นายวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
รหัสประจำตัวนักศึกษา 4604640971
สาขาเศรษฐศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สิงห์-วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เป็นคนหนุ่มไฟแรงที่เรามักตื่นเต้นกับโปรเจกต์ใหม่ๆ ของเขาเสมอ เพราะผู้ชายคนนี้ลุกขึ้นมาทำอะไรต่อมิอะไรมากมายทั้งเป็นพิธีกร
นักเขียน นักคิด นักร้อง ทำให้เราอยากชวนเขาย้อนกลับไปยังวันวานเมื่อครั้งยังเป็นลูกแม่โดม
และนี่คือสิ่งที่วรรณสิงห์ได้เรียนรู้จาก ‘เศรษฐศาสตร์มหภาค’
รายวิชาที่ยังคงสอนการใช้ชีวิตของเขามาจนถึงทุกวันนี้
“ตอนเข้าไปเรียนก็ยังไม่ค่อยรู้ว่าเศรษฐศาสตร์มันคืออะไรเหมือนกัน
เข้าไปด้วยความงงๆ แต่ว่าพอเรียนแล้วก็รู้สึกว่าสนุก คณะเศรษฐศาสตร์จะมีวิชาเลข วิชาสถิติเยอะ
ซึ่งเป็นบรรดาวิชาที่เพื่อนๆ ไม่ค่อยชอบเรียนกัน แต่เรามีวิชาที่ยังติดใจอยู่จนทุกวันนี้คือ
วิชาเศรษฐศาสตร์มหภาค ชอบที่เราได้ศึกษาภาพรวมของประเทศทั้งหมดในภาพใหญ่มากกว่าที่จะเจาะจงลงไปเป็นรายบุคคล
รายบริษัท มันเป็นเรื่องการมองภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศว่าถ้าสิ่งนี้เพิ่มขึ้น สิ่งอื่นจะเป็นอย่างไร
เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้แล้วจะกระทบตัวแปรอื่นอย่างไรบ้าง จำได้ว่าตอนที่เรียน เราได้ค้นพบวิธีการอธิบายบางอย่างที่น่าสนใจ
เป็นการเอาพฤติกรรมของคนเรามาใส่ในสมการ ซึ่งปกติเรามักเข้าใจกันดีว่าคนอยู่ในสมการไม่ได้
เพราะคนมีตัวแปรเต็มไปหมด แต่วิชาเศรษฐศาสตร์เลือกเอาด้านที่เรียบง่ายและเข้าใจง่ายที่สุดของมนุษย์
ซึ่งก็คือด้านเศรษฐกิจ นำมาใส่ในสมการ แม้เราจะมีความรู้สึก
ความซับซ้อนแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เหมือนกันหมดก็คือ เรื่องเงิน เช่น มีรายได้มากขึ้นก็จ่ายมากขึ้น
หรือว่าถ้าภาษีสูงขึ้นก็ใช้เงินน้อยลง ดอกเบี้ยขึ้นคนก็อยากเอาเงินเข้าธนาคารมากขึ้น
ถ้าดอกเบี้ยลดก็อยากเอาเงินไปลงทุนมากขึ้น อะไรก็ว่ากันไป
สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่มนุษย์เรามีร่วมกัน ทำให้เราได้มองสังคมมนุษย์ในรูปแบบใหม่
ทำให้เราสนใจพฤติกรรมมนุษย์ในแง่นั้น เราชอบคิดเลขอยู่แล้ว การเขียนสมการ
คิดกราฟอะไรก็สนุกไปกับมันได้ง่าย ทำให้ได้เห็นผลกระทบที่สิ่งหนึ่งมีต่ออีกสิ่งต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ
“เศรษฐศาสตร์เป็นหนึ่งในกระบวนการการเรียนรู้ที่ช่วยให้เราเห็นแง่มุมที่พิเศษขึ้นก็จริง
แต่เมื่อโตขึ้นก็ได้เห็นว่ามันเป็นวิชาที่มีมุมมองจำกัดอยู่พอสมควร
เพราะเมื่อเรามองว่ามนุษย์เป็นสัตว์เศรษฐกิจอย่างเดียว
ทำให้ไม่เห็นด้านอื่นของชีวิตว่ามีจิตใจ ความรู้สึก อำนาจ การเมือง
การที่มันมีแต่ตัวเลขจึงไม่พอที่จะมองสังคมให้รอบด้าน สำหรับเราเศรษฐศาสตร์เป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่ผ่านมา
ไม่ถึงขั้นกำหนดตัวตนของเรา แต่ก็มีประโยชน์ในการทำงาน
“ทุกวันนี้ผมเป็นนักเขียน เป็นคนทำสื่อ สื่อที่เราทำนั้นแม้ไม่ถึงกับเป็นเชิงวิพากษ์
แต่ก็มีหน้าที่ที่ต้องอธิบายสังคมต่างๆ ให้คนดูเข้าใจ
ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนหรือรายการสารคดีก็ตาม
ต้องทำให้คนเห็นภาพให้ได้ว่าประเทศนี้มีมิติใดบ้าง หากไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์เราก็คงไม่อาจอธิบาย
GNH (ความสุขมวลรวมประชาชาติ) ของประเทศภูฏานได้ชัดเจนนัก
อาจจะพอเล่าได้บ้างคร่าว ๆ แต่การที่เราเรียนเศรษฐศาสตร์มาก็ทำให้บอกต่อยอดไปได้ว่า
เมื่อเทียบกับระบบเศรษฐศาสตร์ปกติเนี่ยมันต่างกันอย่างไรบ้าง
แล้วต่างกันในเชิงวิชาการอย่างไร ใช้จริงอย่างไร มีอะไรน่าวิจารณ์ น่าสนับสนุนบ้าง
วิธีคิดแบบเศรษฐศาสตร์ช่วยให้เรามองสังคมได้รอบด้านมากขึ้น แม้จะยังเห็นไม่ได้ครบทุกกระบวนความ
เพราะมันก็ต้องเสริมด้วยการศึกษาด้านปรัชญา ด้านรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และอื่นๆ
ไปด้วย การจะอธิบายประเทศใดประเทศหนึ่งเราต้องร่ายยาวไปตั้งแต่ในอดีตว่ามีที่มาอย่างไร
อารยธรรมไหนผ่านมาบ้าง นับถือศาสนาอะไร ส่งผลอย่างไรกับคน
ระบบเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง มีอะไรเยอะไปหมด
“ตอนนี้รายละเอียดเรื่องสมการอะไรทั้งหลายนี่ลืมไปหมดแล้วนะครับ
แต่ว่าวิธีคิด ความเข้าใจตัวแปรต่างๆ ยังมีอยู่ สิ่งหนึ่งที่จำได้ไม่ลืมเลยคือ ทฤษฎีเส้นความพอใจเท่ากัน (Indifference Curve Theory) เป็นแนวคิดที่แปลกประหลาดมาก เพราะเป็นเส้นโค้งแสดงถึงความสุขของคนที่จุดต่างๆ
คนจะมีความสุขเท่ากันหมดในการเลือกซื้อสินค้าตามแกน x และแกน
y ที่แตกต่างกันไป
พอเราได้เรียนอันนี้แล้วรู้สึกว่าตลกดีที่เอาความสุขของคนมาทำสมการ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามันใช้ได้จริงแค่ไหน
แต่พอโตมาแล้วก็พบว่าสิ่งที่เราเรียนในห้องเรียนมันใช้ไม่ได้จริงขนาดนั้นหรอก
มันใช้แค่สำหรับการอธิบายและรองรับสิ่งที่เป็นความคิดปกติสามัญของคนอยู่แล้วแต่เพื่อสร้างเป็นทฤษฎีก็ต้องทำเป็นสมการขึ้นมา
แต่ในความเป็นจริงใช้คอมมอนเซนส์อธิบายน่าจะง่ายกว่า”