มิถุนายน
เริ่มต้นฤดูแห่งดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่ยอมลาลับกลับไปไหน กลางคืนที่ไร้ความมืด มีแต่แสงสว่างยาวนานตลอด 24 ชั่วโมง เป็นช่วงเวลาที่นาฬิกาเป็นสิ่งที่สำคัญแต่ไม่ที่สุด เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของเราคือม่านทึบแสงในห้องนอน
เราได้ที่พักเป็นห้องนอนในอพาร์ตเมนต์ของพี่บี พี่คนไทยที่แต่งงานใช้ชีวิตกับหนุ่มชาวนอร์เวย์และมีลูกชายเป็นหนุ่มน้อยน่ารัก 1 คน เป็นหนึ่งในความโชคดีที่ตัดสินใจเลือกที่พักนี้ก่อนเดินทางมาที่นี่เพียงวันเดียว และการเช็กพยากรณ์อากาศก่อนซื้อตั๋วเครื่องบินคืออีกหนึ่งความภาคภูมิใจ เพราะฟ้าใสตลอดทุกวันที่อยู่ที่นี่ ซึ่งวันก่อนและหลังจากที่เราอยู่นั้นฝนตกเหมือนฟ้ารั่ว
08:00 น.
เราออกจากที่พัก เดินลัดเลาะไปตามทางเดินริมน้ำที่อยู่ห่างจากอพาร์ตเมนต์ไม่ไกล ทุกอย่างเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงคลื่นน้ำเบาๆ และเสียงนกร้อง น้ำใสมากจนเห็นพื้นดินใต้น้ำ เราหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมา นั่งลงบนม้านั่ง ทำงานไปพร้อมกับวิวหลักล้านที่อยู่เบื้องหน้าโรงเก็บของสีแดง ดอกไม้ป่าสีเหลือง สีเขียวสดของผืนหญ้า สีฟ้าของแม่น้ำและท้องฟ้า เรารู้สึกดีมากจนตอนนั้นเกิดคำถามในหัวว่า
‘ทำยังไงถึงจะย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ได้นะ’
เอาจริง ถึงตอนนี้ก็ยังคิด คิดถึงอากาศบริสุทธิ์ที่สูดได้เต็มปอดของที่นั่นจริงๆ
10:30 น.
เราเก็บโน้ตบุ๊ก พร้อมเดินทางเข้าเมือง วันนี้ในเมืองมีเทศกาลพอดี มีขบวนพาเหรดที่ผู้คนแต่งตัวแฟนซี มีวงโยธวาทิตที่เล่นโดยวัยรุ่นอายุ 40-50 ปี มีการแข่งขันพายเรือที่เสียงเชียร์ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ยืนอยู่ตรงนั้นก็ได้ลุ้นไปกับเขาด้วยแม้ไม่รู้เลยว่าคือเทศกาลอะไร แลดูเป็นสีสันของซัมเมอร์มากๆ อะไรๆ ก็ดูน่ารักไปหมด
12:00 น.
อย่างที่บอกว่าเราโชคดีมากที่ตัดสินใจมาพักบ้านพี่บี บวกกับที่เรามาตรงกับวีคเอนด์พอดี ครอบครัวพี่บีจึงอาสาขับรถพาเที่ยว ไปดูโบสถ์ที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญ ไปดูวาฬในทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไป แต่ช่วงนี้วาฬอาจจะย้ายถิ่นไปแล้วจึงไม่เห็น แต่ไม่เสียดายเลย เพราะวิวตรงนั้นสวยมากจริงๆ
15:00 น.
แม้จะไม่เจอวาฬ แต่เราก็ได้เจอเรนเดียร์ สำหรับที่นี่แล้วเรนเดียร์เป็นสัตว์ที่สามารถพบเจอได้ไม่ยากนัก เขาของมันน่ารัก ผิวสัมผัสดูคล้ายกำมะหยี่ เดินเล่นริมถนน หาหญ้ากินตามข้างทางเหมือนวัว กินแบบเงียบๆ ไม่สนใจใครทั้งสิ้น เราเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ยังคงกินหญ้าต่อไป แต่พอหมาเดินผ่านมาเท่านั้นแหละ วิ่งหลบกันตัวเอียงเชียว
18:00 น.
เราเดินทางกลับมาที่อพาร์ตเมนต์เพราะพี่บีชวนทานข้าว
และนี่คืออาหารนอร์เวย์
ผิด! พี่บีชวนเพื่อนมาที่บ้านและทำอาหารกินกัน แต่ก็ได้แบ่งปันให้แขกอย่างเราเข้าไปร่วมวงด้วย โชคดีอีกแล้ว เพราะอาหารอร่อยน้ำตาจะไหล คิดถึงอาหารไทยมาก ไม่ได้กินเลยตั้งแต่มาอยู่ยุโรป 2 เดือนกว่า มือนี้ทำให้หายอยากไปได้เยอะเลย
21:00 น.
บรรยากาศตอน 3 ทุ่มที่ยังคงเหมือนบ่าย 3 โมง เราเดินออกมาทางหลังที่พักเพื่อไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้มากและยังคงเปิดอยู่ โลเคชั่นของที่พักราคาหลักพันนี้ช่างคุ้มค่าเสียเหลือเกิน ธรรมชาติและทะเลสาบที่ห้อมล้อมอยู่นี้นั่งมองยังไงก็ไม่รู้สึกเบื่อ อากาศหนาวแต่รู้สึกกำลังดี เพราะยังคงมีแสงแดดให้ความอบอุ่น หันมองดูนาฬิกาอีกที 4 ทุ่มกว่าแล้ว ยังไปไม่ถึงซูเปอร์มาร์เก็ตเลย
23:30 น.
เราเดินต่อไปตามทางเดินริมน้ำ ทางเดียวกับที่เราเดินไปในตอนเช้า เป็นทางที่จะพาเราไปสู่อ่าว Telegrafbukta จุดชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน มีคนพาน้องหมาออกมาเดินเล่น และยังมีคนมาวิ่งออกกำลังกาย ‘นอนไม่หลับเหมือนกันสินะ’ เราแอบคิดในใจเบาๆ ดูเป็นช่วงเวลากลางคืนที่ไม่น่ากลัวเลย กลับกันกับช่วงฤดูหนาวของที่นี่ที่มืดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีแสงอาทิตย์ใดๆ พี่บีบอกว่าช่วงนั้นไปไหนมาไหนอันตราย
03:00 น.
เรากลับมาถึงที่พักสักพัก ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่สว่างน้อยที่สุดของวัน เรายังคงตาค้างมาก ท้องฟ้าเหมือนเวลา 6 โมงเย็น และดูเหมือนว่าหลังจากนั้นฟ้าจะค่อยๆ สว่างขึ้นอีกครั้ง
04:30 น.
นึกขึ้นได้ ปิดม่าน
Good night!