จากอดีตเด็กขี้อายสู่เวทีนางงาม Valentina Ploy ศิลปินสาวที่น่ากรี๊ดที่สุด ณ จุดจุดนี้

Highlights

  • พลอย–วาเลนติน่า จาร์ดุลโล ศิลปินสาวลูกครึ่งไทย-อิตาลี เจ้าของสำเนียงป๊อป-โฟล์กที่เธอเก็บซ่อนไว้ตอนเด็ก กระทั่งวันที่เธอเดินขึ้นเวทีประกวดร้องเพลงชื่อดังอย่าง The X Factor ที่อิตาลี
  • วันเดียวกันนั้นถือเป็นครั้งแรกที่ครอบครัวได้รู้ว่า ลูกสาวขี้อายคนนี้ร้องเพลงเก่ง! หลังย้ายมาอยู่ไทย พลอยประกวดร้องเพลงอีกครั้งในรายการ The Voice Thailand Season 6  ความสามารถและเสน่ห์ของเธอเข้าตาโค้ชโจอี้ บอย จนต้องหันเก้าอี้รับเข้าทีม
  • แม้ไม่ได้รางวัลชนะจากทั้งสองเวที สาวสวยคนนี้กลับไร้ซึ่งความกลัวการขึ้นเวที ทว่าเวทีที่เธอขึ้นอีกครั้งเป็นเวทีประกวดนางงามอย่างมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 และในขณะเดียวกัน เวทีนั้นก็พาให้เธอได้กลับมาร้องเพลงได้อย่างเต็มที่ กระทั่งคว้าโอกาสเป็นศิลปินเต็มตัวในรั้วบ้าน What The Duck
  • See you in life และ Wire คือสองซิงเกิลสดใหม่ที่เธออยากแชร์ให้เราได้ลองฟัง

“จุดร่วมของสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ก็คือการแชร์สิ่งดีๆ ให้คนอื่น…แค่นั้นเลย”

เจ้าของประโยคข้างต้นและรอยยิ้มที่สดใสหลังจากพูดจบ คือ พลอย–วาเลนติน่า จาร์ดุลโล ศิลปินสาวลูกครึ่งไทย-อิตาลี ที่เก็บซ่อนเสียงสำเนียงการร้องป๊อป-โฟล์กที่เธอมีตั้งแต่เด็กเป็นความลับ แล้วเปิดเผยครั้งแรกกับครอบครัวผ่านรายการประกวดร้องเพลงชื่อดัง The X Factor ที่บ้านเกิด ก่อนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาปักหลักที่ไทย หลังจากเข้าร่วมประกวดร้องเพลงอีกครั้งในรายการ The Voice Thailand Season 6 ซึ่งเสียงของเธอก็เรียกร้องให้เก้าอี้ของโค้ชโจอี้บอยหันกลับมารับเธอเข้าทีม

แม้ว่าทั้งสองเวทีเธอจะไม่ได้ขับร้องหรือแชร์สิ่งดีๆ อย่างที่เธอตั้งใจจนถึงรอบสุดท้าย แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดยั้งให้เธอล้มเลิกการก้าวขึ้นเวที ทว่าเวทีถัดมานั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เวทีที่ว่าคือ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 และในขณะเดียวกัน เวทีนั้นก็พาให้เธอได้กลับมาแชร์เสียงร้องได้เต็มที่และเต็มตัวในฐานะศิลปินของค่าย What The Duck ผ่านสองซิงเกิลสดใหม่ชื่อ See you in life และ Wire 

ซึ่งหลังจากที่ปล่อย Wire เพียงหนึ่งสัปดาห์ มิวสิกสตรีมมิ่งเจ้าดังอย่าง Spotify เลือกหยิบเพลงเพราะๆ ของเธอเข้าไปอยู่ในเพลย์ลิสต์เพลงฮิตทั่วโลกอย่าง ‘It’s a Hit!’ ร่วมกับบทเพลงอื่นๆ จากศิลปินระดับโลก เช่น Taylor Swift, Ed Sheeran, Ariana Grande, Shawn Mendes และ The Chainsmokers เราเชื่อว่าเจ้าตัวคงดีใจไม่ใช่เล่น

แต่เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังไม่ได้ทำให้เราแปลกใจเท่ากับที่เธอบอกเราว่า เธอเป็นคนขี้อายมาก มากในระดับที่เคยไม่กล้าร้องเพลงให้ใครฟังด้วยซ้ำ และนั่นยิ่งทำให้เราสนใจและอยากชวนทุกคนทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้นอีกหน่อย

คงไม่มีใครเชื่อว่าคุณขี้อาย ถ้ารู้ว่าก่อนหน้านี้คุณทำอะไรมาบ้าง

ใช่ๆ เราเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าจะมีวันนี้ แต่เป็นเรื่องจริงที่เราขี้อาย เป็นมาตั้งแต่เด็ก อาจเป็นเพราะตอนนั้นเราโดนแกล้งบ่อย โดนล้อด้วย พอเครียด เราก็เลือกที่จะนั่งฟังเพลงกับเขียนบันทึกความรู้สึกเก็บไว้ สองสิ่งนี้ช่วยทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาก พอชอบเขียนก็เลยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่เด็กเลย

ที่ว่าแต่งเพลงตั้งแต่เด็กคืออายุเท่าไหร่

น่าจะตั้งแต่จำความได้เลย แต่ตอนเด็กเล่นไวโอลิน ยังไม่ได้เล่นกีตาร์เหมือนทุกวันนี้ ตอนนั้นก็เลยเป็นแค่เนื้อเพลง จนโตขึ้นก็รู้สึกว่าต้องเล่นกีตาร์แล้วจะได้แต่งเพลงง่ายขึ้น ทุกคนที่บ้านชอบดนตรี คือทั้งบ้านไม่มีใครร้องเสียงเพี้ยนเลย พ่อกับแม่อาจไม่ได้ร้องเก่งกาจ แต่เสียงไม่เพี้ยน

จำได้ไหมว่าเพลงที่แต่งตอนนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร

เพลงแรกเลยพูดถึงเรื่องหมา (หัวเราะ) เป็นหมาของเพื่อนสนิท ชื่อว่าลัคกี้

แต่ถ้าคุณขี้อาย แล้วคนที่บ้านไม่ตกใจหรือตอนที่รู้ว่าคุณไปประกวด The X Factor?

เอาจริงๆ คือพ่อกับแม่ไม่รู้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราร้องเพลงเป็น เราดูรายการนี้แล้วชอบ คิดว่าอยากไปยืนอยู่ตรงนั้นบ้าง แต่ก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็ตื่นขึ้นมาแล้วบอกกับตัวเองว่า ฉันจะไป The X Factor เราเดินทางไปสมัครและออดิชั่นเอง ไม่บอกใครเลย จนกระทั่งทั้งคู่เห็นเราในรายการ เขาก็ช็อก แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร พ่อกับแม่ให้อิสระมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แต่ขอให้เรื่องเรียนมาก่อน เราต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่สักพักเขาถึงเชื่อว่าเราจะร้องเพลงจริงจังได้

แล้วคุณก็เดินทางมาประกวดที่ไทยอีกสองเวที เป็นความตั้งใจหรือว่าบังเอิญ

ปกติที่บ้านจะมาเที่ยวไทยทุกปี พอดีว่าปีนั้นมาเที่ยวแล้วเห็นรายการ The Voice Thailand กำลังเปิดรับสมัคร ก็ลองดู เราเข้าไปถึงรอบแบตเทิลแล้วก็ตกรอบ ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ได้จากรายการคือเรารู้แล้วว่าเราไม่อยากเป็นคนขี้อายอีกแล้ว ถ้าย้อนกลับไปดูคลิปรอบออดิชั่นจะเห็นเลยว่าเรามือสั่นตัวสั่นหนักมาก (หัวเราะ) เราก็เลยไปเข้าเรียนคลาสการแสดง ซึ่งก็ช่วยได้เยอะ 

ต่อให้หายเขินแล้วก็ตาม แต่เวทีมิสยูนิเวิร์สฯ มันดูแตกต่างจากเวทีประกวดร้องเพลงมากๆ ทำไมถึงตัดสินใจไปเวทีนี้

นอกจากการร้องเพลงแล้ว เราเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคน เราทำงานอาสาสมัครมาตั้งแต่เด็ก เคยไปเป็นอาสาสมัครที่เนปาลด้วย บวกกับตอนมาอยู่เมืองไทยก็มีหลายคนชอบพูดกับเราว่า ทำไมไม่ลองไปประกวดดูล่ะ ซึ่งเราก็คิดว่ามันน่าสนใจ แม้ว่าแม่พยายามอธิบายว่าการประกวดนางงามที่เมืองไทยมันไม่ใช่อย่างที่เราคิด มันต้องมีสปอนเซอร์ มีโค้ช มีผู้จัดการ แต่เราก็หัวรั้น ทำไมต้องมีล่ะ เรามีความเชื่อว่าเราจะไปเวทีนั้นเพื่อแชร์สิ่งดีๆ ทัศนคติดีๆ คล้ายกับการร้องเพลง เราตั้งใจจะมอบสิ่งดีๆ ให้คนอื่น That’s why i’m singing ไม่อย่างนั้นเราก็คงร้องเพลงแล้วฟังคนเดียว เราไปประกวดโดยไม่ได้หวังว่าจะชนะเลย ยกเว้นตอนที่เข้ารอบลึกๆ เหลือ 5 คนสุดท้ายก็มีตื่นเต้นนิดนึง (หัวเราะ)

แปลว่าไปถึงรอบตอบคำถามเลย ยังจำคำถามได้ไหม

จำได้ เราโดนถามว่า มีวิธีสร้างกำลังใจให้ตัวเองยังไงเวลาขาดกำลังใจ

แล้วตอบไปว่ายังไง

ที่ตั้งใจจะตอบคือ มันก็คงเป็นวิธีเดียวกับที่เราพูดให้กำลังใจคนอื่นหรือคนที่เรารัก คำพูดมันมีพลังมากๆ เราก็ใช้คำพูดแบบนั้นแหละพูดกับตัวเอง แต่ความเป็นจริงบนเวทีคือสติแตกไปแล้ว ร้องไห้นำไปก่อนเลย พูดไม่ค่อยออก ถ้ามีสติอีกหน่อยก็คงพูดถึงเรื่องดนตรีด้วย เพราะทุกครั้งที่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงที่ชอบ โลกของเราจะสวยขึ้นมาทันที 

เวทีมิสยูนิเวิร์สฯ เปลี่ยนชีวิตไปอย่างไรบ้าง

มันเป็นวงการที่เราไม่รู้อะไรเลย บรรยากาศก็ไม่เหมือนกับที่เคยเจอในการประกวดร้องเพลง ต้องคุมลุค เสื้อผ้าหน้าผมต้องเป๊ะ ตอนนั้นเราก็เลือกที่จะเป็นตัวเองนะ หัวยุ่งก็หัวยุ่งไป ดราม่ากับตัวเองนิดนึง เพราะมันก็ถือเป็นเรื่องยากสำหรับเรา แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ได้เพื่อนใหม่ ได้รู้จักพี่ๆ อีกหลายคน แล้วก็ทำให้ได้รู้จักกับ พี่ออน–ชิชญาสุ์ กรรณสูต ซึ่งเป็นผู้จัดการกองประกวดมิสยูนิเวิร์สฯ และเป็นหนึ่งในผู้บริหารค่าย What The Duck พี่เขารู้แล้วว่าเราชอบร้องเพลง ก็เลยชวนว่าทำไมไม่ลองส่งเดโมมาล่ะ 

กว่าจะมาเป็นเพลง See you in life ซิงเกิลแรกของคุณ เส้นทางเป็นอย่างไร

เรามีเพลงที่แต่งเองและอัดเก็บไว้เยอะมาก เราคิดว่าเราควรจะเอาชนะใจพวกพี่ๆ เขาหน่อย เพราะเราก็เข้าใจว่าเรามาจากเวทีนางงาม เขาอาจจะยังไม่เชื่อในความสามารถเราก็ได้ ก็เลยส่งไปทั้งหมดที่มี จนได้ไปประชุมกับพี่ออน ซึ่งพี่เขาก็เชียร์เราเต็มที่มาก พี่มอย–สามขวัญ ตันสมพงษ์ และพี่บอล–ต่อพงศ์ จันทบุบผา (Scrubb) พี่บอลเป็นคนที่ซื้อใจยากที่สุด เหมือนวันนั้นเขายังไม่ค่อยซื้อเท่าไหร่ แบบ อืมๆ ก็ดีนะ ก่อนกลับเขาให้การบ้านให้เราไปแต่งเพลงมาส่งเพิ่ม เราก็ส่งเพลงไปเรื่อยๆ ให้เขาเห็นความพยายาม จนเรากลับไปอิตาลี แล้วก็แต่งเพลง See you in life ส่งกลับมา ปรากฏว่าพี่ๆ ชอบมาก พี่บอลบอกว่าชอบทำนอง ติดหูมาก แล้วพวกเขาก็ตัดสินใจให้ทำเพลงนี้เลย กลายเป็นซิงเกิลแรกของเรา

ไปเจออะไรที่อิตาลีถึงทำให้เกิดเพลงนี้ขึ้นมา

ออกไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วเผอิญว่าเราไปเจอคนคนหนึ่ง (หัวเราะเขินๆ) มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เราเลิกกันไปตั้งนานแล้ว ใช้ชีวิตคนละฟากของโลก แต่พอกลับมาเจอกันก็ยังรู้สึกว่ารักกัน เป็นความรักแบบเพื่อน เพลงนี้ก็เลยพูดถึงความรู้สึกในวันนั้น การเจอกันทำให้เราลืมความรู้สึกไม่ดีในอดีต ลืมภาพที่เคยทะเลาะกัน เป็นเพลงที่ใช้เวลาแต่งแป๊บเดียว ร้องไห้ตอนแต่งด้วย (หัวเราะ) แต่ที่เพลงมันดูไม่ได้เศร้ามาก เพราะจริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่ดี

เป็นยังไงบ้างกับการได้สองพี่น้อง ปกป้อง-ต้องตา จิตดี (Plastic Plastic) มาช่วยทำดนตรี

สนุกมาก ดีมาก เพราะมันยากมากที่จะมีใครสักคนเก็ตเสียงหรือดนตรีที่เราคิดในหัว ตอนเราอัดเพลงเก็บไว้ มันก็ยังมีแค่เสียงร้องกับกีตาร์ ซึ่งจากตรงนั้นมันสามารถพัฒนาเป็นเพลงได้หลายแบบมาก แต่พี่ปกป้องเข้าใจว่าเราอยากได้ดนตรีแบบไหน ทั้งที่เราก็อธิบายมั่วมาก เราไม่รู้ศัพท์เทคนิคอะไรเลย ได้แค่พยายามหา reference ให้เขาฟัง หรือบางรายละเอียดก็เป็นแค่คำบอกจากเรา ไม่รู้จะหาตัวอย่างจากไหนมาอธิบาย แต่พี่เขาก็ยังทำให้เราได้ เขาอัจฉริยะมาก พอเพลงเสร็จ เราแทบร้องไห้ เหมือนเห็นลูกตัวเองประสบความสำเร็จเลย ตื่นเต้นมาก อย่างท่อนหนึ่งที่ร้องว่า “Oh with your jade eyes” เพราะว่าตาของเขาคนนั้นสีเขียวมรกต แล้วพี่ปกป้องก็ใส่เสียง กิ๊ง ตรงท่อนนั้น มันเลยเหมือนตาปิ๊งๆ เป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ แต่เราชอบมาก

ผลตอบรับเป็นอย่างไร

เราดีใจมาก แปลกใจเหมือนกันว่าเพลงของเราใน Spotify มีคนฟังเกือบ 4 ล้านครั้งแล้ว ไม่คิดเลยว่าเพลงของเราจะถูกฟังเกินล้านครั้ง ไม่เคยคิดว่าใน Spotify ที่เราใช้ทุกวัน วันหนึ่งจะมีเพลงของเรา อาจจะเป็นเพราะเราได้คนฟังและแฟนคลับต่างชาติจากตอนประกวดนางงามด้วย

เคยกังวลไหมว่าทำเพลงสากลในประเทศไทยแล้วคนฟังจะน้อย

นิดหน่อย เข้าใจได้ว่าถ้าคนฟังเข้าใจเนื้อเพลงมันก็จะอินกว่าอยู่แล้ว แต่ในทางกลับกัน เราก็คิดว่าดนตรีมันก็ดีตรงที่ว่าเราไม่ต้องเข้าใจความหมายเลยก็ได้ เราเคยฟังเพลงจากสวีเดน จากเดนมาร์ก ฟังไม่ออกเลย แต่มันโดนใจเรา ดนตรีมันสื่อสารกับเราได้แบบนั้น ก็เลยคิดว่า โอเค ช่างมัน อะไรจะเกิดก็เกิด เพราะเราแค่อยากแชร์ อยากช่วยคน และเราก็คิดว่าดนตรีช่วยคนได้ อยากให้เพลงของเราช่วยคนอื่นได้ ให้คนที่ฟังรู้ว่าเราก็รู้สึกแบบเขา ตอนไปประกวดมิสยูนิเวิร์สฯ ก็คิดแบบนี้ เราพยายามพูดอะไรก็ตามที่จะทำให้คนฟังรู้สึกดี

แล้วเพลงไทยล่ะ คิดว่าจะลองทำดูบ้างไหม

จริงๆ แต่งไว้แล้ว เดี๋ยวได้จังหวะก็คงจะปล่อยตามมา คือตั้งแต่จบรายการ The Voice พี่โจอี้บอยก็บอกเราว่าทำไมไม่ลองแต่งเพลงไทยด้วย เราก็สนใจ คิดว่าจะลองดูบ้าง ตอนนั้นอยู่ที่โคราชบ้านยาย คิดเพลงออกในห้องน้ำ ก็เลยออกมาหยิบกีตาร์ใกล้พังตัวหนึ่ง ลองๆ แล้วก็ได้มาหนึ่งเพลง แต่ก็ยากนิดหนึ่ง เพราะภาษาไทยเราจะออกเสียงตามใจก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษเรายังออกเสียงได้อิสระ แต่ภาษาไทยเปลี่ยนเสียงก็ผิดความหมายเลย

เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะถามตั้งแต่แรก ทำไมคุณถึงพูดไทยได้ชัดและคล่องขนาดนี้

เพราะแม่ แม่ทำงานอาสาสมัครที่ Thai Women Network in Europe แม่จะช่วยเหลือเรื่องต่างๆ แก่ผู้หญิงไทยที่ยุโรป แล้วแม่ก็เป็นตัวตั้งตัวตีรณรงค์ให้เด็กลูกครึ่งไทยพูดภาษาไทยได้ แม่เน้นมากๆ ตอนเด็กๆ ถ้าเราไม่ตอบภาษาไทย แม่จะไม่คุยด้วย แม่เคยพูดว่าสมบัติเดียวที่แม่จะให้ได้และมีประโยชน์มากที่สุดก็คือภาษา ซึ่งจริงมากๆ เพราะถ้าพูดภาษาไทยไม่ได้ก็คงไม่มีวันนี้ มันเป็นประตูที่เปิดโอกาสหลายๆ อย่างให้เรา เราเลยชอบเรียนภาษา ชอบการเดินทาง ชอบสงสัยว่าคนที่อื่นเขาอยู่กันยังไง อยากรู้อยากเห็น ตอนนี้เลยพูดได้ 5 ภาษา อิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน และไทย พอพูดภาษาเขาได้ เราก็เข้าใจเขามากขึ้น

คุณถือว่าเป็นวัยรุ่นที่ผ่านเวที ผ่านการประกวดมาเยอะ มีอะไรอยากแชร์ให้คนรุ่นๆ เดียวกันที่ตอนนี้ต่างก็พยายามประกวดหรือพิสูจน์ตัวเองอยู่บ้างไหม

เรื่องชนะหรือไม่ชนะสำหรับเราไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความดังก็ไม่ใช่เรื่องที่เราใส่ใจ เพราะเราเชื่อว่าการจัดการชีวิต ทำชีวิตเราให้สงบสุขที่สุดนั้นยากและสำคัญที่สุด คนที่รวยที่สุด ดังที่สุด ถ้าจัดการชีวิตและจิตใจไม่ได้ก็เท่านั้น อีกอย่างที่สำคัญคือ การทำอย่างต่อเนื่อง ทำไปเถอะ มันไม่เสียเปล่าหรอก ขนาดเด็กขี้อายอย่างเรายังออกไปทำอะไรได้ตั้งเยอะแยะ แค่อย่าลืมว่าจุดเริ่มต้นของเราคืออะไร จุดเริ่มต้นที่ทำให้เราทำสิ่งนี้คืออะไร

โซเชียลมีเดียอาจทำให้เราเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่นตลอดเวลา คนนั้นได้ไปที่นั่นสวยจังเลย คนนี้น่ารักจังเลย แต่ทุกคนลืมไปว่าตัวเองก็มีด้านที่สวยงาม เข้าใจว่ามันยากที่จะไม่เปรียบเทียบกับใครเลย สำหรับเราเองก็ยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่เหมือนกัน แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นคัลเจอร์ของยุคนี้ไปแล้ว แต่มันก็ถือเป็นงานที่เราทุกคนต้องพยายามทำและผ่านไปให้ได้

อย่างตอนเราประกวดมิสยูนิเวิร์สก็โดนคอมเมนต์เยอะมาก หน้าย่น คอใหญ่ พาน้องเขาไปฉีดโบทอกซ์หน่อยสิ ซึ่งเราไม่ชินกับการวัดค่าอะไรแบบนี้เลย และเราก็ไม่เคยคิดว่าจะศัลยกรรมหรือเปลี่ยนแปลงร่างกายด้วย เราเกิดมาครบ 32 เราก็พอใจกับสิ่งนี้ ถึงต่อให้เราขี้เหร่ยังไง แต่พวกคุณเป็นใครถึงจะมาบอกว่าใครสวยไม่สวย

ไม่ใช่ว่าเรามั่นใจว่าตัวเองสวยที่สุดในโลก แต่เราคิดมาตลอดว่า การยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการพยายามสวยในแบบที่คนอื่นอยากจะเห็นจากเรา

สุดท้ายถ้าคนเขาจะว่าเรา เขาก็จะหาเรื่องว่า หาจุดบกพร่องของเราจนได้ เอาเวลามาทำในสิ่งที่อยากทำดีกว่า

 

 

AUTHOR

Video Creator

อภิวัฒน์ ทองเภ้า

เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่, เป็นศิษย์เก่านิเทศศาสตร์ ม.มหาสารคาม แต่เป็นคนอุดรธานี, เป็นวิดีโอครีเอเตอร์ ประสบการณ์ 2 ปี, เป็นคนเบื้องหลังงานวิดีโอของ a day และเป็นคนปลุกปั้นสารคดี a doc, เป็นคนนอนไม่เคยพอ, เป็นหนึ่ง คือ เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง สรรพสิ่ง คือ ไม่เป็นอะไรเลย, ตอนนี้เป็นหนี้ กยศ. และรับจ้างทั่วไป [email protected]