เซลฟี่กับน้องควอกก้า เริงร่าบนเกาะ Rottnest Island

เราหมอบตัวต่ำลงกับพื้นจนเกือบจะอยู่ในท่านอนและค่อยๆ กระเถิบตัวคืบไปข้างหน้าทีละนิดด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ทำให้เกิดเสียงดังใดๆ พร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาช้าๆ เพื่อบันทึกภาพเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กอ้วนกลมด้านหน้าที่กำลังเคี้ยวดอกไม้ใบหญ้าตุ้ยๆ ด้วยรอยยิ้มละไมอันเป็นเอกลักษณ์

“Quokkaaaaaaaaa!”

ความพยายามทั้งหมดที่สั่งสมมามลายหายไปสิ้นเมื่อเสียงแหลมเล็กดังขึ้นทำให้เจ้าควอกก้าชะงักก่อนที่จะกระโดดดึ๋งๆ หลบแผล็วไปอย่างรวดเร็ว เราสะบัดหน้าหันไปตามเสียงด้วยความหงุดหงิด ก็พบกับเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักกำลังวิ่งตื๋อตรงมาตามด้วยพ่อแม่ที่ทำหน้าตารู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง ครั้นเห็นว่าเจ้าควอกก้าน้อยหายลับไปแล้ว เจ้าเด็กจิ๋วทำหน้าตาเสียดายจนอดไม่ได้ที่จะไม่ติดใจเอาความ

เราลุกขึ้นมาปัดเศษดินออกจากตัว กล่าวทักทายพ่อแม่เจ้าเด็กตัวซน และเร่งฝีเท้าเดินตัดกลับไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ทอดยาวเลียบทะเลสีฟ้าแสนสดใสของเกาะร็อตเนสต์ (Rottnest Island) เกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในทะเลของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ที่นี่คือบ้านของควอกก้า เจ้าของฉายาสัตว์ตัวน้อยที่มีความสุขมากที่สุดในโลก

น้องไม่ยิ้มแล้ว น้องรำคาญเจ้าพวกมนุษย์

ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 50,000 ปีก่อน เกาะแห่งนี้ก็เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของทวีปออสเตรเลียนี่แหละ ทำให้ยังมีพืชพรรณท้องถิ่นดั้งเดิมและเหล่าสัตว์อาศัยอยู่ ตลอดจนมีการค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้และวัตถุโบราณที่บ่งบอกว่ามีชาวอะบอริจินอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ด้วยตลอดช่วง 7,000 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงตอนที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำทำให้ดินแดนส่วนที่เหลือนี้ถูกแยกมาเป็นเกาะดังเช่นปัจจุบัน การจะข้ามฝั่งของชนพื้นเมืองก็ทำได้ยากเพราะไม่มีเรือที่ดีพอ เกาะแห่งนี้เลยถูกทิ้งร้างไร้ผู้คนอาศัยนานนับพันปี ชาวอะบอริจินจึงเรียกเกาะร็อตเนสต์ว่า ‘Wadjemup’ แปลว่า แผ่นดินโพ้นทะเลที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ (place across the water where the spirits are)

แล้วชื่อ Rottnest นั้นเล่า เจ้าได้แต่ใดมา

ต้องขอเท้าความไปยังช่วงศตวรรษที่ 17 เมื่อครั้งที่ชาวยุโรปล่องเรือมาสำรวจหาแผ่นดินใหม่ นักเดินเรือชาวดัตช์เป็นกลุ่มแรกที่สังเกตเห็นเกาะแห่งนี้และเริ่มเข้ามาทำการสำรวจพื้นที่ พวกเขาพบกับสิ่งมีชีวิตปุ๊กปิ๊กหน้าตาละม้ายคล้ายกับหนูตัวยักษ์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากจึงตั้งชื่อเกาะแห่งนี้เป็นภาษาดัตช์ว่า ‘Rotte nest’ แปลว่า รังหนู นั่นเอง

แต่เจ้าน้องควอกก้าไม่ใช่หนู! ความจริงแล้วมันจัดอยู่ในตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกระเป๋าหน้าท้องเหมือนกับจิงโจ้เลย เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามากๆ กินพืชเป็นอาหาร มีอุปนิสัยน่ารัก เป็นมิตร ช่างสงสัย สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ปัจจุบันมีจำนวนลดน้อยถอยลงตามลำดับเนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและแหล่งอาหารถูกรุกรานโดยมนุษย์ ดังนั้นเกาะร็อตเนสต์แห่งนี้จึงมีความสำคัญมากในฐานะที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ควอกก้าเนื่องจากเป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ในออสเตรเลียที่เราจะพบกับพวกมันได้ตามธรรมชาติ

นอกจากจะห้ามจับแล้วก็ห้ามให้อาหารน้องด้วยนะคะ 
อาหารของมนุษย์ทำให้น้องป่วยนะ

เนื่องจากที่นี่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติจึงไม่อนุญาตให้นำรถยนต์ขึ้นมาบนเกาะได้ ฉะนั้นพวกเราเหล่านักท่องเที่ยวจึงมีตัวเลือกในการเดินทางชมความงามโดยรอบของเกาะร็อตเนสต์ดังต่อไปนี้ คือ เช่าจักรยาน ซึ่งเราสามารถเช่าผ่านบริษัทเรือเฟอร์รี่หรือจะเสี่ยงดวงมาเช่ากับร้านบนเกาะก็ได้ (โดยส่วนตัวแล้วเราแนะนำว่าให้เช่ากับบริษัทเรือเฟอร์รี่ไปพร้อมๆ กับตอนซื้อตั๋วจะดีกว่าแม้เมื่อเทียบราคาแล้วจะต้องจ่ายแพงกว่าเดิม เนื่องจากทั้งเกาะมีร้านเช่าจักรยานอยู่เพียงร้านเดียวและมีจำนวนจักรยานให้บริการน้อยนิด ตัวเราเองก็วิ่งไปเช่าไม่ทันเหมือนกัน)

ส่วนตัวเลือกที่สอง คือ เดิน เดิน และเดิน บนเกาะนี้มีเส้นทางเดินชมธรรมชาติให้เลือกทั้งหมด 5 ระยะทาง แบ่งความยากง่ายแตกต่างกันออกไป ถ้าใครรักการเดินแบบเราก็ขอให้เตรียมรองเท้ามาให้ดี

สาม คือ นั่งรถบัสรับส่งตามจุดต่างๆ บนเกาะ เหมาะกับครอบครัวที่มีทั้งเด็กและผู้สูงอายุ หรือนักท่องเที่ยวที่มีเวลาน้อย มาแบบ one day trip โดยรถบัสจะวนไปตามจุดต่างๆ ตามเส้นทางถนนหลักบนเกาะ หากต้องการไปยังชายหาดหรือจุดชมวิวก็ต้องเดินต่อเพิ่มไปอีกเล็กน้อยเท่านั้น

ด้วยความที่เรามีเวลาน้อยมากๆ แค่เพียงครึ่งวันเท่านั้นจึงเลือกเดินในเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่สั้นที่สุด โดยมีระยะทางประมาณ 9.7 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น เส้นทางดังกล่าวนี้ตัดผ่านชายหาดงดงามหลายแห่ง ประภาคารทางตอนเหนือของเกาะ ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ และทะเลสาบ

แสงแดดยามสายนั้นกำลังอุ่นพอดี มีลมเย็นสบายจากทะเลพัดมาให้รู้สึกสดชื่นแจ่มใส เราสลัดความหงุดหงิดในใจเมื่อครู่และเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ตามทางโดยไม่รีบร้อนพลางสอดส่ายสายตาหากลุ่มโลมาที่นานๆ จะกระโดดขึ้นมาเล่นกับเกลียวคลื่น

ยิ่งมองเห็นตัวเมืองและหมู่ตึกสูงที่ปลายขอบฟ้าไกลสุดสายตายิ่งทำให้รู้สึกว่าได้ตัดขาดจากโลกที่แสนวุ่นวายและกลับมาสู่อ้อมกอดของธรรมชาติอย่างแท้จริง เราหายใจเข้าลึกออกยาวได้อย่างเต็มปอดด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งไร้ความกังวลเรื่องมลพิษฝุ่นควันต่างๆ ตลอดจนได้พักสายตาจากการจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยม เปลี่ยนมามองต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีรอบตัว ตลอดจนได้หยุดและฟังเสียงลมพัดผ่านยอดไม้และเสียงคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย

ประภาคาร Bathurs หนึ่งในจุดชมวิวของเกาะร็อตเนสต์
ต้นไม้รูปร่างแปลกๆ มากมาย คาดว่าน่าจะเป็นเพราะแรงลม 
หากจะเดินตัดทุ่งหญ้าต้องระวังบางพุ่มที่เป็นหนามนะเออ

เมื่อเดินตามเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้าเราก็เริ่มปฏิบัติการตามหาควอกก้าทันที เผื่อว่าจะเจอน้องกำลังยืนหลบแดดช่วงเที่ยงวันอยู่ ซึ่งก็เจอจริงๆ ด้วย ฮูเร่! ได้ถ่ายรูปน้องสมใจแล้ว

แต่ไม่ว่าจะนั่งเฝ้า นอนเฝ้า หรือหลอกล่อด้วยดอกไม้อย่างไร ถ้าสิ่งที่มอบให้จากคนที่ไม่ใช่ สุดท้ายก็เท่านั้นเนื่องจากทำอย่างไรน้องก็ไม่ยอมเข้าใกล้มาถ่ายเซลฟี่ด้วยกันเสียที เราจึงถอดใจและบ่ายหน้าเดินต่อไปตามทางของเราที่วนกลับไปยังท่าเรือเฟอร์รี่ ปล่อยให้น้องนั่งเคี้ยวใบไม้อย่างสงบต่อไป

ระหว่างทางก็พบกับควอกก้าอีกมากมาย แต่ไม่มีตัวไหนที่เข้าใกล้ให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเลย จนกระทั่งเราเดินกลับไปที่ท่าเรือเพื่อเตรียมตัวกลับ ขณะที่กำลังจะหย่อนก้นลงนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้และละเลียดไอศครีมผลไม้ที่เพิ่งซื้อมาเพื่อดับร้อนก็หันไปสบตากับเจ้าน้องหนึ่งตัวที่กระโดดดึ๋งๆ ออกมาจากพุ่มไม้ ทำตาแป๋วแหววแวววาว เคี้ยวใบไม้ตุ้ยๆ พลางจ้องตรงไปทางไอศครีมที่อยู่ในมือ

จังหวะนี้แหละคือโอกาสทองที่รอคอยมาตลอดทั้งวัน เราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทันที กดเปิดกล้องขึ้นมาทันใด และกดถ่ายภาพไว้อย่างทันท่วงที!

Mission accomplished แต่น้องไม่ยิ้ม

และแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับ หมดเวลาสนุกแล้วสิ เรากล่าวบอกลาเหล่าควอกก้าแสนน่ารักปุ๊กปิ๊ก ท้องฟ้าสดใส สายลมเย็นสบายและผืนน้ำสีฟ้าเป็นประกายของเกาะร็อตเนสต์ที่แสนงดงามอยู่ในใจขณะที่เรือเฟอร์รี่ค่อยๆ แล่นออกจากท่ามุ่งหน้ากลับสู่พื้นแผ่นดินใหญ่

หวังว่าจะได้กลับมาพบกันใหม่นะ

AUTHOR