เป็นคนมั่นใจในการเขียนเพลงไทยของตัวเองขนาดนั้น แต่วีก็เขียนมาเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าขึ้นมือเหมือนกันนะ วีรู้ว่าภาษาเพลงของวีมันไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ ในตลาดเพลงไทยเท่าไหร่ มันค่อนข้างเป็นภาษาพูดมากๆ มันจะไม่ได้เจ้าบทเจ้ากลอน ร้อยเรียงสวย แต่วีรู้สึกว่าเพลงของวีมันจริงใจมาก วีก็เลยรู้สึกว่า ไม่เป็นไร ใช้ความมั่นใจเข้าสู้”  

    ครั้งนี้นอกจากจะได้ลองเขียนเพลงภาษาไทยแล้ว วียังได้ทดลองใส่วัตถุดิบอื่นๆ ในดนตรี ตั้งแต่อัลบั้มที่แล้วจนถึงอัลบั้มล่าสุด วีคือตัวตั้งตัวตีในออกไอเดียทั้งหมด ตั้งแต่หน้าปกอัลบั้มจนถึงเอ็มวี 

    “วีรู้สึกว่าเราเป็นแม่งานของงานนี้ เราเป็นคนรู้คอนเซปต์ของอัลบั้มนี้ มันทำให้เราเห็นว่าอันนี้เข้าไม่เข้า ไอเดียทุกอย่างมันจะตั้งต้นจากเราก่อนว่าเราอยากเล่าเรื่องไหน แล้วเราไปบอกคนอื่นๆ”

“แม้แต่ตอนทำเอ็มวีก็ตาม วีก็จะบอกไอเดียของวีกับผู้กำกับ แล้วเขาก็จะไปเขย่าต่อ เอาความคิดสร้างสรรค์ของเขาเข้ามาใส่เพิ่มอีก อย่างเพลง ระวังเสียใจ วีก็เล่าให้ฟังว่าเพลงมันคืออะไร เขาก็เลยไปคิดไอเดียมาว่างั้นใส่ฉากฟังเพลง ใส่ VR หลุดเข้าไปในโลกของวีไหม เหมือนเราค่อยๆ จูนๆ เข้ามา ก็สนุกดี

    “หรืออย่างปก วีคิดมาเลยว่าอยากให้เป็นภาพนี้ ต้องมีอ่าง ต้องถือแก้วมาร์ตินี่ มันจะมีภาพคร่าวๆ ในหัว แล้ววีก็ไปคุยอาร์ตไดเรกเตอร์ วีมองว่าอัลบั้มนี้มัน represent ตัวตนว่าเป็นบ้าน เราก็เลยเริ่มวางคอนเซปต์ของภาพต่างๆ จนรู้สึกว่า Your Girl (ดีดนิ้ว) ต้องโชว์ให้ดูหน้าบ้าน ฉันอยู่ตรงนี้ แล้วฉันไม่ give a f*ck แต่ทางทีมอาร์ตไดฯ และทีมภาพเขาก็ช่วยกันกระเทาะออกมา ภาพต่างๆ ในรูปเล่ม”

    “คุณไปบอกอาร์ตไดเรกเตอร์ว่าอะไรบ้าง”

“เล่าให้ฟังว่ามันเป็นสเตจ โดยเซ็ตติ้งเพลงในอัลบั้มจะเริ่มมาจากห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ในสวน แล้วสุดท้ายไปที่นอกบ้าน วีเลือกช่วงแตกสลาย คือนอนซมในสเตจห้องนอน พอรู้สึกเศร้าก็ย้ายไปสเตจห้องนั่งเล่นที่ได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง พอเราเริ่มสบายตัวในบ้าน กำลังฮีลลิ่งตัวเองก็เป็นสเตจหน้าบ้าน ที่ดึงความมั่นใจออกมาแล้ว อยู่หน้าบ้านพร้อมเผชิญหน้ากับโลกข้างนอก เพราะบ้านเราแข็งแรงแล้ว”

“ทำไมถึงใช้บ้านแทนตัวตนของคุณ” เราถามต่อเพราะเริ่มสนใจแนวคิดเปรียบเทียบตัวเองเป็นเหมือนบ้าน

“เรารู้สึกว่ามันเป็นเหมือนเรื่องของ identities core เรารู้สึกว่าบ้านหรือครอบครัว มันเป็นสิ่งที่เป็นโครงสร้างข้างในจิตใจเรา เราก็เลยค่อยๆ เผยจุดที่มันส่วนตัวมากๆ เป็นห้องนอน จุดไหนที่เรากำลังฮีล สบายตัวมากขึ้น เราก็เปิดมากขึ้น ที่ที่เราอยู่แล้วเราสบายใจ ก็คือในบ้านของเราเอง เราก็เลยค่อยๆ แตกออกมาว่าโมเมนต์ที่เราแข็งแรงเราประจันอยู่หน้าบ้านเลย เพราะบ้านคือแบ็กของเรา เราไม่ต้องกลัว”

ท้าทายมากขึ้นก็สนุกมากขึ้น

สิ่งที่ทำให้วีสนุกมากขึ้นคือการชวนเพื่อนๆ เข้ามาเขียนเพลงและโปรดิวซ์ด้วยกัน ครั้งนี้วีได้ชวน ‘ส้ม มารี’ (มารี เออเจนี เลอเลย์) และแพทริคอนันดาเข้ามาเขียนเนื้อเพลงด้วย 

    “พอเราเห็น Your Girl เราอยากได้ธีมวัยรุ่น เพื่อนสาว เราก็คิดถึงมารี จริงๆ สิ่งที่เลือกส้ม คิดแบบโง่ๆ เลยนะ เธอเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส เป็นลูกครึ่งเหมือนฉัน ฉันเป็นสีม่วง เธอเป็นสีส้ม เออน่ารักนะ ทำด้วยกัน แค่นี้เลย คิดแค่ว่าทำเป็นอัลบั้มที่มีสีอยู่ด้วยกันแล้ว น่ารักจัง ก็ชวนมาทำเพลงด้วยกัน

“ส่วนแพทริคคือโปรดิวเซอร์วีทำงานโปรดิวซ์ให้แพทริคด้วย แล้วเราก็ชื่นชมและติดตาม เรารู้สึกว่าเพลงเขามันเป็นเพลงที่เราอยากโชว์โมเมนต์หนึ่งในชีวิตที่เราเคยดาวน์มากๆ แล้วมันรู้สึกดีขึ้นได้ด้วยการมีใครสักคนอยู่ข้างๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่ทำให้เรารู้สึกไม่ได้อยู่คนเดียว เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากชวนให้เขามาเป็นอีกคนข้างๆ ในเพลง เพราะเรารู้สึกว่าแนวเพลงมันน่าจะเหมาะกับเขาด้วย”

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เราชวนคุยถึงบรรยากาศการทำงานที่วีได้ทำร่วมกับเพื่อนๆ ในมุมของการทำงานแล้วเธอยังสดใสเหมือนที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้หรือเปล่า

“ตอนที่ทำงาน ก็คือบังคับแพทริคมาเลย ฉันอยากได้ไอเดียนี้ แล้วก็เริ่มหาเมโลดี้กัน เริ่มพูดนู่นพูดนี่ไปเรื่อยๆ ขย้อนๆ มันออกมา แล้วมันก็เริ่มตบๆ เข้ามาเป็นคำ แล้วเริ่มเป็น verse เริ่มเป็น hook ก็เขียนจบภายในวันเดียว ความพีกคือวีเพิ่งรู้ว่าแพทริคเป็นคนที่ต้องนอนงีบหนึ่งก่อน วีก็ไม่ยอมให้มันงีบ วีก็บอกว่าตื่น มาเขียนต่อให้จบ มานี่ๆ กลับมาๆ ก็จะมีอย่างนั้น 

“ส่วนของส้มก็จะเป็นฟีลแบบเรียกมาว่า งั้นเรามาลองเขียนเมโลดี้กันก่อนดีกว่า เราก็ลองนั่งเขียน เหมือนมานั่งฮัมๆ เล่นกีตาร์ชิลล์อยู่ที่บ้าน แล้วก็เริ่มหาคำลง ก็ชวนๆ กันเข้ามาเขียน ถ้าตรงไหนอยากเขียนเพิ่มก็ส่งให้ฟัง แล้ววีก็เริ่มไปทำดนตรี โปรดิวเซอร์ ส่งให้ส้มฟังแล้วบอกว่า จะทำประมาณนี้นะ

“ตอนที่ทำมันก็จะมีโหมดจริงจังขึ้นแหละ แต่อย่างที่วีบอกว่าอัลบั้มนี้ วีทำแล้วสนุก ตอนทำมันมีเซนส์แบบทำเอามัน ทำเอาสนุกที่ได้ทำกับเพื่อน พอมันเป็นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา คราวนี้เราจะเริ่มจริงจังละ ตอนที่เราไม่จริงจังคือตอนที่เรามั่วซั่วกันขึ้นมา ตอนยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง”

บทเรียนจากคนที่เคยไม่รักตัวเอง

มองย้อนกลับไปเราเริ่มเห็นพัฒนาการของวีที่เติบโตทางความคิดมากขึ้นตามกาลเวลา นับตั้งแต่การทำเพลงในอัลบั้มที่เต็มไปด้วยความจริงจังและความกดดัน จนถึงอัลบั้มล่าสุดที่เปิดเผยตัวตนที่ไม่สมบูรณ์แบบของเธอในมุมมองที่สดใสขึ้น และยังส่งต่อพลังบวกนี้ไปยังคนฟังได้ด้วย 

“ทั้งสองอัลบั้มเป็นการเปิดเผยตัวตนของคุณด้วยมุมมองที่แตกต่างกัน คุณพอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมาไหม”

“อัลบั้มแรกไม่ได้คิดคอนเซปต์เยอะเท่านี้ วีแอบเจอคอมเมนต์นึง เขาบอกว่าชอบอัลบั้มที่แล้วมากกว่า มันดูลุ่มลึกกว่า แต่วีกลับรู้สึกว่าอัลบั้มนี้ลึกกว่าในความ philosophical thinking หรือในเชิงความคิดเรามันลึกกว่านั้นเยอะมาก อัลบั้มที่แล้วดีมากนะ ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันอาจจะเป็นแค่เรื่องของดนตรี ความเนิร์ดดนตรี อะไรอย่างนั้นมากกว่า

“แต่ทั้งสองงานก็เป็นที่น่าพอใจเท่ากัน สุดท้ายแล้วเราภูมิใจเพราะมันคือตัวตนของเราเหมือนกัน เราใส่ทุกๆ อย่างของเราลงไป น้ำตาของเรา เหงื่อ เลือด จิตใจ เราภูมิใจกับลูกคนที่ 1 ลูกคนที่ 2 มันก็จะมีความลำเอียงไม่ได้ขนาดนั้น แต่ตอนนี้มีลูกคนใหม่เราก็จะเห่อลูกคนใหม่นิดนึงแค่นั้นเอง แต่รักเท่ากันนะ (หัวเราะ)”

“คุณเปรียบผลงานของตัวเองว่าเป็นลูกเหรอ” 

“ใช่ค่ะ ท้องมาเอง คลอดมา 2 ครั้งแล้ว” พูดจบเธอก็หัวเราะอย่างมีความสุข

ช่วงท้ายของการสนทนาน่าสนใจว่าวีมีมุมมองการรักตัวเองอย่างไรหลังจากผ่านเรื่องราวหนักหนามามากมาย ทั้งความสัมพันธ์ที่เป็นพิษและการกดดันตัวเองเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าดีพอ

“ที่ผ่านมาคุณได้เรียนรู้อะไรจากการรักตัวเองบ้าง” เราตัดสินใจถาม เผื่อว่ามันอาจจะมีประโยชน์กับตัวเองด้วยเหมือนกัน 

“สำหรับวีว่ามันคือการ know what you deserve เหมือนรู้ว่าเราคู่ควรกับอะไร สมมติเรามีความสัมพันธ์ที่ท็อกซิก แล้วเราไม่ออกจากตรงนั้น แสดงว่าเราไม่รู้ว่าเรา deserve อะไร เพราะว่ามันคือการที่รู้ว่าคนคนนี้ไม่เหมาะจะอยู่ในชีวิตฉัน

“ในเรื่องของการรักตัวเอง คือการใจดีกับตัวเอง คือการรู้ว่าเรามีมุมอ่อนแอ แต่มันไม่เป็นไร มันใจเย็นๆ กับตัวเองได้ มันไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองตลอดเวลาขนาดนั้น ไม่ต้องเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่น เพราะเหมือนในโซเชียลมีเดียทุกวันนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่เห็นคนอื่นแล้วรู้สึกว่าทำไมเราด้อยกว่าเขา เพราะเราเอาตัวเองไปวัดกับ standard คนอื่น เราเลยกลับมารักตัวเอง เราแฮปปี้แบบนี้ เราไม่เห็นต้องเป็นแบบนั้นเลย”

“ตอนนี้ถ้ามีคนไม่ชอบเพลงคุณอยู่ คุณจะยังรู้สึกดีไม่พออยู่ไหม”

“พยายามบอกตัวเองว่าไม่ใช่ พยายามบอกว่าพวกเธอจะเสียใจ พยายามจะบอกว่าพวกเธอไม่รู้แล้วว่าเธอพลาดอะไร ก็อยากให้เป็นแบบนั้นอยู่ ตอนนี้ก็ค่อนข้างมาทางนี้เยอะพอสมควรแล้วค่ะ”

ก่อนจากกันวีบอกถึงเป้าหมายของอัลบั้มนี้ อย่างจริงใจว่า “อยากแมส อยากให้เพลงแมส” 

แม้จะพูดอย่างติดตลก แต่ก็แฝงไปด้วยความซื่อสัตย์ก่อนขยายความเพิ่มว่า “อยากให้เพลงมันสื่อสารไปถึงคนหมู่มาก แล้วก็อยากให้เมสเสจมันไปถึงทุกๆ คน ให้ Be positive, Know your worth

“ไม่ต้องแคร์ชาวบ้าน แคร์ตัวเองพอ” วีกล่าวทิ้งท้าย “ฟังคอมเมนต์คนอื่นได้นะ แต่อย่าเอาความคิดเห็นคนอื่นให้มามีผลกับตัวเราเอง ถ้าไม่ได้มาจากคนที่แคร์เราจริงๆ”

เราแอบบันทึกประโยคนั้นลงในความทรงจำอยู่เงียบๆ เพื่อเตือนใจตัวเองเช่นกัน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

พิชญุตม์ คชารักษ์

ชีวิตหลักๆ นอกจากถ่ายภาพ ชอบชกมวยเป็นชีวิตจิตใจ ฟังเพลงที่ดนตรีฉูดฉาดกับเบียร์เย็นๆ