ทริปตะลุยปราสาทบนเส้นทาง The Romantic Route ในเยอรมนี และเมืองที่รับนักท่องเที่ยวทั่วโลกปีละหลายล้านคน

เสียงประกาศจากเครื่องบินเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดก่อนลงจอดที่สนามบิน Frankfurt ประเทศเยอรมนี

เป็นเสียงที่ปลุกฉันขึ้นจากภวังค์ในเวลา 7 โมงเช้า ฉันสะลึมสะลือรัดเข็มขัด พร้อมชะโงกหน้า มองไปที่หน้าต่างเครื่องบินที่กําลังจะลงจอดในไม่ช้า

อยู่ๆ หัวใจก็เต้นรัว นี่สินะความรู้สึกตื่นเต้นกระฉับกระเฉงจากการได้ออกเดินทาง มันกลับมาแล้ว หลังจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 อยู่นานหลายปี ฉันนอนอยู่บ้านจนกระเป๋าเดินทางฝุ่นจับ ล้อหลุด รองเท้าคู่โปรดก็พานพื้นเสื่อม เหมือนมาย้ำเตือนว่า เวลาผ่านไปทุกวัน หากอยากจะทําอะไรก็จงรีบทําเถอะนะ เพราะวันคืนผ่านแล้วผ่านเลยไม่อาจย้อนกลับ

ฉันคิดถึงความรู้สึกตอนเดินทางจะแย่ จากชีวิตที่เคยเล็งปฏิทินทุกวันหยุดยาว งานอดิเรกคือการส่องหาตั๋วถูก และใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ในชีวิตกับการวางแผนการท่องเที่ยว ถ้าหากฉันไม่ได้ตัดสินใจฆ่าเวลาด้วยการลงเรียนปริญญาเอกที่สถาบันแห่งหนึ่ง ป่านนี้ฉันอาจจะไม่ได้ตายเพราะโควิด แต่ถูกความเซ็งเศร้าฆ่าตายเอาได้ เพราะหัวใจที่เต้นแบบไม่มีเหตุผล สักวันมันอาจจะหยุดเต้นเพราะหมดความจําเป็นก็ได้นะ

เครื่องบินลงจอดเรียบร้อยเมื่อฉันอ่านมาถึงหน้านี้ของหนังสือ Ludwig II A Different King of King พอดี

“When the two of us are no longer, our work will still serve as shining example to posterity, an example that will delight for centuries to come, and hearts will be kindled in admiration of Art, Art that come from God, Art that lives forever”

Ludwig II to Richard Wagner on 4 August 1865

บางทีนะ ฉันคิดว่า king Ludwig II เอง ก็คงมีมุมอ่อนไหวลึกๆ ในจิตใจกับบางผู้คน และมีความศรัทธาในศิลปะเกินกว่าที่ใครในยุคนั้นจะเข้าใจก็เป็นได้

สมัยเด็กๆ ฉันหลงรักวิชาประวัติศาสตร์มาก เคยร่ำเรียนมาว่า สมัยศตวรรษที่ 19 ราชอาณาจักรบาวาเรีย (Kingdom of Bavaria) มีกษัตริย์ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีสภาวะทางจิตไม่ปกติ หนึ่งในนั้นคือ ลุดวิกที่ 2 (Ludwig II) เจ้าของปราสาทนอยชวานสไตน์อันโด่งดัง (ต้นแบบของปราสาทดิสนีย์) ผู้เติบโตมากับบรรดาคนรับใช้ในราชวงศ์ ผู้เกิดมาพร้อมทรัพย์สินมากมายของราชอาณาจักรบาวาเรีย แต่ปราศจากความรักความอบอุ่นจากการใกล้ชิดพ่อแม่

มกุฏราชกุมารลุดวิกขึ้นครองราชย์เมื่ออายุเพียงแค่ 19 ปี ฉันอดนึกถึงตัวเองไม่ได้ ในช่วงอายุ19 ปี ฉันยังเรียนไม่จบระดับอุดมศึกษา แต่ลุดวิกที่ 2 ผู้หลงใหลในงานศิลปะและใช้เงินของตัวเอง หมดไปกับการทุ่มเทสร้างปราสาท จนสุดท้ายถูกปลดออกจากการเป็นกษัตริย์เพราะเหตุว่าสุรุ่ยสุร่าย ไม่ทํางานทําการนอกจากเผาผลาญงบไปกับการสร้างปราสาท

น่าสงสารนะ ฉันเดินดูบรรดาสมบัติของราชวงศ์บาวาเรียมากมายที่ museum ของเมืองมิวนิก ทําไมนะ การถือกําเนิดมาพร้อมสมบัติมากมายขนาดนี้ กลับไม่สามารถซื้อความสุขหรือแม้แต่ฐานันดรของผู้สืบราชวงศ์ได้ ถ้าอย่างนั้นแล้ว แท้จริงคนเราควรจะรวยไปเพื่อใคร หรือเพื่ออะไรกันแน่นะ

ที่ร้ายยิ่งกว่าคือ ก่อนหน้านั้น ในปี 1872 ออตโต น้องชายของลุดวิก เคยถูกวินิจฉัยมาก่อนแล้วว่ามีอาการผิดปกติทางจิต จนในที่สุดมีคําสั่งจากแพทย์วินิจฉัยให้ออตโตต้องถูกกักบริเวณอยู่ในวังตามลําพัง

จะออตโตผู้น่าสงสาร หรือลุดวิกเองก็ตาม ฉันคิดว่าบางทีประวัติศาสตร์ก็ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนบางกลุ่ม มีนักประวัติศาสตร์ยุคใหม่บางคนเชื่อว่า การวินิจฉัยและการรักษาที่มีต่อทั้งลุดวิกและออตโตนั้น เกิดขึ้นโดยมีแรงขับเคลื่อนทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง

ลุดวิกที่รู้กันดีว่าว่ายน้ําเก่งยิ่งนัก กลับถูกพบจมน้ําอยู่ริมทะเลสาบใกล้ปราสาท แต่จะเพราะเหตุลึกลับใดๆ ของการเสียชีวิตของกษัตริย์หนุ่มก็ตาม หรืออาการผิดปกติทางจิตจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม ปราสาทนอยชวานสไตน์ที่ฉันได้สัมผัสแห่งนี้กลับมีเสน่ห์อย่างประหลาดในการดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศรอบโลกให้มาเยี่ยมชมความงาม และก่อให้เกิดแรงบันดาลใจทางศิลปะสําหรับใครหลายคน รวมถึงฉันเองด้วย

ปราสาทและเรื่องราวเจ้าของปราสาทยังฝังอยู่ในใจอีกสักพัก การจะ move on ไปหาสิ่งใหม่ ทําได้ไม่ง่ายนัก แต่เพราะชีวิตไม่อาจหยุดอยู่กับที่ในทุกขณะที่นาฬิกาไม่เคยหยุดเดิน ฉันจึง move on เดินกําตั๋ว 9 ยูโรในมือเพื่อเตรียมออกเดินทางสู่จุดหมายปลายทางต่อไป

ฉันจับรถไฟเดินทางต่อไปยังพระราชวังนึมเฟนบวร์ก ที่ซึ่งเป็นของพระราชวงศ์บาวาเรียมาก่อนอยู่แล้วมากกว่า 200 ปี ข้อดีของพระราชวังนี้คือ สามารถถ่ายรูปพระราชวังทั้งภายใน ภายนอก รวมถึงพิพิธภัณฑ์พระราชวังต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์แห่งบาวาเรียด้วย ซึ่งแตกต่างจากปราสาทนอยชวานสไตน์ที่ถ่ายรูปได้เพียงภายนอกเท่านั้น

ด้วยข้อดีของเจ้าตั๋ว 9 ยูโรที่พาฉันตะลอนได้ทั่วเยอรมนีในราคาเหมือนเที่ยวแถวนครปฐม ขอเล่านิดว่าตั๋วนี้ออกใช้ชั่วคราวโดยการรถไฟของประเทศเยอรมนี เพื่อเหตุผลในการช่วยเหลือลดค่าครองชีพของประชาชนช่วงเดือน มิ.ย. – ส.ค. 65 นี้ ทําให้นักเดินทางพเนจรอย่างฉันเลยพลอยได้อานิสงส์เดินทางตะลุยได้ทั่วประเทศด้วยตั๋วราคาตก 300 กว่าบาทไทย และไม่ต้องจองรถไฟ ไม่ต้องเสียค่าอะไรเพิ่มอีกแล้ว ช่างเป็นบุญวาสนาของฉันยิ่งนัก

และแล้ว จะด้วยเพราะบุพเพสันนิวาสหรืออะไรก็ตาม ความอยากใช้ตั๋วให้คุ้มของฉันเลยลากขามาถึงเมืองน่ารักแห่งหนึ่งที่แอบเดินทางมายากนิดนึง แต่ถึงแล้วรับรองว่าคุ้มแน่นอน เมืองที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้มีชื่อว่า Rothenburg ob der Tauber เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนยกย่องว่าสวยงามและมีเสน่ห์ที่สุดในบรรดาเมืองน้อยใหญ่ต่างๆ ที่ตั้งอยู่เรียงรายบนถนนสายโรเเมนติกแห่งแคว้นบาวาเรียของเยอรมนี เป็นเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกปีละหลายล้านคน

เมืองนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาทางบริเวณตอนเหนือของแคว้นบาวาเรีย ห่างจากเมือง Wurzburg ซึ่งถือเป็นต้นทางของถนนสายนี้ประมาณ 90 กิโลเมตร สามารถเดินทางไปได้โดยทางรถไฟหรือรถบัสโดยสารประจําทาง โดยอาจเริ่มที่เมือง Wurzburg ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ หรือจะไปตั้งต้นที่เมือง Füssen ทางตอนใต้ของเเคว้นบาวาเรีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทในเทพนิยาย นอยชวานชไตน์ (Schloss Neuschwanstein) อีกหนึ่งเเหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมก็ได้ โดยเราสามารถเลือกเเวะเที่ยวชม หรือพักค้างคืนตามเมืองรายทางของถนนเส้นนี้ได้ตามสะดวก

ว่ากันว่า ในอดีตเมืองนี้เคยมีฐานะเป็นเมืองปกครองอิสระของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยในช่วงปี ค.ศ. 1200 เป็นศูนย์กลางแห่งการติดต่อค้าขาย มีความเจริญรุ่งเรืองมากในยุคนั้น ต่อมาในประมาณปี ค.ศ. 1800 โรเธนเบิร์ก ออบ เดียร์ เทาเบอร์ ก็ได้ถูกรวมอยู่ในรัฐบาวาเรียของเยอรมนี

ภายในบริเวณเขตเมืองเก่าจะเป็นอาคารบ้านเรือนในยุคกลาง สไตล์ Half-Timberred ที่มีหน้าจั่วและหลังคาสีเเดง-ส้ม โบสถ์เก่าเเก่ และถนนที่ปูด้วยหินตามแบบโบราณ อันเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเรือนสไตล์เยอรมนี ทั้งนี้ ปัจจุบันอาคารเหล่านี้ได้กลายสภาพเป็นโรงแรมที่พักสําหรับนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร และร้านขายสินค้าที่ระลึกเสียเป็นส่วนใหญ่

อย่าได้ถามว่าชอบเมืองนี้ขนาดไหน ฉันขอโหวตให้เป็นเมืองน่ารักอันดับหนึ่งในใจเลย การมาเยอรมนีหนนี้เป็นการเดินทางมาเพื่อทํางาน โดยมีเป้าหมายที่การเยี่ยมชมปราสาท และได้พบรักใหม่ กับการตกหลุมรักเมืองน่ารักแห่งนี้ มาฟังประวัติเรื่องเล่าของเมืองนี้กันสักนิดนะ

มีเรื่องเล่าขานกันว่า ในสมัยสงคราม 30 ปี เมืองนี้ถูกปิดล้อมโดยกองทัพของนายพลทิลลี่ นายพลได้ยื่นข้อเสนอว่า หากใครสามารถดื่มไวน์ปริมาณ 3.5 ลิตรหมดได้ในทีเดียว จะปล่อยเมืองนี้ให้เป็นอิสระ ในวันนั้นนายกเทศมนตรีนุสช์ (Nusch) รับคําท้าและก็ทําได้สําเร็จ จึงทําให้เมืองรอดพ้นจากการถูกทําลายและยังคงรักษาความสวยงามมาได้จนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันโรงเหล้าเเห่งนั้นได้กลายมาเป็นศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว (Tourist Information Office) ของเมืองไปเเล้ว

ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ฉันเดินทางมาที่เยอรมนีนั้น ฟ้าฝนช่างเป็นใจให้การท่องเที่ยวของฉัน เพราะพระอาทิตย์แห่งฤดูร้อนกว่าจะตกก็ปาเข้าไป 3 ทุ่มครึ่ง แต่กระนั้นแมฉันจะท่องเที่ยวได้ยาวนานปานใด สุดท้ายวันนี้เยอรมนีก็กลายเป็นอดีตสําหรับฉัน

เครื่องบินโดยสารการบินไทยแล่นลงจอดช้าสมฉายา smooth as silk ฉันจากเยอรมนีมาแบบไม่อยากเอ่ยคําลา แต่งานที่รออยู่ประหนึ่งน้ําพริกปลาทูถ้วยเก่าที่รอเจ้าของมาจิ้มทาน ฉันปิดหน้าหนังสือที่ยังอ่านค้างไว้ การเตรียมตัวกลับไปทํางานตามเดิม สําหรับวันนี้ทริปตะลุยปราสาทและแวะเมืองน่ารักในเยอรมนี หลังผ่านพ้น Covid-19 สอนให้ฉันรู้ว่า สมองไม่เคยหยุดจินตนาการ ขาไม่เคย หยุดก้าวเดิน และหัวใจไม่เคยลืมการออกเดินทาง

เยอรมนีหรือที่ไหนก็คงไม่ไกลเกินไป ตราบใดที่หัวใจยังใฝ่หาอิสรภาพจากการเดินทาง และในวันหน้าเมื่อมีโอกาส ฉันขอกลับมาที่นี่อีกครั้ง ดินแดนแห่งปราสาทเทพนิยายและศิลปะสถาปัตยกรรมอันสวยงามล้ำค่ามากมาย งดงามประหนึ่งเทพเจ้าสร้างขึ้น นี่สินะที่กษัตริย์ลุดวิกกล่าวว่า Art that come from God, Art that lives forever…..

AUTHOR