สิ่งที่เต๋อ ฉันทวิชช์ เรียนรู้จากมหา’ลัย

เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี
รหัสนิสิต
: 4445022828
คณะนิเทศศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี คือนักแสดงมากความสามารถของค่าย GDH 559 ในช่วงเรียนมหา’ลัย เต๋อเป็นนิสิตคณะนิเทศ จุฬาฯ เอกภาพยนตร์ ที่มีโอกาสก้าวเข้าไปเป็นนักแสดงของละครเวทีคณะทุกปี จนเรียกได้ว่ากิจกรรมละครเวทีเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของชีวิตมหา’ลัย ของเขา และนี่คือสิ่งที่เต๋อได้เรียนรู้จากละครเวที-วิชาที่เขาเต็มใจเลือกเอง

ฉาก 1
“เราเข้าคณะนิเทศฯ
เพราะเราอยากทำภาพยนตร์
แต่นอกเหนือจากการเรียนแล้ว ที่คณะยังมีกิจกรรมเยอะมาก
หนึ่งในนั้นคือละครเวทีที่มีปีละครั้ง ซึ่งการทำละครเวทีมันก็จะมีแผนกต่างๆ
ให้น้องๆ อย่างเราเข้าไปเลือกทำ เช่น ฝ่ายฉาก ฝ่ายมัลติมิเดีย ฝ่ายซาวนด์ ฝ่ายคอสตูม แล้วก็มีทีมฝ่ายเขียนบท กำกับ และนักแสดง
ซึ่งเราก็ตั้งใจจะอยู่ฝ่ายมัลติมีเดีย ทำ Visual ในฉาก
ถ่ายวิดีโอโปรโมตละคร ทำเอ็มวี ฯลฯ ซึ่งมันก็จะคล้ายๆ กับการทำหนัง”

ฉาก 2
“แต่ด้วยความที่คณะนิเทศฯ
จะมีผู้ชายน้อยมาก ปีๆ หนึ่งก็จะมีแค่ 10 – 20 คน
เป็นตุ๊ดก็เกือบครึ่งแล้ว
ทำให้ผู้ชายทั้งหมดในคณะต้องเข้าไปแคสติ้งตัวละครที่เป็นผู้ชายในละครเวทีด้วย
ทั้งบทเล็ก-ใหญ่ พอเข้าไปแคสต์แล้ว
ปรากฎว่าเราได้เล่นเลยตั้งแต่อยู่ปี 1 ละครเวทีเรื่องนั้นคือ อีสป เวตาล นิทานฮัดช่า เล่นเป็นยามที่พูดแค่คำว่า ‘เฮ้’ และก็ออกมาแค่ 3 – 4 ฉาก
แต่เวลาซ้อมก็จะซ้อมเท่าๆ กับทุกคน

“พอขึ้นปี
2 เป็นเรื่อง นิทราวาณิชย์ เราก็ตั้งใจว่าอยากจะกลับไปทำฝ่ายมัลติมีเดียแล้ว
แต่ก็เข้าข่ายแบบเดิมคือ ผู้ชายที่คณะมันมีน้อย เราก็ได้เข้าไปแคสต์อีก
แล้วก็ได้เล่นอีก รุ่นพี่ก็ให้เหตุผลว่าเรามีพื้นฐานการแสดงมาจากการเวิร์กช็อปครั้งที่แล้วมาแล้ว
เหมือนเรามีประสบการณ์แล้วก็ได้เข้าไปเล่นละครเวทีอีกครั้ง ไปซ้อม ไปเวิร์กช็อปเหมือนเดิม แต่คราวนี้เล่นเป็นคนแก่ มีบทพูดเยอะขึ้นหน่อย พออยู่ปี 3
เราก็ชัดเจนว่าจะไปทำมัลติมีเดียแน่ๆ ผมก็เลยพูดกวนๆ ทีมแคสต์ฯ ไปว่า ‘คราวนี้ถ้าผมไม่ได้เล่นเป็นพระเอก ผมไม่เล่นแล้วนะ’ ปรากฎว่าเขาให้แคสต์บทพระเอกเลย แล้วเราได้เล่นด้วย เป็นเรื่อง ลำซิ่งซิงเกอร์ และก็ลามมาถึงปี 4 คือเล่นเป็นพระเอกเรื่อง ซานเทียน หอนางฟ้า ยามหายุทธ ตอนปี 4 ด้วย สรุปแล้วทั้ง 4 ปีก็ไม่เคยอยู่ฝ่ายมัลติมีเดียเลย”

ฉาก 3
“มันจะมีเวิร์กช็อปหนึ่งที่เราชอบที่สุดเลยคือ
improvise คือให้เราอยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยม
แล้วก็จะมีคนกำหนดสถานการณ์ให้ว่าตอนนั้นเราเจอกับอะไรอยู่ เช่น
ตอนนี้อยู่ในลิฟต์ที่กำลังขึ้น แต่ละชั้นเปิดออกมาก็จะมีการ improvise สถานการณ์ขึ้นเรื่อยๆ เช่น ลิฟต์ค้าง มีกลิ่นไหม้ มีคนตาย ซึ่งผมสนุกมาก
เป็นสิ่งที่ผมคิดถึงที่สุดในห้องเวิร์กช็อป
ผมรู้สึกว่าคลาสนั้นสนุกสุดตรงที่มันเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์
แล้วมันบอกเราว่า ชีวิตเรากำหนดอะไรไม่ได้ เช่นเดียวกันกับการแสดง
แม้จะบอกว่ามีบทละครแล้ว มีบทพูดแล้ว แต่จริงๆ เรากำหนดสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้เลย
บทก็เป็นแค่ไกด์ไลน์ เพราะเวลาเล่น มันก็ต้องไหลไปตามสถานการณ์อยู่ดี อย่างเช่น
ในหนังเรื่อง กวน มึน โฮ มันจะมีฉากที่เราเล่นกันหนูนาแล้วมันต้องวิ่ง
แต่หนูนาหกล้มจนขาชี้ฟ้า เราพูดว่า ‘เป็นอะไรหรือเปล่า’
ในแบบฉบับคาแรกเตอร์เหมือนในบท
เราไม่ได้พูดว่าหนูนาเป็นอะไรหรือเปล่า ซึ่งซีนเหล่านี้มันก็ไม่ได้อยู่ในบท
มันคือลิฟต์ตัวนั้นที่ไม่รู้สถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราแค่ต้อง improvise
ตามน้ำไปเรื่อยๆ

ฉาก 4
“อีกเรื่องที่เราเรียนรู้จากการทำละครเวทีคือการทำงานเป็นทีม
คือตั้งแต่สมัยเรียนเสมอมา เราจะรู้สึกว่าเราพยายามเอาตัวรอดด้วยตัวเอง
เพราะแม้ว่าเราจะติวหนังสือกับเพื่อน แต่เวลาเอนทรานซ์ก็ต้องสอบเอง
พึ่งตัวเองอยู่ดี เราต้องช่วยเหลือตัวเองเพื่อไปสู่จุดที่ต้องการ
ดังนั้นเราก็เลยเป็นคนที่อยู่กับตัวเองเยอะ ติวเอง อ่านหนังสือเอง
แต่การทำละครเวทีมันเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลย เราอยู่กับตัวเองไม่ได้ มันต้องทำงานเป็นทีม
ทุกอย่างรวมกันเพื่อเป็นก้อนเดียวไปสู่คนดู ดังนั้นช่วงที่ทำงานผมจะเจอคนจากหลายฝ่ายมาก
มีการตกลงร่วมกัน คุยร่วมกันเยอะมาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก
มันทำให้เรารู้ว่าการทำงานที่เป็นการแสดงสักอย่าง จะมีคนเบื้องหลังเยอะมาก”

“มันทำให้ผมเชื่อมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่า
การทำงานเป็นทีมดีที่สุด จะทำงานคนเดียวก็ได้แหละ แต่การทำงานเป็นทีมมันสบายใจ
แล้วก็มีหลายความคิด มันจะไม่ได้แค่สิ่งที่ดี แต่จะได้คำว่าดีที่สุด”

AUTHOR