8 วิธีคิดที่ทำให้เกมโชว์ The Mask Singer กลายเป็น Talk of The Town!

ในวันที่รายการประกวดร้องเพลงออกฉายอยู่เต็มไปหมด เราเห็นหนึ่งรายการที่โดดเด่นและเรียกได้ว่ากำลังเป็นกระแสสุดๆ นั่นคือ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง เกมโชว์สุดฮอตจากบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่มาพบคนดูทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 น.

รายการนี้เป็นรายการที่จับคนดังเสียงดีมาใส่หน้ากากขึ้นแข่งขันประกวดร้องเพลง โดยผู้ชมจะรู้ว่านักร้องสวมหน้ากากคนนั้นเป็นใครก็ต่อเมื่อเขาตกรอบ มากกว่าการดูคนแข่งร้องเพลง เราเลยได้เห็นผู้ชมร่วมทายกันอย่างบ้าคลั่งตั้งแต่ตอนดูว่าไอ้คนที่ร้องเพลงอยู่นั่นมันใคร (วะ) ดูจบยังไม่หายข้องใจก็เกิดเป็นกระทู้พันทิปตามมาเพียบ The Mask Singer จึงฮอตฮิต เรตติ้งพุ่ง จนเราต้องนัดคุยกับ ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัลทีวี และ ชยันต์ จันทวงศาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการผลิต ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังรายการ และพบว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

บรรทัดถัดจากนี้ คือวิธีคิดน่าศึกษาเบื้องหลังเกมโชว์ที่เรตติ้งชนะละครหลังข่าววันพฤหัสของทุกช่องไปแล้ว

1. รายการเพลงที่ถึงฟังไม่รู้เรื่องก็อยากดู

ชลากรณ์: เราจะเลือกซื้อลิขสิทธิ์บางรายการที่คิดว่าน่าจะเหมาะ ในช่องจะได้มีรสชาติอื่นบ้างนอกจากรสชาติที่ครีเอทีฟของเราคิด หลังจากซื้อรายการ Let Me In และ I Can See Your Voice แล้ว เพื่อนที่เป็นโปรดิวเซอร์ที่เกาหลีก็แนะนำว่ารายการ The Mask Singer ของเกาหลีสนุกนะ

แวบแรกที่เห็น เรารู้สึกว่ามันเป็นวิชวลใหม่ของการร้องเพลง เฮ้ย! ตัวอะไรมาร้องเพลงมันดึงสายตาเรามาก คือรายการร้องเพลงมีรูปแบบเยอะ แต่รายการนี้ถึงฟังไม่รู้เรื่องเรายังอยากดูเลย ซึ่งพอดูเสร็จรอบแรกก็คิดว่า จะทำได้มั้ย ดูน่าสนุกดี จนผ่านไปปีหนึ่ง เจอคนจีนซื้อไปทำ โปรดักชันใหญ่กว่าที่เกาหลีทำอีก ก็ตัดสินใจซื้อเลย คิดว่าถ้ามาอยู่ในมือเราพอมีทางทำได้

2. หน้ากากต้องพีก

ชยันต์: สิ่งแรกที่เราทำการบ้านหนักมากก็คือ หน้ากาก ทำอยู่ประมาณครึ่งปีได้ แต่ละหน้ากากจะเกี่ยวกับผู้เข้าแข่งขันนิดหนึ่ง เป็นการใบ้ให้หน่อยๆ เราใช้ดีไซเนอร์เป็นสิบๆ คนเพื่อออกแบบ มีตั้งแต่นักออกแบบมืออาชีพ มือสมัครเล่น จนถึงนักศึกษา วิธีคิดหนึ่งคือต้องเอาเรื่องไทย ๆ มาเล่น เช่น หน้ากากทุเรียน หน้ากากน้ำพริกหมู ซึ่งของเกาหลีกับจีนจะเป็นแค่หน้ากาก แต่ของเราเป็นทั้งชุดเลย ดีไซน์ต้องไปด้วยกัน

ซึ่งหน้ากากยากที่สุดคือหน้ากากที่เกี่ยวกับความเป็นไทยนี่แหละ บางอันก็ควรเล่น บางอันก็ไม่ควร อย่างหนุมานหรือทศกัณฐ์ ก็ไม่น่าจะเอามาทำได้ ก็ต้องคิดอย่างอื่นไปเรื่อยๆ อย่างหน้ากากระฆัง กว่าจะออกมาเป็นระฆังนี่ก็เอาเรื่องอยู่ จนน้องมาเสนอว่า พี่ เป็นหน้ากากระฆังไหมเพราะมันส่งเสียง เราก็เห็นว่าเข้าท่า แต่พอคิดได้แล้วก็อยู่ที่ดีไซน์ด้วย พอดีไซน์โดนแล้ว ยังต้องทำจริงให้เหมือนที่ดีไซน์ไว้ ใช้วัสดุอะไร ทำยังไง ปากขยับร้องเพลงได้มั้ย ต้องรู้หมด โคตรละเอียดเลย ไม่งั้นจะไม่ได้

3. โปรดักชันอลังการโดยทีมงานมืออาชีพ

ชลากรณ์: ในแง่โปรดักชันผมว่ามันค่อนข้างเกือบสมบูรณ์แบบนะ คือหลังจากซื้อมา บรีฟทีมงานเสร็จแล้ว เราก็ไม่ได้เห็นอะไรเลยจนกระทั่งเขาตัดตัวอย่างมาให้ดู ตอนดูทีเซอร์แรกของรายการเสร็จถึงกับต้องยกหูไปถามเลยว่าทำขนาดนี้เลยเหรอ ตั้งใจฉิบเป๋ง ก็เลยคิดว่ารายการนี้น่าจะได้ดั่งใจ

ชยันต์: VTR แต่ละตัวอลังการมาก ลงทุนสูงมาก เกาหลีไม่ได้บังคับมานะ แต่เราอยากทำเอง อยากให้มันดูยิ่งใหญ่ อย่าง VTR ของหน้ากากระฆังนี่ก็อลังการเลย ซึ่งต้องให้เครดิตดาว-ดาราราย ศรีจิตรแจ่ม GroupHead ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ทำรายการนี้และทีมของเขา คนพวกนี้เก่งมาก เป็นคนที่ปฏิบัติงานจริง เป็นทีม Thailand Got Talent เก่าด้วย เขาก็จะมีโลเคชันในหัว มีแหล่งข้อมูลมากมาย

4.เซเลบร้องเพลงเพราะที่คุณก็ไม่รู้ว่าใคร

ชยันต์: วิธีการเลือกผู้เข้าแข่งขัน อันดับแรก ผู้เข้าแข่งขันที่เราเลือกต้องร้องเพลงได้ อันดับที่สองคือ เราพยายามเลือกคนดังจากหลากหลายวงการ เพราะถ้าเป็นนักร้องอย่างเดียวก็จะแคบไป ทายง่าย ก็เลยมีทั้งคนที่คนดูรู้ว่าเป็นนักร้อง คนที่คนดูไม่รู้ว่าร้องเพลงได้หรืออาจจะรู้ว่าร้องได้ แต่ไม่รู้ว่าร้องได้ดีขนาดนี้ แล้วเราก็เลือกเพลงให้เขาโดยเลือกจากเพลงที่เขาไม่เคยร้อง เพลงที่ไม่ถนัด เพลงที่ไม่ใช่แนว เพื่อไม่ให้คนจับได้ ซึ่งนักร้องส่วนใหญ่จะมีเพลงที่อยากร้องแต่ไม่ใช่แนวตัวเองอยู่แล้ว

ชลากรณ์: ผู้เข้าแข่งขันจะรู้ว่าหัวใจหลักคือคนไม่รู้ว่าเขาเป็นใครและต้องร้องเพลงให้เพราะ ถ้าเป็นสายนักร้อง ส่วนมากไม่มีปัญหาเรื่องต้องร้องเพราะ แต่เขาจะพยายามร้องเพลงที่ไม่คุ้น ไม่ถนัด ดูซิว่าจะยังร้องเพราะได้อีกไหม และคนก็จะจำเขาไม่ได้ มันเลยกลายเป็นว่า ต่อให้ถอดหน้ากากแล้ว เขาก็มีความสุขทุกคน ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดี ถ้าไม่ใช่เรื่องร้องเพราะจังเลย ก็เป็นเรื่องตลกจังเลย อะไรสักอย่าง

5.พิธีกรสดใหม่ กรรมการกลมกล่อม

ชยันต์: เราเลือกพิธีกรจากความสดใหม่ของกันต์ กันตถาวร เขาเพิ่งมาอยู่กับเรา มีความสด กระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น เราชอบทำงานกับคนแอ็กทีฟ โคตรบ้าเลย แล้วเขามาจากสายละคร พอได้มาทำพิธีกรเขาก็กระตือรือร้นมาก ทำการบ้านเยอะ และใช้วิธีการละครมาทำงานกับทีวีด้วย คือถ่ายเสร็จแล้วขอเช็กเทป เพราะอยากดูว่าตัวเองเป็นยังไง ซึ่งสนุกดีนะ ส่วนกรรมการจะเป็นสูตรส่วนผสมระหว่างกูรู ผู้มีประสบการณ์จริงๆ กับพวกตัวแสบที่ใส่ลงไปเพื่อความสนุก และสำหรับตัวพี่หนึ่ง จักรวาล ตำแหน่งเขาไม่เหมือนกับของเกาหลีหรือจีน เพราะเขาเป็นทั้งกรรมการและเล่นดนตรีด้วย

6.ความสนุกที่เหมาะกับคนไทย

ชยันต์: รูปแบบรายการเราอาจจะไม่ต่างกับ The Mask Singer ประเทศอื่น แต่ความสนุกต่างแน่ๆ เพราะเวลาเอารายการจากที่อื่นมาทำ ก็เหมือนกับเอาสูตรอาหารที่โดนใจแล้วมา ทีนี้ก็เหลือแค่ว่าพ่อครัวจะปรุงยังไง เรารับหน้าที่เป็นเชฟเอง

เราพยายามจะหาว่าความสนุกที่เหมาะกับคนไทยคือตรงไหน สุดท้ายก็เจอคือ หนึ่งคนในคู่แรกที่ออกมาคือจ๊ะจ๋า พริมรตา หน้ากากนกฟีนิกซ์ ตอนเขาออกมา เราลองไปบรีฟว่า อย่าให้ใครรู้ว่าเป็นเขา ให้เล่นเป็นใครก็ได้ สมมติว่าเป็นซาราห์ เอเอฟ เขาก็เล่นไป ความสนุกก็เกิดทันที เราเห็นแล้วก็รู้สึกว่าตรงนี้แหละ ใช่เลย คือความสนุกมันขึ้นอยู่กับความสด เราไม่รู้ว่ากรรมการจะถามอะไร วิธีการดิ้นหนีของตัวหน้ากากนั้นคืออะไร การดิ้นหนี กวนตีนกลับ เบี่ยงคำตอบ นั่นแหละคือความสนุกที่เกิดขึ้นสดๆ ทุกครั้ง หลังจากนั้นก็คือการเติมตรงนี้เข้าไป เราไปช่วยหน้ากาก เช่น ถ้าถามมาอย่างนี้ เราจะเบี่ยงตอบไปยังไง เพราะคำถามมีไม่กี่รูปแบบหรอก แต่ไม่ใช่การบรีฟตรงๆ แล้วไปตอบแบบนั้น หมายถึงว่าบรีฟแล้วคุณไปประยุกต์ใช้เอง เพราะเราไม่รู้หรอกว่ากรรมการจะถามอะไร

7.ความลับสุดยอด!

ชยันต์: ยิ่งทุกอย่างเป็นความลับ รายการก็ยิ่งสนุก ในการทำรายการนี้เลยเกิดกระบวนการ super top secret ตั้งแต่เลี้ยวรถเข้ามา ผู้เข้าแข่งขันต้องเปลี่ยนรถ พี่จะมารถนี้ไม่ได้เพราะคนจะจำได้ว่าเป็นพี่ พอเข้าไปถึง ทีมงานก็ไปรับ เอาผ้าคลุมไว้แล้วเดินขึ้นไป ถ้าเป็นดาราที่มีผู้ติดตาม ผู้ติดตามก็ต้องใส่หน้ากาก คลุมพรางตัวด้วย แล้วเห็นภาพตอนซ้อมร้องเพลงกันมั้ย ที่เป็นพี่หนึ่ง จักรวาลคอยบอก นั่นคือผู้เข้าแข่งใส่หน้ากากมาแล้วนะ เสียงโดนดัดแปลงด้วยมิกเซอร์ให้เสียงบีบเป็นหุ่นยนต์ หรือตอนขึ้นเวที ฝ่ายทำเวทีก็ไม่รู้ว่าคนแข่งเป็นใคร แม้แต่ผู้เข้าแข่งขันก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นใคร

ส่วนคนที่รู้อย่างช่างแต่งหน้า คอสตูม คนดู กรรมการในสตูดิโอเวลาอัดล่วงหน้า เราจับเซ็นสัญญาหมดเลย รวมแล้วประมาณ 500 กว่าคน การเก็บความลับยังรวมไปถึงห้องตัดต่อ ห้องมิกซ์เสียง ทั้งสองห้องต้องล็อกประตู ที่จริงรูปแบบรายการไม่ได้บังคับให้ต้องเก็บเป็นความลับขนาดนี้ แต่เราอยากสร้างบรรยากาศนี้เองเพราะรู้สึกว่าพอหน้ากากเป็นความลับก็ต้องลับจริง ถ้าหลุดไปก็หมดสนุก เหมือนดูหนังแล้วบอกว่าพระเอกตายตอนจบน่ะ ใครจะดู

8. ความฮอตนี้ได้มาเพราะครบเครื่อง

ชลากรณ์: เราคิดว่า The Mask Singer น่าจะได้เรตติ้งประมาณ I Can See Your Voice หรือ The Voice แต่ไม่คิดว่าจะแมสขนาดนี้ แมสขนาดที่ไปร้านค้า ตลาดแล้วคนทักกันเหมือนดูละคร

วันก่อนพี่เจี๊ยบ วรรธนามาออกเทปเดียว แล้วโทรมาบอกว่าไปเดินตลาดมีแต่คนถามว่าหน้ากากนี้เป็นใคร ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยนะ เราคิดว่าที่รายการมันไปสู่วงกว้างได้ขนาดนี้ น่าจะเพราะความครบเครื่อง มันมีโปรดักชันที่ดี เนี้ยบ น่าดู ดึงสายตา แล้วก็มีความบันเทิงที่โปรดิวเซอร์เขาใส่เข้ามา อย่างความตลก สิ่งที่กระตุ้นให้อยากรู้อยากเห็น เรียกว่าใครดูเอาโปรดักชัน โปรดักชันก็เนี้ยบ ดูเอาตลกก็ตลกมาก ดูแบบตามเรื่องว่าใครวะก็จะตามไปได้เรื่อยๆ ซึ่งรายการประกวดร้องเพลงอื่นเราจะเชียร์ใครสักคนไปจนกว่าเขาจะชนะ แต่นี่เราจะไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษ เราแค่อยากรู้ว่าใครวะกับคนบนเวทีแซวกันตลกฉิบเป๋ง

ชยันต์: ซึ่งวิธีจะทำให้กระแสอยู่ต่อไปคือเราต้องทำให้ทำยังไงก็ได้ให้คนดูเซอร์ไพรส์ในทุกเทป คือกติกาในรายการนี้วางไว้เพื่อให้รายการดำเนินไปถึงจุดจบได้ แต่ความสนุกคือแก่น ใส่หน้ากาก ใครวะ ถอดออกมา ไอ้เหี้ย! จุดนี้แหละที่ต้องเก็บไว้

ภาพ Workpoint Entertainment

AUTHOR