‘ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี’ เด็กหนุ่มนักล่าฝันสู่ชายหนุ่มไฟแรง ผู้เชื่อว่าเมื่อเกิดมาควรใช้ชีวิตอย่างมีฝันและทำมันให้สุด

ในแง่ชื่อเสียง คงไม่ต้องถามว่าเขาโด่งดังแค่ไหน ถ้าให้เทียบก็คงเป็นนักแสดงชายผู้เป็นขวัญใจมหาชนมาตลอดกาล ทั้งความไม่ถือตัว เรียบง่าย จริงใจ และจริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ คือสิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า เขามีสรรพคุณที่สมควรได้รับความรักจากผู้คนทั้งประเทศเป็นสิ่งตอบแทน 

และใช่ เรากำลังพูดถึง ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ชายผู้เป็นทั้งนักฝันและนักลงมือทำอย่างแท้จริง

ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน ติ๊กโด่งดังเป็นพลุแตกจากเรื่อง “2499 อันธพาลครองเมือง” ภาพยนตร์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของเขาตั้งแต่นั้นมา ในปีนั้นเอง a day ได้ชวนเขามาสัมภาษณ์ในฉบับที่ 7 ปี 2001 ด้วยธีม DAY OF DREAMING เพื่อค้นหาแพชชันของนักแสดงหน้าใหม่ไฟแรงที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง  

คำตอบส่วนหนึ่งที่หนักแน่นในวันนั้นคือ เขารักในธรรมชาติ ทุ่มเทกับการทำงาน และอยากที่จะลองทำอีกหลายสิ่งมากมาย 

จากนั้นไม่นานเขาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง ในรายการท่องเที่ยวผจญภัยเชิงอนุรักษ์ ‘เนวิเกเตอร์’ บทบันทึกการเดินทางที่ยาวนานกว่า 14 ปี เส้นทางอันสมบุกสมบันที่เต็มไปด้วย ‘วิถีชีวิตและอุดมการณ์’ ก่อนจะเรียกเสียงฮือฮาอีกครั้งกับการรับบทบาทใหม่ในฐานะผู้บริหารค่ายเพลง bROTHERS Music พร้อมเปิดตัวบอยกรุ๊ปวงแรกของค่ายอย่าง PROXIE (พร็อกซี) สู่อ้อมอกของแฟนๆ 

แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ ลิสต์ความฝันของเขาจะมีเรื่องไหนที่ติ๊กถูกไปแล้วบ้าง คอลัมน์ On That Day จะชวนเขามาเล่าตั้งแต่ฉากแรกในวันที่เป็นดาวเด่น จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งสำคัญ การเดินทางครั้งใหญ่ ไปจนถึงมุมมองที่เขามีต่อชีวิตและการงานในวัย 46 ปี ว่ามีอะไรที่เปลี่ยนไปจากเมื่อ 20 ปีก่อนหรือไม่ และนี่คือบทสนทนากับ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ถึงหัวใจของการใช้ชีวิต ตัวตน วิธีคิด และบทเรียนจากการเดินทางของเขา

แดง ไบเล่ย์ในวันที่ขึ้นปก a day ครั้งแรก

“24 ของพี่ถือว่าเป็นช่วงก่อนเบญจเพส ช่วงนั้นถือว่ามีผลงานออกมา ที่เราได้ทำงานกับค่ายดีๆ ทั้งนั้น ถ้าตอนขึ้นปก a day พี่อายุ 24 ปี เท่ากับว่าตอนนี้อายุพี่ต้องบวกไปอีกสองรอบแล้ว เกือบคูณสองเลยนะ (หัวเราะ)

 จำได้ว่าน่าจะเป็นช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นทุกคนต่างเรียกเราว่า ‘แดง ไบเล่ย์’ คนก็เริ่มเข้ามาขอลายเซ็นเยอะขึ้น เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากในตอนนั้น แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เรามาถึงทุกวันนี้  ณ วันนี้ พี่อาจจะจำไม่ได้ว่า บทสัมภาษณ์ของเรามันคืออะไร แต่ฟีดแบ็กที่ได้มาก็จะมีน้องๆ มาบอกกับเราว่า สิ่งที่เราพูดเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาหลายๆ เรื่องและจะฝากของคุณมาเสมอ เราว่ามันก็เป็นความภูมิใจเล็กๆ ที่ได้ขับเคลื่อนหรือเป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคนได้”

  หนุ่มไฟแรงในวันนั้น ยังคงสะกดคำว่าเหนื่อยไม่เป็นเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน 

“ถ้าให้ย้อนไปช่วงวัยนั้นจำได้ว่า เวลาเราทำอะไรไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลย สะกดคำว่าเหนื่อยไม่เป็น ไม่รู้ว่ามันสะกดยังไง ตอนนี้ก็ยังสะกดไม่เป็นอยู่ดี (หัวเราะ) อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นคนชอบทำอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ได้ยึดติดกับอย่างใดอย่างหนึ่ง ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ช่วยทำให้เรามีความรอบรู้เพิ่มมากขึ้นเลยสนุกกับทุกโอกาสที่เข้ามา

จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่เหมือนเดิมคงเป็นเรื่องที่เราจริงจังกับการทำงาน จริงจังกับทุกอย่างที่เราทำ ยิ่งตอนที่ต้องถ่ายภาพยนตร์ควบคู่กับเรียนไปด้วย ก็ยิ่งต้องจริงจังกับทั้งสองอย่าง เพราะเราไม่อยากจะทิ้งทั้งสองอย่างไป ตอนนี้เองก็เหมือนเดิมเลยครับ ยังคงให้ความสำคัญกับงานที่เราทำไม่ว่าจะในด้านไหนก็ตาม เพราะเราเองก็หวังเสียงตอบรับในแง่ดี จากงานที่เราสร้างสรรค์ออกไป เพราะสิ่งนั้นจะเป็นกำลังใจให้เราในการทำงานต่อไปครับ

ส่วนความตั้งใจของเรา คิดว่ายังเหมือนเดิมนะ เรายังมีไฟตลอดเวลา แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเรารอบคอบขึ้น มองซ้ายมองขวามากขึ้น มองสิ่งรอบตัวมากขึ้น ถ้าเป็นแต่ก่อนก็จะใจร้อน แล้วก็ตอบสนองค่อนข้างไว บางครั้งการตัดสินใจเร็วก็ส่งผลดี แต่บางครั้งก็เป็นผลเสีย แล้วก็อาจส่งผลกับความรู้สึกของคนรอบข้างไปด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่

ตอนนี้พี่ว่าพี่ช้าลงกว่าแต่ก่อน คิดนานขึ้น วู่วามน้อยลง แต่ก่อนจะวู่วามมาก แต่เดี๋ยวนี้อารมณ์จะนิ่งขึ้น ใจเย็นขึ้น ให้เวลากับบางสิ่งบางอย่างมากขึ้น ให้เวลาในการตะกอนหรือตกผลึกความคิดมากกว่าเดิม ก็เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ” (หัวเราะ)

ติ๊กในวันนี้เชื่อว่า การเดินทางทำให้เรารู้จักตัวเองและเข้าใจโลก

“นอกจากตอนที่เล่นภาพยนตร์ 2499 อันธพาลครองเมือง  อีกจุดเปลี่ยนหนึ่งของเราคือ ตอนที่ทำรายการเนวิเกเตอร์นี่แหละ เพราะมันคือการเล่าความเป็นตัวตนของพี่ในพาร์ตที่เป็นงานอดิเรกของเรา เพราะส่วนมากพี่ก็จะใช้เวลาว่างไปกับการเที่ยว ผจญภัย ขับรถ เดินขึ้นเขาแบกเป้ อยู่กับอะไรก็ตามที่เป็นธรรมชาติ

  เนวิเกเตอร์เลยเป็นเหมือนการถ่ายทอดตัวตนของพี่ออกมาผ่านรายการ เหมือนกับเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบที่สุด แล้วก็ได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ไประหว่างนั้น พอมาทำรายการก็ต้องสวมบทบาทผู้ดำเนินรายการ ทำให้พี่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับเส้นทางต่างๆ ที่เราจะไป ต้องอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้น หาความรู้และประสบการณ์มากขึ้น เพื่อที่เราจะได้ถ่ายทอดในสิ่งที่ถูกต้องให้ผู้ชม

  อีกแง่หนึ่งการเดินทางเป็นเหมือนแบบทดสอบจิตใจของเรา ให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้กับมัน ทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่า เราชอบหรือไม่ชอบอะไร การลองไปในหลายๆ ที่มันก็ทำให้เรารู้ว่าที่ไหนเหมาะกับเรา นอกจากจะทำเรารู้จักตัวเองมากขึ้น ยังช่วยให้เราเข้าใจชีวิตไปในขณะเดียวกันด้วย

อยากขอบคุณตัวเองเหมือนกันที่ยอมสละอะไรบางอย่าง ตอนนั้นพี่ต้องปฏิเสธงานในวงการบันเทิงที่ติดต่อเข้ามาหลายงาน ด้วยความที่เราอยากทุ่มเทกับตรงนี้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งพี่ว่ามันคุ้มค่ามากนะ เพราะถ้าเกิดว่าพี่ไม่เริ่มต้นวันนั้น ก็จะไม่เห็นอะไรมากมายขนาดนี้ ตอนนี้พี่ก็ถือว่าเราได้เก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาในตอนที่ยังมีแรงมีพลังอยู่ ถ้าพี่แก่ไปกว่านี้พี่ก็คงไม่สามารถเดินเป็นวันๆ เพื่อไปเห็นภาพจริงๆ แบบนั้นได้อีกแล้ว บางครั้งพี่ก็ไม่ได้เดินทางไปในทางเดิม พี่เลี้ยวไปอีกทางเพื่อแวะดูสิ่งอื่นๆ ซึ่งมันอาจจะใช้เวลามากกว่าคนอื่นๆ ในการไปถึงจุดหมาย แต่มันก็ทำให้เราได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็น ก็ถือเป็นเรื่องดีที่เราตัดสินใจทำในวันที่เรายังสามารถทำมันได้อยู่”

ติ๊กในวันนี้เชื่อว่า แค่เราเปิดโลกก็เปลี่ยน

“พี่ว่าคนเราควรเห็นคุณค่าในทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตนะ มันคงไม่สำคัญว่าเราจะทำมันได้ดีรึเปล่า แต่มันอยู่ที่ว่า…เราลองทำแล้วหรือยัง

หลังจากที่พี่ได้ลองทำเนวิเกเตอร์ไปแล้ว ก็ได้มาลองทำโปรเจกต์เฟ้นหาไอดอลไป งงเหมือนกันว่าจับพัดจับผลูไปทำได้ยังไง ตัวเราเองก็ไม่ได้ถนัดเรื่องการร้องหรือเต้นเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่น่าลอง เพราะในมุมของพี่ไอดอลหมายถึง คนๆ  นึงที่มีคุณภาพ ซึ่งสิ่งที่โรงเรียนไม่มีสอนและพี่สามารถแบ่งปันให้กับน้องๆ ได้คือ เรื่องประสบการณ์ชีวิต พี่จะสอนให้เขาเป็นที่รักของทุกคน เป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม พี่ก็เลยจะปลูกฝังเรืองธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความมีระเบียบ การตรงต่อเวลา การเคารพในงาน การบริหารเสน่ห์ และการทำให้คนประทับใจ

เพราะสุดท้ายแล้ว เราอยากให้คนกลุ่มนี้เป็นคนที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่นๆ โดยมีเสียงเพลงและศักยภาพของพวกเขาเป็นตัวนำ และถ้ายิ่งมีกลุ่มแฟนคลับที่รักในตัวของน้องๆ ก็แปลว่า นอกจากความสามารถ แฟนคลับก็ยังรักในตัวตนของคนๆ นั้นด้วย

พอพี่ได้ทำงานกับน้องๆ กลุ่มนี้ ก็เหมือนเราได้รู้จักนิสัยของเด็ก Gen Z ว่า เขามีความชอบอะไร ธรรมชาติของเขาเป็นแบบไหน เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน พาเราไปสู่สิ่งที่ไม่เคยสนใจ เช่น เรื่องแฟชั่นเพลง เทรนด์เสื้อผ้า กลายเป็นว่าเรารู้อะไรเยอะขึ้น คุยกับวัยรุ่นยุคนี้เข้าใจมากขึ้น พี่ว่ามันเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ท้าทาย สนุก แล้วก็ทำให้เราได้เห็นมุมมองของคนรุ่นใหม่มากขึ้น ถึงเราจะอยู่เบื้องหลังแต่เวลาที่ได้เห็นเด็กๆ ไปถึงฝั่งฝันได้ เราก็ภูมิใจกับเขาไปด้วย

พี่เองก็จะบอกกับน้องๆ วง PROXIE เสมอว่า คุณอาจจะไม่ได้เหมือนวัยรุ่นทั่วไป เพราะคุณทำงานก่อนใคร แต่นั่นก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี อย่าทิ้งโอกาสไม่ว่าจะเป็นโอกาสใดๆ ก็ตาม ให้พยายามอย่างเต็มที่ดูก่อน ผลลัพธ์จะเป็นยังไงค่อยว่ากัน” 

ติ๊กในวันนี้เชื่อว่า เมื่อเกิดมาควรใช้ชีวิตอย่างมีฝัน

“ในช่วงหนึ่งของชีวิต เราอยากใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุด ถ้าเราชอบ เรารักอะไร แล้วสิ่งนั้นไม่เดือดร้อนใคร เราจะทำ

อย่างเราเป็นคนชอบออกไปเที่ยวโน่นนี่นั่น ออกไปในที่ต่างๆ ที่เป็นหมุดหมายของนักเดินทางแล้วเราก็ได้ทำมันจริงๆ  หรือการได้เป็นดนตรีก็เป็นหนึ่งในความฝันของเราสมัยมหาวิทยาลัย พอได้มาทำวง PROXIE ก็เหมือนสานฝันของเราในส่วนนั้น

พี่เลยมองว่าความฝันมันสร้างแรงบันดาลใจให้เรา ทำให้เราอยากที่จะทำนั่นทำนี่ ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้ามีความชอบ มีจุดยืน แล้วจุดยืนของเราไม่ได้มีอะไรเสียหาย พี่ว่าเราต่อความฝันของเราให้จบดีกว่า ทำตัวเองให้เป็นคนล่าฝันดีกว่า 

เพราะถ้าเราไม่มีฝัน มันอาจจะทำให้เราดำเนินชีวิตไปแบบไม่มีสีสัน ฉะนั้นจงทำชีวิตตัวเองให้มีสีสัน โดยมีความฝันที่ตัวเองอยากจะทำและทำมันอย่างเต็มที่ ถึงวันหนึ่งความฝันเราอาจจะเปลี่ยนไป แต่ไม่เป็นไรเลยเพราะเราสามารถเปลี่ยนความฝันได้อยู่เสมอ เพราะนั่นคือความฝันของคุณเอง” 

การเดินทางครั้งใหญ่ของชีวิตทิ้งบทเรียนไว้ว่า

“จะทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องทำอะไรด้วยความรอบคอบไม่ใจร้อน”

 “เราควรเป็นฝ่ายให้ ก่อนที่จะคิดว่าเราจะได้อะไรจากสิ่งนั้น”

“จงมีความสุขบนความสุขของผู้อื่น อย่ามีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น”

“การเป็นแชมป์มันไม่ยากเท่ากับการรักษาแชมป์”

“เมื่อเกิดมาควรใช้ชีวิตอย่างมีฝัน”

“บางครั้งการจะเดินไปข้างหน้าต้องสละอะไรบางอย่าง”

เจษฎาภรณ์ ผลดี, 2024

“อย่างที่บอกว่าจริงๆ พี่เป็นคนที่ค่อนข้างจะใจร้อน แล้วก็ค่อนข้างที่จะดื้อหน่อยไม่ค่อยโอนเอนไปตามใคร แต่พอได้เข้ามาทำงานในวงการ มันเป็นงานที่ออกสู่สายตาประชาชน 

สิ่งนี้มันเลยยิ่งตอกย้ำเราว่าอย่าทำให้เสียชื่อเสียง เพราะฉะนั้นในการดำเนินชีวิตของพี่ ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ มันจะมีสิ่งมาเบรกสัญชาตญาณดิบของเราเสมอว่า อย่าทำอะไรที่มันวู่วาม เพราะเราไม่อยากเสียพื้นที่ตรงนี้ไป ตรงนี้เลยเป็นเหมือนสิ่งที่ฉุดเราไว้ ให้ตัวเราเดินไปในทางที่ดี

ตอนนั้นที่เราต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ก็ยังมองไม่ออกหรีอกว่าอะไรคือความคุ้มค่า แต่ถ้าวันนี้ถามว่าคุ้มมั้ย…ก็คุ้มนะ เพราะว่ามันก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรักษาอะไรแบบนี้ไว้ได้ แล้วพี่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะรักษาอะไรแบบนี้ไว้ได้ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้

ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การที่เราต้องควบคุมคุณภาพผลงานที่เราทำ อย่างทุกวันนี้เอง พี่ก็ให้ความสำคัญกับการที่เราจะรักษาคุณภาพของความเป็นตัวเรา ให้เป็นคนที่ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเรื่องวินัย การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนในสังคม เรื่องการดูแลรักษาขยะ นั่นคือสิ่งที่เราพยายามจะเป็นให้ได้ และทำอยู่ในทุกๆ วัน”

ก็ขอบคุณที่ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ มันเลยทำให้ชีวิตเรามีประสบการณ์ดีๆ เพิ่มมากขึ้น ขอบคุณทุกการเดินทางของตัวเอง” (ยิ้ม)

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

Cozy Cream

ไม่ใช่โซดา อย่ามาซ่ากับพี่