Ugly Cry อย่าอายที่จะร้องไห้เหมียนหมา เพราะมันคือขั้นตอนธรรมดาที่ทำให้ชีวิตเดินต่อได้

Ugly Cry อย่าอายที่จะร้องไห้เหมียนหมา เพราะมันคือขั้นตอนธรรมดาที่ทำให้ชีวิตเดินต่อได้

“ร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?” Ugly Cry

คำถามนี้โผล่ขึ้นมาในบทสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับกลุ่มเพื่อนผ่านวิดีโอคอล เพื่อนคนนี้เองเคยส่งรูปตัวเองตอนร้องไห้หนักมากในช่วงเวลาที่อกหักมาให้ดู เก็บเป็นหลักฐานและความทรงจำถึงหนึ่งในช่วงเวลาเปราะบางของชีวิต ก่อนจะเจอเหตุการณ์นี้ ผู้เขียนเองก็ไม่เคยนึกว่าการร้องไห้นั้นมีกี่แบบและโลกของเราบัญญัติการร้องไห้ไว้กี่ประเภท กระทั่งได้มาเจอคำคำหนึ่งที่น่าสนใจ

เพราะปีนี้อาจไม่ใช่ปีที่ดีสำหรับใครหลายคน ด้วยสถานการณ์และบรรยากาศที่ชวนหม่นหมอง ผู้เขียนเลยคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะเขียนถึงคำที่เกี่ยวข้องกับการร้องไห้ ซึ่งในภาษาอังกฤษ มีคำเฉพาะสำหรับอาการร้องไห้ขั้นรุนแรงจนใบหน้าบิดเบี้ยวดูไม่ได้ นั่นคือคำว่า ugly cry

Ugly Cry เมื่อเราร้องไห้อย่างรุนแรงจนหมดสภาพ

ugly cry เป็นคำนามและคำกริยาแปลว่า ‘การร้องไห้อย่างรุนแรงจนใบหน้าดูน่าเกลียด คือการปล่อยโฮร้องไห้จนหน้าบิดเบี้ยว ปากของผู้ร้องไห้จะเปิดกว้าง จมูกแดง ขอบตาบวมช้ำจนแทบจะไม่เห็นดวงตา’

เมื่อได้ยินคำว่า ugly cry แวบแรกผู้เขียนนึกถึงวิดีโอ Leave Britney Alone ในปี 2007 ที่เคยเป็นไวรัลดัง วิดีโอนี้เป็นของ Chris Crocker แฟนคลับ Britney Spears ที่อัดวิดีโอพูดคร่ำครวญ ร้องไห้วิงวอนขอให้สื่อมวลชนและคนในสังคมเลิกล้อเลียนบริตนีย์และหยุดแสวงประโยชน์จากชีวิตส่วนตัวของนักร้องสาว เพราะตอนนั้นเธอกำลังผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบาก ทั้งเรื่องหย่าร้าง ปัญหายาเสพติด ปัญหาทางอารมณ์ และปัญหาชีวิตส่วนตัวอื่นๆ ขอความเห็นใจและขอเป็นส่วนตัวให้กับเธอด้วย 

ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

กลับมาที่ ugly cry พจนานุกรมภาษาอังกฤษ Merriam-Webster ติดตามการใช้งานคำศัพท์ในยุคต่างๆ และพบเรื่องน่าสนใจว่าจริงๆ การใช้คำนี้ในป๊อปคัลเจอร์นั้นเริ่มตั้งแต่ช่วงปี 1970s โดยปรากฏในวรรณกรรมที่ช่วยขยายการร้องไห้ที่รุนแรงดูน่าเกลียดกว่าการร้องไห้ธรรมดา หลังจากนั้นคำนี้ก็เริ่มเป็นที่นิยมในช่วงปี 2000 เป็นต้นมา 

แม้ว่าในภาษาอังกฤษจะมีคำอื่นๆ ที่แสดงถึงการร้องไห้เช่น weep (ร่ำไห้), wail (คร่ำครวญ), snivel (ร้องไห้ปนสูดน้ำมูก), blubber (สะอึกสะอื้น) แต่ไม่มีคำไหนที่จะเน้นย้ำความน่าเกลียดน่าอายของใบหน้าที่กำลังร้องไห้ได้ดีเท่า ugly cry

คำว่า ugly cry face โผล่ขึ้นมาครั้งแรกในนิตยสาร Glamour ปี 1991 และรายการทีวีโชว์ The Kardashians ก็มีส่วนทำให้คำนี้กลายเป็นคำฮิต โดย Kim Kardashian นั้นได้รับฉายาว่าเป็นสาวงามที่หน้าตาน่าเกลียดเวลาร้องไห้หรือเป็น ugly crier คือร้องไห้อย่างไม่ห่วงสวย ต่างจากกุลสตรีตามแบบแผนที่น้ำตาไหลเบาๆ อย่างพองาม

ในช่วงต้นปี 2000 Oprah Winfrey ยิ่งทำให้คำนี้เริ่มฮิตแพร่หลายอย่างก้าวกระโดด เธอกล่าวในเทปหนึ่งว่า “During that whole tape session, I could see you doing what I’ve often tried to do on TV. You’re fighting the ugly cry, when your lips start to go.” หลังจากนั้นโอปราห์ก็เอ่ยถึงอาการร้องไห้น่าเกลียดนี้อีก เธอเองเป็นราชินีแห่งรายการดราม่าเรียกน้ำตาที่ร้องไห้บ่อยครั้งในรายการตัวเอง

เมื่อไปสำรวจ Google Ngram Viewer ระบบนับจำนวนการใช้งานคำใดคำหนึ่งที่กูเกิลเก็บรวบรวมไว้ตั้งแต่ปี 2005-2019 ก็พบว่าคำว่า ugly cry ก็มีแนวโน้มการใช้งานพุ่งทะยานสูงหลังปี 2000 เป็นต้นมา

Ugly Cry

คนเราร้องไห้ยังไงและทำไม

การร้องไห้คือกลไกธรรมชาติของการแสดงออกทางอารมณ์ ในทางกายภาพ น้ำตาซึ่งเป็นของเหลวที่ประกอบด้วยน้ำ โปรตีน เมือก และไขมันจะถูกปล่อยออกมาจากต่อมน้ำตา แต่สิ่งที่บางคนอาจไม่รู้คือการร้องไห้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์เสมอไป ในทางวิทยาศาสตร์คนเราหลั่งน้ำตาได้ 3 ประเภทแตกต่างกัน ได้แก่

  1. Basal Tears คือน้ำตาที่ต่อมน้ำตาหลั่งออกมาเรื่อยๆ เพื่อกันดวงตาของเราแห้ง ป้องกันดวงตาจะเศษผงและฝุ่น โดยร่างกายผลิตน้ำตาประเภทนี้ประมาณวันละ 5-10 ออนซ์
  2. Reflex Tears น้ำตาที่หลั่งออกมาเพื่อป้องกันดวงตาเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาหรือเมื่อมีอาการระคายเคืองจากสิ่งอื่น เช่น หัวหอม ควัน ฯลฯ
  3. Emotional Tears น้ำตาจากอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเกิดความเศร้าหรือปลื้มปิติ ระบบต่อมไร้ท่อในร่างกายเราจะจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการร้องไห้ออกมา

เมื่อเราเปรียบเทียบส่วนผสมของน้ำตาจากความความระคายเคืองกับน้ำตาจากอารมณ์ความรู้สึก กลับพบว่าทั้งสองมีสารประกอบในของเหลวที่ต่างกัน น้ำตาอันเกิดจากอารมณ์นั้นมีสารที่ช่วยลดความเจ็บปวด ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น น้ำตาจึงเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายที่ช่วยการปลดเปลื้องความเครียดและบรรเทาความเจ็บปวด เมื่อเราเผชิญอารมณ์ต่างๆ ที่รุนแรงไม่ว่าจะสุขมากหรือทุกข์มาก การร้องไห้จะช่วยพาให้เรากลับสู่สมดุลปกติของอารมณ์ได้

ในภาษาอังกฤษมีสำนวน have a good cry จากแนวคิดที่ว่าการร้องไห้ออกมาบ้างเป็นเรื่องดี เพราะการร้องไห้ช่วยปลดเปลื้องความรู้สึก ช่วยคลายเครียดและทำให้รู้สึกดีขึ้น ในประเทศญี่ปุ่นถึงกับมีการจัดคลับคนร้องไห้ โดยให้คนมาดูหนังหรือรายการทีวีดราม่าสุดเศร้าหรืออ่านหนังสือที่ชวนเศร้าไปพร้อมๆ กัน

บทความจาก The Cut ได้สำรวจพิจารณาใบหน้าของการร้องไห้แบบหมดสภาพในฉากภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง สรุปว่าส่วนสำคัญของใบหน้าที่ทำให้เกิดภาพ ugly cry ไม่ใช่ดวงตาที่ผลิตต่อมน้ำตา แต่คือส่วนริมฝีปากที่แหกออกและคิ้วขมวดที่ช่วยขยายภาพใบหน้าและอารมณ์ได้แจ่มชัด ซึ่งน่าชื่นชมเมื่อนักแสดงพาอารมณ์ของตัวละครและเรื่องราวไปได้สุด ปล่อยโฮร้องโดยใช้กล้ามเนื้อทั้งใบหน้าโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์

Ugly Cry
ตัวละคร Sally Albright ร้องไห้แรงจนหน้าเหยเก ในภาพยนตร์ When Harry Met Sally (1989)

เกิดเป็นชายอย่าร้องไห้ ทำงานเป็นมืออาชีพอย่าร้องไห้ แล้วใครร้องไห้ได้บ้าง?

เรามักได้ยินคนกล่าวขอโทษเพราะรู้สึกผิดและอับอายเมื่อเขาร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น ร้องไห้ในที่สาธารณะ หรือร้องไห้ในที่ทำงาน สังคมมักมองว่าการร้องไห้คือแสดงออกถึงความอ่อนแอ ความไม่มีวุฒิภาวะ หรือการควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หลายคนต้องโตมากับค่านิยมว่าหากเป็นมืออาชีพ ต้องอย่าร้องไห้ให้ใครเห็นเป็นอันขาด

ในแบบสำรวจความคิดเห็นคนทำงาน 3,200 คนโดยสำนัก Accountemps พบว่ามีคนจำนวน 45% เคยร้องไห้ในที่ทำงาน มีคนกว่า 70% กลับรู้สึกว่าไม่โอโคและรับไม่ได้กับการร้องไห้ในที่ทำงาน และมีคนเพียง 30% เท่านั้นที่รู้สึกว่าการร้องไห้คือเรื่องปกติและจะไม่มีผลกระทบด้านลบกับการงาน สำหรับผู้เขียนสารภาพว่ายังเขินอายที่จะร้องไห้ให้ใครเห็น แถมยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจและทำตัวไม่ถูกเมื่อคนอื่นมาร้องไห้อยู่ตรงหน้า แต่ก็กลับตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมความโศกเศร้าเสียใจจึงควรเก็บมิดชิดไว้ในที่ส่วนตัวจึงจะเหมาะสมกว่า

แม้เราจะชินกับแนวคิด Men don’t cry คติที่ว่าผู้ชายนั้นควรจะร้องไห้ยากกว่าผู้หญิง เกิดเป็นชายต้องไม่ร้องไห้ออกมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ศาสตราจารย์ Bernard Capp นักวิชาการผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ของอารมณ์กล่าวว่าแนวคิดเรื่องผู้ชายกับการร้องไห้นั้นเปลี่ยนไปตามยุคสมัยตลอดมา เมื่อย้อนกลับไปดูในอดีตแคปป์พบว่าคัมภีร์ไบเบิลนั้นเต็มไปด้วยบันทึกเรื่องราวการร้องไห้ของผู้ชาย มีบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ร้องไห้คร่ำครวญเมื่อโดนถอดยศ แสดงให้เห็นว่าการหลั่งน้ำตาคือพฤติกรรมปกติของเหล่าฮีโร่กรีกโบราณ เหล่าผู้ชายอีลีตในสมัยยุคกลางตะวันตกไม่ได้มีแนวคิดควบคุมอารมณ์

แต่เมื่อมาถึงยุคเรอเนซองซ์ สังคมตะวันตกให้ความสำคัญกับเหตุผลจึงเกิดค่านิยมแบบ Stoicism หรือยินดีกับความความนิ่งเฉยเป็นกลาง พวกเขาเชื่อว่าการไม่มีอารมณ์ความรู้สึกคือสิ่งดีงาม ผู้ชายชนชั้นอีลีตตะวันตกจึงเกิดมีคติใหม่ในชนชั้นสังคมว่า พวกเขาต้องควบคุมอารมณ์ของตนในที่สาธารณะ แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ทุกข์ยาก การแสดงออกด้วยน้ำตาของเพศชายจึงเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ ทุกยุคทุกสมัยและต่างกันไปในหลากวัฒนธรรม ไม่ได้ตายตัวแต่อย่างใด

ในขณะเดียวกัน คำว่า ugly cry กลายเป็นคำที่มักข้องเกี่ยวกับความเป็นเพศหญิง มักถูกใช้โดยผู้หญิงเพื่อบอกเล่าหรือกระทั่งเสียดสีตัวเองในยามที่ร้องไห้หนักมากจนหน้าตาไม่น่าดูชมตามมาตรฐาน สำหรับผู้หญิงเอง การร้องไห้หนักมากจึงกลายเป็นประสบการณ์อันน่าหวาดกลัว น่าอับอาย ไม่น่าจดจำ ไม่อยากนึกถึง เต็มไปด้วยรู้สึกผิดควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ได้

ย้อนกลับมาที่คำถามของเพื่อนที่ถามว่า “ร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่” ผู้เขียนจึงยอมรับอย่างเหนียมอายว่าเพิ่งร้องไห้เพราะอ่านเรียงความของ Emmanuel Carrère แล้วทัชหัวใจเป็นอย่างมาก นึกๆ ดูแล้วการที่เพื่อนส่งรูปตัวเองตอนร้องไห้หนักมากก็นับเป็นความจริงใจเหมือนกัน เพราะการจะส่งรูปแบบนั้นให้คนอื่นได้ต้องมีความไว้ใจที่กล้าจะเผยความเปราะบางให้ได้รับรู้อย่างไม่ปิดบัง 

ในเวลานี้หลายคนต้องพบกับความสูญเสีย เผชิญความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ รู้สึกเครียด สิ้นหวัง และเหนื่อยล้าหมดแรง หรือต่อให้ไม่ลำบากก็อาจมีความรู้สึกผิดเมื่อเห็นคนอื่นทุกข์ยากทุกวัน เรื่องราวมากมายในทุกวันนี้ทำให้เราอยากร้องไห้ และมันไม่ผิดเลยที่เราจะทำแบบนั้นบ้าง เพราะการร้องไห้คือการปลดปล่อยให้ความเศร้าและความกดดันที่เราสะสมมานานได้ระเบิดออกมา ปล่อยให้กลไกร้องไห้ของร่างกายได้ดูแลสมดุลความรู้สึกและอารมณ์ของเราโดยไม่ต้องกักเก็บเอาไว้ 

คำว่า ugly cry คือหลักฐานหนึ่งที่บ่งบอกว่าการร้องไห้ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือกลไกธรรมดาของมนุษย์ที่ไม่ได้จำกัดเพศ วัย หรือเชื้อชาติ การร้องไห้จนหมดสภาพควรเป็นประสบการณ์ที่เรามีร่วมกันได้อย่างไม่เขินอาย และการยอมรับว่าเราก็ร้องไห้อาจเป็นการยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์


อ้างอิง

knowyourmeme.com

merriam-webster.com

newrepublic.com

researchgate.net

roberthalf.com

thecut.com

warwick.ac.uk

1

11ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

12ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

2

21ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

22ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

3

31ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

32ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

4

41ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

42ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

5

51ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

52ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

6

61ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

62ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

7

71ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

72ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

8

81ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

82ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

9

91ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

92ในปี 2007 ภาพผู้ชาย (หรือเกย์) ร้องไห้โฮออกสื่อสาธารณะอย่างไม่อายใครถือเป็นความแปลกประหลาด ในยุคนั้นเสียงตอบรับจากชาวเน็ตเป็นไปในทางลบมาก ใครที่ได้ดูต่างตำหนิว่าช่างกล้าแสดงใบหน้าเหยเก พูดไม่เป็นภาษาให้คนในโลกสาธารณะได้เห็น ในขณะเดียวกันก็มีคนมองคริสเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ภาพเขาร้องไห้โฮจึงถูกแชร์จนมีคนเข้ามาดู 2 ล้านคนในเวลา 24 ชั่วโมง แถมยังมีคนทำคลิปล้อเลียนตามจนกลายเป็นมีมดัง ในปี 2012 มีคนดูคลิปของคริสมากกว่า 40 ล้านครั้ง

AUTHOR

ILLUSTRATOR

erdy

นักวาดภาพประกอบคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันว่าจะรวย จะรวย จะรวย