torrayot โปรเจกต์อัลบั้มเดี่ยวที่ไม่ทรยศต่อตัวเองของ ‘อู๋–ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์’

Highlights

  • อู๋–ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ คือฟรอนต์แมนวงดนตรีชุดดำอย่าง The Yers ที่เพิ่งปล่อย Facing Death by Now อัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกของตัวเองในนามของ torrayot
  • เขาปลุกปั้นโปรเจกต์เดี่ยวมาตั้งแต่ปี 2016 คู่ขนานไปกับการเขียนเพลงในสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 3 ของวง เนื้อหาในเพลงของ torrayot มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าเพลงของ The Yers และสไตล์ของดนตรีมีความเฉพาะกลุ่มและลงลึกมากกว่า
  • ความตั้งใจที่อยู่หลังโปรเจกต์นี้คือการเป็นฟันเฟืองช่วยรันวงการเพลง นำพาดนตรี shoesgaze, doom metal หรือดนตรีแนวทดลองให้เป็นที่รู้จักของกลุ่มคนฟังหมู่มาก

ต่อให้คุณนิยามตัวเองว่าเป็นคนฟังเพลงนอกกระแสหรือนิยมเพลงเมนสตรีม เชื่อว่าคุณจะต้องรู้จัก อู๋–ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ ฟรอนต์แมนวงดนตรีชุดดำอย่าง The Yers สังกัดค่ายเพลง genie records

พฤศจิกายนปีที่แล้วอู๋ตัดสินใจปล่อย รอยมืดดำ เพลงแรกจากโปรเจกต์ torrayot ให้แฟนๆ ได้ฟัง และใช้ชื่ออัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกของตัวเองว่า Facing Death by Now ออกเทป ซีดี และแผ่นไวนิลให้แฟนเพลงจับจอง และอีกหนึ่งความเจ๋งคือเป็นอัลบั้มที่หาฟังไม่ได้ในช่องทางสตรีมมิ่ง

ในนามของ torrayot เขาตั้งใจปลุกปั้นโปรเจกต์เดี่ยวนี้มาตั้งแต่ปี 2016 คู่ขนานไปกับการเขียนเพลงในสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 3 ของวง หากมองผิวเผิน เราอาจตัดสินอัลบั้มนี้ว่าเป็นเพียงแค่พื้นที่ปล่อยของ หรือเป็นเพียงอัลบั้มเดี่ยวสนองนี้ดของศิลปิน แต่สำหรับอู๋แล้ว torrayot และ 10 บทเพลงในอัลบั้มที่ว่ามีความหมายลึกซึ้งมากกว่าคำตัดสินเหล่านั้นหลายเท่าตัว

อัลบั้มเดี่ยวจากนักดนตรีที่นิยามตัวเองว่าเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เต็มไปด้วยความตั้งใจและความทุกข์-ความสุขแบบไหนบ้าง มาฟังเรื่องเล่าเหล่านั้นจากปากเจ้าตัวพร้อมกันดีกว่า

ทุกคนรู้ว่าทั้งเพลงของ The Yers และ torrayot เริ่มมาจากคุณหมดเลย มีเกณฑ์ยังไงในการเลือกว่าเรื่องนี้จะเล่ากับวงหรือเล่ากับตัวเอง

จริงๆ แล้วอัลบั้มแรกของ The Yers เป็นเรื่องของเราเองหมดเลย ตอนทำวงตอนแรกเราทำแบบไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันเลย แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ The Yers เริ่มมีชื่อเสียงชนิดว่าเราตั้งรับไม่ทัน ทุกอย่างกลายเป็นความคาดหวังของค่าย ของแฟนเพลง พอเริ่มมีความเป็นธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องเพลงของ The Yers เลยถูกทดไว้ว่าต้องมีความเป็น universal ผสมอยู่ ไม่ใช่ inside-out อย่างเดียวแต่เป็น outside-in ด้วย เพราะเราต้องจูนคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ชื่นชอบเราเป็นการส่วนตัวขนาดนั้นเข้ามาเป็นแฟนเพลงเรา

The Yers เริ่มเป็นสิ่งที่กึ่งคอมเมอเชียลแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่สนุกกับมันนะ เราสนุกกับการท้าทายที่จะทำให้ The Yers ยืนอยู่ในโพซิชั่นของมัน แต่กับ torrayot มันเป็นเพลงที่ตอนทำและตอนปล่อยออกมาเหมือนเราได้ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่เราเริ่มทำ The Yers เลย คือทำด้วยความมุทะลุ เล่าแบบ inside-out อย่างเดียว ไม่แคร์เรื่องความคาดหวังของใครอีกแล้ว 

พอทำเดโมเพลงแรกของ torrayot เสร็จเรารู้เลยว่านี่แหละคือโปรเจกต์เดี่ยวของเรา เพราะในช่วงเวลาที่ทำอัลบั้มนี้มันคาบเกี่ยวกับอัลบั้มของวงด้วย เรารู้ด้วยตัวเองโดยทันทีว่าสิ่งนี้ควรอยู่ในงานส่วนตัว ส่วนสิ่งนี้เป็นของวงนะ

 

มันเชื่อมโยงถึงขั้นว่าเป็นโลกคู่ขนานเลยไหม

เป็นอย่างนั้นก็ได้นะ เพราะทั้งหมดมันมาจากเรื่องของเรา เพียงแต่ว่าเรื่องเนื้อหาและดนตรีของ torrayot ถูกนำเสนอได้ยากกว่าของ The Yers มากเลย มันเป็นอะไรที่ส่วนตัวมากๆ บางเรื่องของ torrayot มันอาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกๆ คน แต่อย่างเพลงของ The Yers เราใส่ความรักเข้าไปเลยสามารถเชื่อมโยงกับทุกคนได้ สมมติเราเกลียดคนคนหนึ่งมากๆ ใน The Yers จะเล่าว่า เกลียดตัวเองจังเลยที่คิดถึงเธออยู่ได้ แต่ความเกลียดของ torrayot คือกูจะฆ่ามึง ถลกไส้ ถลกพุง เราจะมีเพลงภาษาอังกฤษที่เล่าแบบนั้นอยู่

ชอบคำที่คุณเคยพูดว่า “เอาความทุกข์ที่ย่อยง่ายไว้ในเพลงของ The Yers ส่วนความทุกข์ที่ย่อยยากไว้ใน torrayot” ความทุกข์มันสำคัญกับคุณยังไง

บนโลกนี้เราดันไม่ชอบความสุขอย่างเดียว ความสุขเราชอบเสพ แต่ความทุกข์เราชอบระบายและนำเสนอมัน ถ้าไม่มีความทุกข์เราคงฟังเพลงหลายเพลงบนโลกนี้ไม่เพราะเลย ความทุกข์มีเสน่ห์ตรงที่มันทำให้เรารู้ว่าความสุขคืออะไร แล้วเราดันเป็นคนหลงเสน่ห์การเล่าเรื่องความเสียใจ ผิดหวัง เราชอบเรื่องที่มันหม่นมากๆ

 

ไอ้ความหลงใหลนี้มันอยู่กับคุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่

อยู่มาตั้งแต่เริ่มทำงานเพลงเลยมั้ง ด้วยความที่ตอนเริ่มต้นอาชีพนี้ เราอยู่ในวงที่เราไม่เคยมีปากมีเสียงมาก่อน ซึ่งแม่งโคตรอึดอัดทรมานใจ แล้วตอนที่ชัดเจนมากที่สุดน่าจะเป็นตอนที่เริ่มทำ The Yers ใหม่ๆ เรารู้ตัวเองแล้วว่าเราชอบทำแบบนี้ เราได้ไปเจอวงดนตรีที่เป็นแรงบันดาลใจของเราแล้วเขาชัดเจนเรื่องนี้ โห ภาพลักษณ์แม่งมืดว่ะ ดนตรีก็มืด เนื้อหาก็มืด มันทำให้เรารู้ว่า Y อัลบั้มแรกของ The Yers เราอยากจะนำเสนออะไร

เหมือนช่วงนั้นเราเจอวงดนตรีแบบนั้น เราก็หาหนังสไตล์เดียวกันมาดู หาหนังที่มีเพลงประกอบแบบนั้นมาดู แม้กระทั่งเวลาไปมิวเซียมที่ต่างประเทศเราจะแฮปปี้มากเวลาเดินเจองานจำพวกนี้ เราชอบงานที่เงียบๆ ขรึมๆ ลึกๆ ไม่รู้เลยว่าเรียกว่าอะไร แต่จำได้ว่าดูแล้ว โห แม่งโคตรแรงบันดาลใจ

คุณในวันนี้กับคุณเมื่อ 10 ปีที่แล้วมองโลกเปลี่ยนไปยังไง

สิ่งหนึ่งสำหรับตัวเราที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือไอ้นิสัยมองโลกในแง่ร้าย คิดมาก อ่อนไหว ยังมีกิเลสและความอิจฉาอยู่ในตัวเสมอ สิ่งที่ต่างกันคือ 10 ปีที่แล้วเราจัดการกับอารมณ์พวกนี้ไม่ถูก แต่ตอนนี้จัดการมันถูก มึงเข้ามาเลย กูพร้อมชนเสมอไอ้อารมณ์พวกนี้ เกลียดไอ้นี่ว่ะ หมั่นไส้วงนี้ว่ะ (หัวเราะ) เราสะสมมันไว้แล้วระบายด้วยการเขียนเพลง ระบายด้วยการทำให้ตัวเองเจ๋งกว่า ดีกว่า ถ้าตอนนี้ตัวเราไม่ได้มีแฟนเพลงติดตามหรือว่ามีคนรู้จัก เราคงเป็นคนเมื่อสิบปีที่แล้วที่มีอะไรก็ด่าลงเฟซบุ๊ก เดือดไปกับมันอย่างเดียว พูดออกมาเลยว่าไม่ชอบ ด่าเละเลย ด่าทุกอย่างบนโลก แต่ตอนนี้เรารับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้นเลยกลายเป็นคนที่เกลียดอะไรจะเก็บไว้กับตัวเอง เก็บมันไว้เพื่อเป็นขุมไอเดีย

 

การมีชื่อ The Yers ติดตัวส่งผลต่อความคาดหวังในการทำ torrayot ไหม

สำหรับเราไม่เลยนะ เราไม่ได้คาดหวังอะไรจากการทำ torrayot เลยครับ ไม่สิ เราคาดหวังแค่เรื่องการรันวงการ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แต่ความคาดหวังเรื่องชื่อเสียงเงินทองหรือการยอมรับคือไม่มีเลย แค่อยากให้มันเกิดสิ่งนี้ขึ้นเราเลยทำอัลบั้มนี้ด้วยความปีติ อิ่มเอม และเติมเต็มตัวเอง เรารู้สึกขอบคุณตัวเองที่เริ่มทำโปรเจกต์นี้ มันทำให้เรามีแรงบันดาลใจใหม่ๆ เพื่อพัฒนางานของ The Yers ต่อด้วย

ถ้าสมมติว่าไม่ได้ทำโปรเจกต์นี้ คิดว่าตัวเองตอนนี้จะเป็นยังไง

ตอบได้เลยว่าตอนนี้ผมตันแล้ว ผมตันตั้งแต่ช่วงที่พยายามจะเค้นอัลบั้ม Cry (อัลบั้มที่ 3 ของ The Yers) ออกมา การทำอะคูสติกคือการ ‘หนี’ ตัวเองไปทำ The Yers ในรูปแบบอื่นที่พอจะคิดได้ ณ เวลานั้นว่างานใหม่ของเราจะเป็นยังไงได้บ้างวะ ตอนนั้นคิดว่าถ้าดนตรีเป็นกีตาร์โปร่งไปเลย ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีซินธิไซเซอร์เลยมันน่าจะช่วยให้เราคิดสิ่งใหม่ๆ ออกมาบ้าง ซึ่งมันก็ช่วยได้ในอัลบั้ม Cry พูดตามตรงว่าพอจบอัลบั้มนั้นไปเราโคตรตันกับ The Yers

เอาจริงเพลงที่เราถูกบังคับให้ทำอย่าง ห้องที่ไม่เคยสว่าง เราทำด้วยความรู้สึกเหมือนโรงงานผลิตของ ทำด้วยความที่เราไม่มีไอเดียอะไรใหม่แล้ว เหมือนทำตามที่ The Yers เคยทำทั้ง 3 อัลบั้มก่อน ทำด้วยฟอร์แมตว่าเพลง The Yers ต้องเป็นแบบนี้นะ สำหรับเรามันไม่มีอะไรใหม่เลย

 

ลึกๆ แล้วรู้สึกเสียดายจนอยากกลับไปแก้มือไหม

ไม่นะ เราว่าอย่างน้อยๆ มันจะเป็นบทบันทึกว่า ถ้าวันหนึ่งมึงไม่มีไอเดียใหม่เพลงมึงก็จะซ้ำแบบนี้ แล้วมันก็จะไม่มีคนฟัง มันเป็นไดอารีที่ดีของวงนะ การที่วงดนตรีวงหนึ่งออกอัลบั้มที่ไม่เจ๋งออกมา เราว่ามันเป็นเรื่องที่เจ๋งดีออก

 

เจ๋งยังไง

มันคือบันทึกเล่มหนึ่งที่บอกว่าวงวงนี้กำลังเจออะไรช่วงนี้ แล้วทำไมเพลงถึงออกมาแย่แบบนี้ ยกตัวอย่างเช่นอัลบั้มของ Red Hot Chili Peppers ที่คนเกลียดที่สุดคือ One Hot Minute เป็นอัลบั้มที่ John Frusciante มือกีตาร์ที่เป็นสมาชิกคนที่สองของวงและเป็นที่รักมากที่สุดของวงออกไป แล้วได้มือกีตาร์อีกคนชื่อ Dave Navarro เข้ามาแทน มันมีเรื่องราวที่ทำให้อัลบั้มนี้ห่วยที่สุด เวลาคนกลับไปฟังก็จะหวนคืนได้ว่าตอนนั้นมันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เราไม่เคยมานั่งเสียใจเลยว่าเพลงนี้ของ The Yers เราไม่ชอบเลยว่ะ

ที่บอกว่าอยากรันวงการ ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากลุกขึ้นมาทำเพื่อคนอื่นขนาดนี้

เราสนุกกับการได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ยกระดับรสนิยมทั้งคนฟังและคนทำเสมอครับ เราดันมีรสนิยมการฟังเพลงที่เป็นรสนิยมคนส่วนน้อยในประเทศ เราเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาบอกว่า “วงการเพลงไทยมันไม่พัฒนามา 30 ปีแล้ว” นี่คือบทสัมภาษณ์เมื่อสิบปีก่อน ซึ่งเราว่ามันเป็นเรื่องจริงนะ

โอเค คุณจะพูดว่าวงการเพลงนอกกระแสตอนนี้ซีนป๊อบกำลังมา indie-pop chillwave กำลังมา 80s ก็กลับมาแล้ว วงการเพลงมีอะไรหลากหลายกว่านั้น The Yers อยู่ในจุดที่อยู่ตรงกลาง เรารู้หมดว่าฝั่งนอกกระแสเป็นยังไง มีจำนวนคนเท่าไหร่ และฝั่งเมนสตรีมเป็นยังไง มีจำนวนคนเท่าไหร่ เราเคยสัมผัสทั้งสองฝั่งมาแล้ว เรารู้ว่าคนฟังฝั่งเมนสตรีมมันยังมหาศาลอยู่ อย่างเด็กต่างจังหวัดเขาเติบโตมากับเพลงลูกทุ่งอยู่ เราไปเล่นโรงเรียนเล็กๆ ต่างจังหวัด ก่อนหน้าเราเป็น The Star เขาเล่นคัฟเวอร์เพลงลูกทุ่งเด็กร้องลั่นโรงเรียน แต่พอเป็นคิวเราขึ้นเวทีคือเงียบ หรือกระทั่งเราไปเล่นในโรงงานส่งออกไก่ ตอนเราเล่นคือเงียบเลย พอเปาวลีขึ้นคือโอ้โห มันทำให้เรารู้เลยว่าจริงๆ แล้วรสนิยมที่คุณบอกว่าหลากหลาย เรามีทางเลือกเยอะจริง แต่ว่ามันยังไม่ได้ถูกกระจายไปสู่คนกลุ่มกว้างจริงๆ ถ้าเราสามารถนำพาดนตรี shoegaze chillwave หรืออะไรก็แล้วแต่ไปให้สาวโรงงานฟังได้นั่นคือความใฝ่ฝันของชีวิตเรา 

กลับมาตรงคำถามว่าเราอยากจะรันวงการยังไง เราเป็นคนมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง ในบทบาทของ The Yers เรานำเสนอ indie rock, pop rock, post-punk rivival หรืออะไรก็ตามแต่ คนรู้จักดนตรี alternative rock แล้ว แต่ว่ามันมีดนตรีที่เล็กมากๆ deep down ไปกว่านั้นมากๆ อยู่ เราอยากให้คนที่ติดตาม The Yers ได้ตามมาฟังเพลงแบบนี้บ้าง ทำให้ซีนตรงนี้เกิดขึ้นในวงการบ้าง อันนี้สำหรับคนฟัง สำหรับคนทำ คนในวงการเพลงตอนนี้ยังไม่มีใครลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้เลย ทั้งๆ ที่เรารู้มาว่าศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ หลายคนเขามีรสนิยมที่ deep down อยู่ เราอยากเห็นคนทำอะไรที่ช่วยกระตุ้นวงการเพลงขึ้นมาอีก เพราะว่าถ้าดนตรีแบบนี้ทำโดยคนที่ไม่มีแฟนเพลง หรือไม่มีฟอลโลเวอร์เลยมันก็คงไปได้ไม่ไกล

การออกอัลบั้มเดี่ยวทั้งๆ ที่วงยังติดสัญญากับค่ายใหญ่อย่าง genie คุณทำยังไงให้ค่ายยอม

เราใช้ข้อเสนอที่โหดร้ายมาก ‘พี่ผมขอทำอัลบั้มนี้นะครับ ทำเองโดยที่ไม่หวังผลกำไรอะไรจากมันเลย’ ค่ายบอกว่าไม่ได้ เราเป็นศิลปินแกรมมี่อยู่ ด้วยข้อตกลงหรือสัญญา แม้จะไม่ใช้ชื่อ The Yers ก็ไม่ได้ เพราะหน้าตาเรามีคนรู้จักอยู่แล้ว เรายื่นข้อเสนอ 2 ข้อให้ค่าย ข้อแรกคือ ‘ให้ผมอยู่ genie ออกในนาม torrayot เป็นศิลปินอีกหนึ่งเบอร์ แต่ผมไม่การันตียอดขายเลยเพราะมันเป็นงานทดลองมากๆ’ กับอีกข้อคือ ‘ถ้าพี่ไม่ให้ผมออก ผมออกจาก genie ก็ได้ครับ’ เราเชื่อว่าโปรเจกต์นี้มันมีผลกับชีวิตเรามาก ถ้าไม่ทำเราก็ไม่รู้จะไปต่อกับชีวิตยังไง

เขาได้ยินแบบนั้นก็ค่อนข้างเหวอนิดหนึ่งเพราะไม่คิดว่าเราจะพูดขนาดนี้ แต่เวลานั้นยังไงเราก็ต้องออกอัลบั้มเดี่ยวให้ได้ มันสำคัญกับเรามากๆ ทางค่ายเลยหาจุดตรงกลางคือให้ torrayot ไปอยู่ค่ายสนามหลวง ลิขสิทธิ์การจัดจำหน่ายเป็นของค่ายแต่ลิขสิทธิ์เพลงเป็นของเราเพราะเราลงทุนทำเองทุกอย่าง แบบนี้เลยไม่ผิดกฎ

 

การไม่ยอมลงเพลงในสตรีมมิ่งไม่ถือว่าเป็นการปิดกั้นโอกาสงานตัวเองเหรอ

เรารู้สึกว่าพอทำไปทำมา ปล่อยไปสามเพลง ฟีดแบ็กที่ได้รับกลับมาเป็นกลุ่มคนกระติ๊ดหนึ่งจริงๆ แล้วคนกลุ่มเล็กๆ นี้เป็นกลุ่มคนที่ชอบฟังงานอะไรที่มันลึกซึ้งมากๆ เหมือนคัดกรองมาแล้ว มีหลายคนมาพูดซึ่งไม่รู้ว่าเอาใจเราหรือเปล่าว่า ‘ไม่จริงหรอกที่ชอบ The Yers แล้วจะไม่ชอบ torrayot’ มันมีคนกลุ่มนี้จริงๆ แต่คุณคงไม่รู้จักแฟนเพลง The Yers ที่รู้จักแค่เพลง เกลียด, เพียงหนึ่งครั้ง, เสพติดความเจ็บปวด คนที่รู้จัก The Yers แค่ 3 เพลงนี้ไม่มีทางจูน torrayot ติดแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์เราพูดได้เต็มปากเลย 

คนฟัง torrayot เป็นกลุ่มคนที่ฟังเพลงเพื่ออรรถรส แล้วก็ใช้สมาธิในการฟังเพลงจริง เพราะเซอร์ไพรส์ที่อยู่ในแต่ละเพลงของ torrayot มันต้องรอนานมากๆ กว่าจะเจอ ผิดกับ The Yers ที่แป๊บเดียวก็ท่อนฮุกแล้ว เจอเซอร์ไพรส์แล้วถ้าเขาได้จับต้องเพลงของเราจริงๆ หยิบเทป หยิบซีดี หรือไวนิลมาใส่เครื่องเล่นแล้วฟังจริงๆ น่าจะเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่สมัยนี้หายากมากๆ มันเป็นประสบการณ์ที่หายไปเพราะมี mp3 เข้ามา เราอยากให้เขาได้รับประสบการณ์เหมือนเราสมัยเด็กๆ ที่กว่าจะได้ฟังเพลงแต่ละเพลงคือต้องรอ แล้วเราไม่ได้คาดหวังว่าเพลงเราจะเป็นเพลงที่เปิดฟังคลอเวลาขับรถ หรือ เฮ้ย วันนี้ถูบ้าน เปิด torrayot ฟังหน่อย เปิดไอโฟน เข้าสตรีมมิ่งฟัง เราเชื่อว่ามันฟังไม่ได้ เพราะเพลงเราไม่ใช่เพลงผ่อนคลาย เราอยากให้คนนอนฟังนั่งฟังเพลงเราที่บ้านอย่างเต็มที่ก็เลยเลือกที่จะปฏิเสธสตรีมมิ่ง ตัดวิธีการฟังเพลงที่ง่ายออกไป

เชื่อว่ามีแฟนเพลง The Yers เข้าใจความลึกซึ้งในเพลงที่ torrayot พยายามนำเสนอจำนวนหนึ่งแล้ว ในตอนต่อไปคุณอยากพาคนกลุ่มนี้ไปไหนต่อ

ไปซื้อแผ่นไวนิลสิครับ (หัวเราะ) อันนี้พูดขำๆ นะ เราอยากให้ทุกคนซื้อแผ่นเสียง ซีดี หรือเทปเหมือนเรา เพราะเรารู้สึกว่าไอ้สิ่งของพวกนี้มันมีคุณค่า มันยกระดับรสนิยมคุณได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราไม่ได้บอกว่าคนไม่ซื้อแปลว่าไม่มีรสนิยมนะ แต่สำหรับเรามันเป็นการแสดงออกถึงความรักที่มีต่อศิลปินคนนั้นอย่างมีรสนิยม เหมือนช่วยสนับสนุนเขาโดยตรง เราว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารักมากๆ

 

คำว่า Facing Death by Now มันมีความหมายกับคุณยังไง

ช่วงที่เราทำอัลบั้มนี้เป็นช่วงที่เราเจอแต่เรื่องแย่ๆ แบบมึงจะเอาให้กูตายเลยใช่ไหม ซึ่งจริงๆ เพลง พายุหมุน (จากอัลบั้ม Cry) มันเป็นเพลงที่คล้ายๆ กับอัลบั้ม Facing Death by Now เลย แต่ พายุหมุน มันเล่าความรู้สึกเราในแบบที่มันย่อยง่ายหน่อย คือช่วงนั้นเราเจอเรื่องที่แย่จนเราจิตตก รู้สึกเหมือนตายไปแล้ว มันมีเนื้อเพลงที่เราเขียนว่า If the world gonna fuck me I’m facing death by now, The result is nothing.

ถ้าโลกนี้ต้องการจะเล่นกับเรา แต่ ณ เวลานี้เราเจอกับความตายแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือโลกแม่งทำอะไรเราไม่ได้เว้ย คือคำคำนี้อาจเป็นคำที่ฟังดูแล้วโหดร้ายมากๆ แต่ในเพลง Facing Death by Now ที่ใช้ชื่อเดียวกับอัลบั้มคือเพลงที่เล่าว่าเราผ่านจุดความตายมาแล้ว ถ้าตราบใดที่เรามีรอยยิ้ม เราเดินได้อยู่ เราไม่กลัวอะไรแล้ว เหมือนให้กำลังใจตัวเองอยู่

คุณไม่ค่อยพูดถึงความสุขของตัวเองเลย เคยมีคนตั้งคำถามไหมว่าชีวิตคุณจะทุกข์อะไรหนักหนา

นี่เป็นคำถามที่แฟนเราถามทุกวี่ทุกวันเลย เนี่ย เขียนเพลงนี่เป็นอะไรนักหนา (หัวเราะ) คือเราเป็นคนคิดมาก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอื่นอาจจะมองว่าปล่อยมันไปเถอะก็เก็บมาคิด แค่บ้านตรงข้ามมองเราด้วยสายตาไม่ดีทีหนึ่ง โห เรามองเป็นเรื่องราวใหญ่โตเลย เขาเกลียดเราแน่นอน เพราะบ้านเราเป็นบ้านเดียวที่ไม่ยอมปิดผ้าม่าน อยากโชว์เฟอร์นิเจอร์หรือเปล่า เราคิดไปไกลถึงขนาดนั้นทั้งที่จริงๆ เขาอาจเป็นคนขี้อาย ไม่กล้ามองหน้าเลยหนีสายตาเราก็ได้ ซึ่งถ้าเราเจอเรื่องใหญ่นี่เป็นวรรคเป็นเวรเลย แต่สิ่งเหล่านี้คือวัตถุดิบที่เราเอามาเขียนเพลง แต่เราก็เหมือนคนทั่วไปเลยครับ มีความสุขมีความทุกข์ในเวลาเดียวกัน

 

แล้วความสุขของคุณคืออะไร

ความสุขของเราคือคนนี้ (หันมองภรรยาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ) ก่อนที่เราตัดสินใจแต่งงาน ช่วงนั้นที่เราแย่มันเหมือนชีวิตเราไม่มีหลักยึดอะไรเลย แต่พอมีเขาเข้ามาเขาเป็นที่พึ่งพาของเราทุกอย่าง เหมือนเรารู้ว่าถ้าทุ่มเททุกอย่างให้เขาแล้วมันคุ้มค่า ซึ่งการทำโปรเจกต์เดี่ยวนี้และการได้ทำเพลงกับเพื่อนๆ ในวงยังเป็นความสุขของเราเสมอ

เรารู้สึกว่าตั้งแต่ที่ The Yers เริ่มมีชื่อเสียง กราฟชื่อเสียงมันขึ้นมา ความสุขของเราก็ยิ่งลดลง มันตรงข้ามกันน่ะ ตั้งแต่เราทำ torrayot ความสุขมันกลับขึ้นมา กราฟสองอันนี้กลับมาเท่ากันอีกครั้ง เราเลยหวังว่าสักวันหนึ่งไอ้กราฟความสุขนี้จะสูงกว่า นี่เป็นสิ่งที่เราพยายามอยู่ เราไม่อยากมีชื่อเสียงไปมากกว่านี้แล้ว เพราะถ้าเราดังกว่านี้เวลาทำอะไรก็คงมีแต่คนมอง มีคนจดจำได้ อย่างทุกวันนี้เวลาเราไปเดินห้างใกล้ๆ บ้าน เรามัดผม ถอดแว่น ใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะ เราไม่อยากให้ใครจำได้ แต่สุดท้ายก็มีคนเข้ามาทักอยู่ดี (หัวเราะ)

เรารู้สึกว่างานเพลงที่เราทำมันมีคุณค่าสำหรับเรา เราอยากให้คนเห็นจุดนั้นมากกว่าเดินมาบอกเราว่า “เฮ้ย พี่แม่งโคตรเท่เลยว่ะ” เวลาได้ยินแบบนี้เราไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้เท่ เราไม่ได้เจ๋ง แต่ถ้ามีคนเดินมาบอกว่า “เนื้อเพลงนี้ดี มีคุณค่ากับผมมาก” เราว่าตรงนี้มันอิ่มเอมใจมากกว่า

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน