ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว ซีรีส์เรื่องเสียวๆ ที่ไม่ควรปิดเป็นเรื่องลับ

ผู้หญิงช่วยตัวเองผิดไหม น้ำอสุจิช่วยให้หน้าใสจริงหรือเปล่า มีความไวต่อเรื่องเพศจนหลั่งง่ายทำไงดี …

สารพัดปัญหาเรื่องเพศที่ทุกคนสงสัย แต่ทำไมเวลาถามต้องรู้สึกเขินอายทุกที

เรื่องเพศแต่ไหนแต่ไรเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หากใครหยิบเรื่องนี้มาพูดอย่างออกรสชาติคงถูกมองว่าเป็นคนกร้านโลก ทั้งที่จริงแล้วเรื่องแบบนี้ใครๆ ก็เป็นกันทั้งนั้น 

‘ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว’ ซีรีส์ไทยจากเน็ตฟลิกซ์สตรีมมิงแพลตฟอร์มหยิบเอาเรื่องเพศที่เคยซุกอยู่ใต้พรมในสังคมไทยทศวรรษ 70 มาบอกเล่าอีกครั้ง ในห้วงเวลาปัจจุบันที่เรื่องเพศถูกหยิบมาพูดถึงอย่างเปิดเผย อย่างที่คนในยุคนั้นไม่เคยนึกฝันว่าจะทำได้ เห็นได้จากคอนเทนต์เรื่องเพศที่มีให้เลือกเสพอย่างหลากหลายบนโลกออนไลน์ 

วันที่เซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม (พูดถึง) อีกต่อไป ความรู้เรื่องเพศกลายเป็นสิ่งที่ผลักดันมูฟเมนต์ในสังคมให้ไปได้ไกลมากขึ้น ทั้งเรื่องสิทธิเหนือร่างกายตัวเอง ไปจนถึงการยอมรับเพศหลากหลาย เราชวนนักแสดงจากซีรีส์เรื่องนี้ทั้ง 4 คน (เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี, ก้อย-รัชพร โภคินภากร, แพรว-เฌอมาวีร์ สุวรรณภาณุโชค และต้นหน ตันติเวชกุล) มาพูดคุยเกี่ยวกับการถ่ายทำซีรีส์ที่กำลังพูดเรื่องเซ็กซ์อย่างตรงไปตรงมาในบริบทสังคมไทย

นับตั้งแต่การเป็นกองถ่ายที่มี Intimacy Coordinator (ตัวกลางที่ดูแลเรื่องฉากเลิฟซีน) ช่วยเซฟใจนักแสดงเป็นอย่างไร การหาที่ทางของผู้หญิงในบริบทสังคมที่ปกปิดเรื่องเพศอย่างสุดโต่ง และหันกลับมาสำรวจอีกครั้งว่าสังคมไทยก้าวจากเรื่องเพศมาไกลแค่ไหนแล้ว 

พร้อมชวนไปหาคำตอบว่าทำยังไงเราจึงจะปุจฉาเรื่องเพศได้อย่างที่ไม่ต้องเขินอายกันสักที

ก้าวจากคอมฟอร์ตโซนด้วยซีรีส์ที่พูดเรื่องเพศอย่างเปิดเผย

อะไรที่ดึงดูดคุณให้คุณแสดงซีรีส์เรื่องเพศครั้งนี้

ต้นหน : ผมเป็นแฟนคลับพี่คงเดช (คงเดช จาตุรันต์รัศมี ผู้กำกับร่วม) อยู่แล้ว เราเลยไปปรึกษาพี่ผู้กำกับที่เราสนิทมาก คือพี่ปกป้อง (ไพรัช คุ้มวัน ผู้กำกับร่วม) แต่เราไม่รู้ว่าเขากำกับ เราไปบอกว่า ‘เฮ้ย พี่ ผมได้ไปแคสต์หนังพี่คงเดช มีคำแนะนำอะไรมั้ย’ แต่คำแนะนำเขาดูใช้อะไรไม่ได้เลย แล้วเขาก็เพิ่งมาเฉลยทีหลังว่าจริงๆ แล้ว ‘อ๋อ กูเป็นคนกำกับด้วย’ ก็รู้สึกทั้งกดดันและดีใจด้วยที่มีพี่ปกป้อง  

เต๋อ : ผมอยากร่วมงานกับเน็ตฟลิกซ์และพี่คงเดชอยู่แล้วเหมือนกัน คือสเตจชีวิตผมตอนนี้อยากเล่นอะไรที่แปลกๆ ใหม่ๆ เพราะผมเล่นโรแมนติกคอเมดี้มาเยอะแล้ว จังหวะมันพอดีมากที่อยู่ๆ ก็มีเรื่องนี้  

คาแรกเตอร์นี้ไม่มีความคอเมดี้ของตัวผมเลย เพราะเล่นให้ซีเรียสเลยก็ไม่ใช่ มันต้องบาลานซ์ให้ดี จากเดิมที่ตัวผมเป็นคนสนุกสนาน ชอบพูดคุย เรื่องนี้ก็จะเก็บๆ หน่อย เหมือนเป็นคนพูดอะไรตรงๆ ไม่คิดถึงใจคนอื่นมาก 

ก้อย : ก้อยเลือกที่พี่คงเดชก่อนเลย เราเคยเจอกันในเรื่อง ‘แอน’ ซึ่งก้อยชื่นชมเขาอยู่แล้ว แล้วพออ่านบทแคสต์ก็รู้สึกว่าอะไรวะเนี่ย ทำไมมันทำถึง ชีวิตนี้คงไม่ได้เล่นแบบนี้บ่อยๆ แล้วตัวบทของคาแรกเตอร์ลินดาค่อนข้างแรง มีปากางเกงในด้วย ตอนอ่านรู้สึกว่า ‘หาา’ แล้วทุกๆ รอบที่เราไปแคสต์จะยิ่งเห็นมิติของตัวละครมากขึ้น มันทำให้เราเห็นว่าคาแรกเตอร์นี้มันต่างจากตัวเรามาก รวมถึงทุกๆ บทที่เราเล่นมา 

แพรว : ของแพรวตอนนั้นจังหวะชีวิตเพิ่งออกจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง เราได้อยู่กับตัวเอง และคุยกับตัวเองเยอะมาก ว่าตัวเองอยากทำอะไร สำหรับแพรวมันเหมือนสัญญาณบางอย่าง ที่อยู่ดีๆ หลังจากนั่งคิดเรื่องนี้อยู่ไม่นาน ผู้จัดการก็มาบอกว่ามีซีรีส์เรื่องนี้ให้ไปลองแคสต์ไหม

แต่เขาใช้คำว่า ‘แต่มันแรงนะ’ ตัดสินใจแล้วต้องเด็ดขาด ถ้าบอกว่าเล่นได้คือต้องเล่นได้นะ เราก็ลองไปคุยกับตัวเองคืนนึง 

ถ้าเราเล่นแบบนี้แม่เราจะรับได้เปล่าวะ แม่จะจะเข้าใจไหนนะ อันนี้คือเรื่องที่ซีเรียสเรื่องแรก แต่มันเป็นสิ่งที่คาใจในพาร์ตของการทำงาน ว่าแพรวอยากทำอะไรสักอย่าง เหมือนเวลาดูหนังเรื่องนึงแล้วอยากเป็นแบบนี้วะ มาหลายปีแล้ว ถ้าแพรวทิ้งโอกาสนี้แพรวอาจไม่ได้เล่นอะไรแบบนี้อีกเลย แล้วมันเป็นพี่คงเดช กับเน็ตฟลิกซ์ด้วย มัน Why not? อะ ถ้าไม่ได้ไปวันนั้นเราอาจจะเสียใจที่ไม่ได้ทำมากกว่า

ความต่างสุดขั้วของผู้หญิงในทศวรรษ 70

ทั้งแพรวและก้อยได้เล่นเป็นผู้หญิงที่อยู่ขั้วตรงข้ามกัน คุณตีความยังไงบ้าง

แพรว : ของแพรวค่อนข้างง่าย เราได้รับผู้หญิงที่คอนเซอร์เวทีฟและพีเรียดมาเยอะมากๆ เราเลยรู้ชุดความคิดในหลายๆ แง่ของคนอนุรักษ์นิยม 

แม้เราจะพอรู้อยู่แล้วว่าต้องเจออะไรแบบนี้ แต่ขนาดเราไปเล่นเป็นตัวละครไม่ได้นาน ยังรู้สึกว่าอึดอัด และมีการตั้งคำถาม เอ๊ะในใจ แต่ตอนนั้นพอเราเป็นตัวละครคำว่า เอ๊ะของเรามันเงียบมากๆ จนเหมือนเราลืมให้ตัวเองเอ๊ะขึ้นมาให้มันดังกว่านี้ 

เรารู้สึกว่าผู้หญิงยุคก่อนหลายๆ คน ไม่ใช่ทุกคนนะ น่าจะรู้สึกกันอย่างนี้เหรอ แล้วมันเป็นความอึดอัดสะสม แพรวว่ามันคงไม่ได้เฮลตี้กับสุขภาพจิต และการมีชีวิตในสังคมเลย รู้สึกว่ามันน่าสงสารจังการเป็นเด็กผู้หญิงในสังคมสมัยก่อน

ก้อย : ลินดามีความหัวก้าวหน้าไปกว่าก้อยเยอะมาก มีความมั่นใจเหมือนกัน แต่เป็นความมั่นใจคนละแบบ ลินดามีความเฟมินีน มีพลังของเพศหญิงอยู่เยอะ แต่ตัวก้อยค่อนข้างตรงไปตรงมามากกว่า 

แต่เรื่องนี้เพศชายมีมุมมองต่อเขาในเซนส์ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นควีน มีเสน่ห์เหมือนมาลิรีน มอนโร มั่นใจแบบคนละพลังงานกัน สำหรับก้อยนั่นเป็นอีกด้านนึงของก้อยที่ไม่ค่อนแสดงออกมา (express) แบบนั้นเท่าไหร่ สำหรับก้อยมองว่าต่างจากก้อยมาก

เราต้องทำการบ้านกับทัศนคติเขาและร่างกายเขาประมาณนึง  ถามว่ารู้สึกยังไง รู้สึกฟินดีในเซนส์ที่ว่ามันขยายขอบเขตการแสดงของก้อยไป มันมีพื้นที่ที่ก้อยไม่เคยไป ตอนแรกก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน เราก็สำรวจไปเรื่อยๆ จนวันนึงมันเข้าที่ เลยกลายเป็นอีกเอเนอร์จีนึงกลายเป็นอาวุธใหม่ของเรา

Intimacy Scene ฉากถึงเนื้อถึงตัวที่ต้องเซฟใจนักแสดง

สำหรับเต๋อก่อนหน้านี้ที่คุณบอกว่าการได้เล่นซีรีส์เป็นเรื่องท้าทาย พอมาเล่นจริงๆ คุณรู้สึกยังไงบ้าง

เต๋อ: ถ้าในแง่ความท้าทาย นี่เป็นคาแรกเตอร์ที่เราไม่เคยได้เล่น สองมันเป็นซีรีส์ที่แตะเรื่องเซ็กซ์ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำและเลี่ยงด้วย ผมไม่ค่อยชอบเล่นอะไรที่เป็นเลิฟซีน เพราะเราไม่รู้ว่าอีกคนคิดยังไง ไม่อยากไปอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนนั้น พอมาเป็นเรื่องนี้ก็เลยลองดู เพราะเชื่อใจทางเน็ตฟลิกซ์และพี่คงเดช และปกป้อง

และพอหลังจากเล่นไปค้นพบว่าเป็นการถ่ายทำที่สนุกมาก มีการเตรียมตัวทั้งทีมงานและนักแสดงล่วงหน้าอย่างละเอียด จริงจัง ทำให้ทุกๆ อย่างเป็นความท้าทายที่เรารู้สึกว่ามันจะรอดไหมวะ กลายเป็นสิ่งที่ผ่านได้โดยง่าย โดยที่เราก็ได้โฟกัสกับการแสดง มันก็เลยเป็นความสนุก รู้สึกดีใจมากที่ตกลงรับ เพราะมันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี แล้วเป็นอะไรที่ต่อเติมชีวิตต่อไปได้อีก

คุณแสดงมาหลายปี มันยังมีความรู้สึกกังวลอยู่เหรอ

เต๋อ : มีนะ นักแสดงสำหรับผม เวลารับบทใหม่ๆ หรือบทที่เรารู้สึกไม่มั่นใจที่จะเป็นตัวละครเต็มร้อยที่จะรับเล่นในวันนั้น เช่น วันรุ่งขึ้นจะมีซีนแอคชั่น แล้วเราไม่ชอบซีนแอคชั่นก็จะเกิดความเครียด ความกังวลว่าจะทำได้มั้ย ซึ่งเรื่องนี้ถ้าจะเล่ามันกังวลไปหมดเลยนะ หนึ่งคือเรื่องศีลธรรมด้วย เพราะเรากำลังพูดถึง Sex อยู่ แล้วก็สอง มันเป็นบทบาทที่เราไม่เคยทำด้วย ไม่รู้ว่าคนดูจะตอบรับออกมาเป็นแบบไหน แล้วสามคือทีมงาน ไม่ใช่คนที่เราเคยทำงานมา เพราะฉะนั้นมันเลยเหมือนคนเปลี่ยนที่ทำงาน มันเลยมีความตื่นเต้น ความกังวลอยู่

ฉากเลิฟซีนก่อนหน้านี้ไม่คิดจะเล่น แต่เรื่องนี้มีฉากเลิฟซีนเยอะ คุณจัดการความรู้สึกยังไง

เต๋อ: ข้อดีของมันคือผมไม่ต้องไปจัดการกับมันเองเต็มร้อย เพราะมันมีการเวิร์กช็อป เพราะทุกครั้งที่มีเลิฟซีนจะต้องมีการเวิร์กช็อปก่อน 

แพรว : มันมี Intimacy Coordinator คนดูแลเรื่องเซ็กซ์ซีนโดยเฉพาะ

ก้อย : มีการกำหนดขอบเขตของแต่ละคนอย่างชัดเจน ลิสต์เป็นรายการออกมาเลย

เต๋อ : ข้อดีคือต่อให้มันเป็นเลิฟซีน ทุกอย่างระหว่างทางเรารู้ต้น กลาง จบ เราสามารถเปิดอิสระการเล่นของเราได้ เพราะเรารับรู้ขอบเขตของอีกคนแล้ว ตั้งแต่แรกว่าอันนี้ได้ อันนี้ไม่ได้ 

ดังนั้นมันไม่เหมือนการถ่ายเลิฟซีนที่เราไปลองๆ ดู ที่ไม่รู้ว่าพอเราทำไปแล้วเขาจะอึดอัดไหม บางอย่างเราจะไม่กล้า แต่สิ่งนี้จะทลายกำแพงนี้ไปเลย ในขณะเดียวกันการถ่ายทำจะมีการแบ่งโซนชัดเจน ว่าใครที่เข้าไปอยู่ในโซนนี้ได้ Red zone, Yellow zone, Green zone แต่ละโซนจะมีการจำกัดทีมงานให้ไม่มีคนมายืนดูเราถ่ายทำจนเยอะเกินความจำเป็น ทำให้เกิดความสบายใจมาก ซึ่งเขาก็พูดเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกๆ เลย

เรื่องเพศของไทยมาไกลแค่ไหนแล้ว

ในบริบทยุค 70 มีเรื่องอะไรที่เพิ่งรู้ไหมว่ายุคนั้นเขาคิดแบบนี้

เต๋อ : ณ ยุคนั้นเรื่องเพศคงเป็นเรื่องอะไรที่ถูกเก็บซ่อนไว้มิดชิด คนรู้แต่ไม่พูดกัน เพราะผมจำได้อย่างนึงว่าตอนเด็กๆ ผมชอบแอบอ่านคอลัมน์ตอบปัญหาทางเพศ รู้สึกมันแบบเป็นของต้องห้าม มันสนุกอะ มันแปลก แล้วมันกระตุ้นอารมณ์บางอย่างของเราตอนเด็ก 

ก้อย : ก้อยเพิ่งรู้ยุค 70 มีการกดทับและมีความรุนแรงมาก 

มันมีตอนนึงที่เกี่ยวกับ LGBTQIA+ ณ ปัจจุบันเปิดกว้างใช่ไหม แล้วเราก็พอจะรับรู้ว่าเมื่อก่อนมันรุนแรงและคนไม่ยอมรับ แต่พอเข้าซีนแล้วรับรู้ว่าคนไม่ยอมรับขนาดไหน เราเพิ่งรู้ว่ามันรุนแรงขนาดนี้ เพราะว่าซีนนั้นพอเล่นเสร็จ มีพี่ช่างแต่งหน้าคนนึง เขาอายุประมาณ 60-70 ปี แล้วเขาร้องไห้ บอกว่าชีวิตเขาเลย นั่นคือวัยเด็กที่เขาเคยเจอ 

เราเลยรู้สึกว่าโห นี่คือสิ่งที่เขาเจอในยุคนั้น แล้วมันรุนแรงมาก มันคือสิ่งที่เราคิดว่าปัจจุบันมันน้อยลงแล้ว แต่นั่นคือความเจ็บปวดที่เขามี นี่คือยุค 70 แล้วก่อนหน้านั้นที่ไม่ยอมรับละ มันจะขนาดไหน เรารู้สึกว่ามันน่าจะโดนใจใครหลายคนมากๆ 

แล้วกลับมาในยุคนี้ละ การโดนห้ามรู้เรื่องเพศเคยเกิดขึ้นกับตัวเองตอนไหนบ้าง 

เต๋อ : ผมเคยดูหนังกับญาติๆ แล้วอยู่ๆ มันมีฉากเลิฟซีนที่มันรุนแรงมากๆ ขึ้นมา แล้วผมก็นั่งดูตาแป๋ว เพราะว่ายังเด็กอยู่ไง ปรากฎว่าญาติล้อผม อ้าว โห ชอบเลยนะ ไอ้เด็กนี่ แล้วผมก็เลยรู้สึกอายที่จะนั่งอยู่ตรงนั้น 

อันนี้เป็นความทรงจำที่ผมเพิ่งจำได้เลยนะ ก็เลยรู้สึกว่าผู้ใหญ่ของเรา อาจจะอยู่ในยุคที่มีการปิดกั้นสังคม แต่พอเขาเติบโตมาเขาก็เลยอาจจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ถูกแล้วที่ต้องถูกปิดกั้น เพราะตอนที่เขายังเด็กเขาก็ถูกสอนมาแบบนี้เหมือนกัน 

ต้นหน : เหมือนกัน ผมเคยไปอ่านหนังสือการ์ตูนที่บ้านเพื่อน แล้วมันมีฉากเซอร์วิส ไม่ใช่เซ็กซ์ซีนด้วย เห็นหน้าอกผู้หญิงนิดหน่อย แล้วพอญาติของเพื่อนเห็นเขาเอาไปทิ้งเลย 

ก้อย : ขอเสริมว่ามันขึ้นอยู่กับวิธีการที่เขาจัดการเรามากกว่า มันมี 2 เหตุการณ์ที่ก้อยเคยเจอ คือก้อยเคยดู ถึงเนื้อถึงตัวตอนเด็กๆ เป็นหนังพีเรียดสมัยก่อน แล้วสิ่งที่แม่ทำกับก้อยดีมากคือ ก้อยถามว่าเขาทำอะไรกัน แล้วแม่พยายามอธิบายให้ฟังอย่างเข้าใจ

ในขณะที่อีกเหตุการณ์นึงคือไปนั่งรวมกันเป็นญาติ แล้วเป็นฉากถึงเนื้อถึงตัวเหมือนกัน ดูไปแปปนึง เสียงด่านำมาเลย ‘เฮ้ย ใครดูอันนี้’ แล้วก็ปิด 

เหมือนกับว่าวิธีเข้าหาเราเรื่องอะไรแบบนี้สำคัญมาก เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าผิดอะไร ก็เลยกลายเป็นว่ามันผิดเหรอ แต่โมเมนต์ที่แม่อธิบายเรื่องเพศให้เราฟัง เรากลับรู้สึกว่ามันธรรมดามากกว่า ก้อยว่าทำให้เรามีขอบเขตความเข้าใจเรื่องนี้เข้าใจมากขึ้น 

ก้อยว่าวิธีการทำให้คนดูอายุเท่าไหร่ ก้อยว่านั่นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า 

ในฐานะที่เป็นนักแสดงเรื่องนี้ คุณคาดหวังการพูดคุยเรื่องเพศในสังคมไว้ยังไงบ้าง

แพรว : คงอยากให้มีการเอดูเขตเรื่องเซ็กส์อย่างใจกว้าง ไม่ตัดสินดีกว่า เรารู้สึกว่าทุกคนควรรับผิดชอบการส่งต่อความคิดบางเรื่องด้วย เช่นถ้าเด็กคนนึงไปฟังว่าการเป็นเพศหลากหลายมันผิดตั้งแต่เด็ก แล้วเด็กคนนี้โตมาเขาเป็น ทั้งที่เป็นสิ่งที่เขาเลือกไม่ได้ อาจทำให้เขารู้สึกแย่กับตัวเองก็ได้ 

ต้นหน: ผมว่าเรื่องเซ็กซ์มันเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุย ทั้งพ่อแม่กับเด็ก ครูกับนักเรียน คู่รักด้วย เรื่องนี้ควรจะพูดได้แล้วอย่างตรงไปตรงมา การห้ามหรือการเซนเซอร์ไม่ผิด แต่มันต้องมีการอธิบายที่เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย 

รวมไปถึงผมมองว่าเด็กๆ บางคนที่มองว่าทำไมถึงโดนเซนเซอร์ หรือทำไมถึงห้าม ผมรู้สึกว่าเราเองก็ต้องฟังว่าเหตุผลคืออะไร และผู้ใหญ่ก็ต้องอธิบาย และต้องฟังเขาด้วยเหมือนกัน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

Cozy Cream

ไม่ใช่โซดา อย่ามาซ่ากับพี่