The Memoir of Movement ความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งในภาพถ่ายของ พิชัย แก้ววิชิต

เอก-พิชัย แก้ววิชิต เคยเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘ช่างภาพ-วินมอเตอร์ไซค์’ โดยเมื่อปี 2019 เขาได้จัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายเป็นครั้งแรก ชื่อว่า Unlock 

หลังห่างหายจากการจัดนิทรรศการไป 2 ปี พิชัยกลับมาอีกครั้งในฐานะช่างภาพเต็มตัว กับนิทรรศการครั้งใหม่ที่ชื่อ The Memoir of Movement ซึ่งจัดแสดงที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ระหว่างวันที่ 7 กรกฎาคม – 5 สิงหาคม 2565

แรงบันดาลใจของนิทรรศการครั้งนี้ มาจากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเขาได้พบการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิต ค้นพบความหลงใหลในศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ ได้ทดลองวาดภาพ ได้อ่านหนังสือแนวใหม่ รวมทั้งท้าทายตนเองให้เป็นคอลัมนิสต์เขียนบทความ

เหนืออื่นใด พิชัยรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง ‘ภายใน’ ตนเองมากมาย

จากความเคลื่อนไหวภายใน สู่การมองเห็นความงามของการเคลื่อนไหวที่มีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง พิชัยบันทึกภาพเหล่านั้นออกมาในแบบมินิมอลที่เขาถนัด จนได้ออกมาเป็นภาพถ่ายที่ดูคล้ายภาพวาดสีน้ำมันชุดนี้ ซึ่งชวนให้เราฉุกคิดและตั้งคำถามกับมุมมองในชีวิตของเราเองด้วย 

หลังจากห่างหายไปนาน 2 ปี นิทรรศการเดี่ยวครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกของคุณยังไงบ้าง

นิทรรศการแรก Unlock ค่อนข้างมีความเป็นเรา จากคนที่หาเช้ากินค่ำ ได้มาทำงานศิลปะ ขายรูป เราไม่ได้สักแต่ว่าทำงานอย่างเดียว มันก็ต้องมีช่วงชีวิตที่ได้คลุกคลีกับสิ่งแวดล้อมบ้าง พอมีความคิดนี้เข้ามามันเหมือนการปลดล็อกตัวเอง ภาพชุดนั้นก็จะเป็นภาพ Unlock แต่นิทรรศการครั้งนี้เรารู้สึกอยากมาเล่าว่า พออิสระแล้วมันก็ต้องมีการเคลื่อนไหว เราควรจะเล่าเรื่องราวที่คนไม่ทันได้สังเกตเห็น ก็คือเรื่องของการเคลื่อนไหว  

ช่วงที่เงียบหายไป คุณทำอะไรบ้าง 

ใช้คำว่าหมกมุ่นกับภาพถ่าย เรียนรู้ศิลปะมากขึ้น สังเกตชีวิตมากขึ้น ตอนนี้เราเขียนคอลัมน์อยู่ที่ มติชน ด้วย มันทำให้ได้เห็นตัวเองในอีกแง่มุมหนึ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราไม่ค่อยรับงาน รับงานน้อยมาก เราเป็นคนที่ไม่ค่อยคอมเมอร์เชียล รู้ตัวเองว่าอนาคตน่าจะลำบาก ไม่ค่อยได้ขายของหรือโฆษณาอะไรมาก เพราะว่าเราเกรงใจเขา เกรงใจคนที่เขาซื้อรูปเราไปแปะที่บ้าน คนอื่นอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่สำหรับเรามีความหมายมาก คนที่ซื้อรูปเราไปแปะที่บ้าน แสดงว่าเขาก็ต้องเห็นอะไรในตัวเรา เขาต้องศรัทธาหรืออะไรสักอย่าง แต่ถ้าวันหนึ่งเรารับงานมั่วไปหมด โฆษณาอะไรมาเอาหมด มันไม่ใช่ทาง แต่ถ้ามาร่วมงานถ่ายภาพเป็นโปรเจกต์แบบนี้ เอา 

ภาพถ่ายในนิทรรศการครั้งนี้ดูเหมือนภาพวาดสีน้ำมัน ซึ่งต่างจากภาพถ่ายครั้งก่อนๆ ของคุณ

ใช่ มันซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม เราไม่ได้ถ่ายรูปเก่ง แต่เราเรื่องมากกว่าเดิม เมื่อก่อนก็จะถ่ายมุมตึก หลังๆ พอเห็นมุมตึกที่เคยถ่ายแล้วก็ไม่ถ่าย ก็จะไปถ่ายอย่างอื่นแทน เริ่มเรื่องมากกับตัวเองมากขึ้น ถ้าไม่ถูกใจจริงๆ หรือไม่มีองค์ประกอบที่เราชอบก็ไม่ถ่าย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นถ่าย เดี๋ยวนี้ค่อนข้างถ่ายภาพน้อย แต่ถ่ายให้มันมีมาตรฐาน ให้มีการพัฒนาด้วย ไม่ใช่ว่าพอถึงจุดหนึ่งแล้วถ่ายอะไรก็ได้ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น ตามอายุ ตามประสบการณ์ที่เราทำงาน ไม่ได้พยายามถ่ายให้มันยากนะ แต่เริ่มพิถีพิถันกับตัวเองมากขึ้น

ระหว่างที่ถ่ายภาพ คุณเห็นอะไร

เราเห็นคุณค่าในสิ่งที่มันไร้ค่า หรือสิ่งที่ธรรมดามากๆ เราจะเห็นของพวกนี้ง่าย จริงๆ ภาพที่เราถ่ายไม่ได้เซ็ตมาก่อน หรือไปถ่ายที่ที่เขาถ่ายกัน ทุกอย่างมันอยู่ใกล้ๆ ตัวเรา อยู่ในซอย ข้างถนน น้ำเน่า เราดึงสิ่งพวกนี้ออกมาให้ตัวเองได้เห็น แล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ด้อยค่าเลย 

Memoir No.19 >พิชัย แก้ววิชิต

อย่างภาพนี้ (Memoir No.19) มีผิวน้ำเต็มเฟรม สังเกตไหมว่าตรงนี้มันเป็นสีดำได้ยังไง มันอยู่ระหว่างช่องสะพานข้ามแยกอะไรสักอย่าง จริงๆ ตรงนี้มันเป็นคลอง มีร่องสะพาน นี่คือก้อนเมฆ นี่คือท้องฟ้า นี่คือผิวน้ำ นี่มันไม่ได้ไกลจากตัวเราเลยนะ แค่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวอะไรก็ตาม พอเราเคลื่อนไหว ความรู้สึกของเราไปเคลื่อนไหวอยู่ในจุดที่เห็นความงาม ความงามมันก็เกิดขึ้น อยู่ที่ว่าความรู้สึกเราขณะนั้นเรารู้สึกอะไรกับมัน ถ้าเราคิดว่ามันก็แค่น้ำเน่าในคลองก็ไม่มีทางได้เกิดขึ้น

Memoir No.4 >พิชัย แก้ววิชิต
Memoir No.11 >พิชัย แก้ววิชิต

การเคลื่อนไหวในมุมมองของคุณหมายถึงอะไร

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ล้วนเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือสิ่งไม่มีชีวิต พอเกิดขึ้นมาแล้วเคลื่อนไหวหมด แม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกของเราก็เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่งเลย ก้อนหิน ก้อนดิน ต้นไม้ ตึกรามบ้านช่อง สถานที่ที่เราเคยไป ทุกอย่างเปลี่ยน ตัวเราก็เปลี่ยน ทัศนคติต่างๆ ก็เปลี่ยน เอาจริงๆ ไม่มีอะไรหยุดนิ่งเลย

การเคลื่อนไหวจริงๆ แล้วไม่ต้องเคลื่อนที่ก็ได้ มันอยู่นิ่งๆ ก็เคลื่อนไหวของมันเอง เหมือนก้อนหินสักก้อน เมื่อผ่านเวลาสักสิบปี ร้อยปี หรือพันปี ก้อนหินก้อนเดิมรูปทรงก็เปลี่ยน แต่เราไม่สามารถไปเห็น ณ ตอนนั้นได้ว่าก้อนหินมันขยับ แต่เวลาจะเป็นตัวบอกว่ามันเปลี่ยนไปจริงๆ ตัวเราก็เช่นกัน แล้วสุดท้ายความเคลื่อนไหวมันจะวิ่งไปสู่ความไม่มี 

จริงๆ แล้วการเคลื่อนไหวไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ไม่ใช่เรื่องที่เมื่อทุกอย่างไม่แน่นอนแล้วเราจะอยู่กับมันยังไง แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าเราเห็นคุณค่าของปัจจุบัน ในเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา วันหนึ่งคนในครอบครัวหรือคนที่เรารักก็แก่ เราไม่สามารถห้ามสิ่งนี้ไว้ได้ แต่ถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน ดูแลคนที่เรารักให้ดี วันหนึ่งเมื่อทุกอย่างเคลื่อนผ่านไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือความทรงจำที่ดี

ตอนนี้คุณถ่ายภาพจริงจังแล้ว แต่ยังใช้กล้องตัวเดิมเหมือนตอนที่ขับวินมอเตอร์ไซค์

ตัวเดิม (หัวเราะ) ยังใช้กล้องคอมแพ็กต์อยู่เลย รู้สึกว่ามู้ดของกล้องกับงานที่ผมถ่ายมันไปกันได้ มันทำให้ภาพดูเหมือนไม่ใช่ภาพถ่าย มันดูเหมือนภาพวาด 

คุณไม่ได้ขับวินมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่เมื่อไหร่

ตั้งแต่ลง a day นี่แหละ (หัวเราะ) 

จากที่ถ่ายภาพอย่างเดียว ตอนนี้คุณเขียนด้วย

ตอนแรกเป็นคนสร้างภาพ หลังๆ เริ่มเป็นคนหาเรื่อง เป็นคนไม่ดี (หัวเราะ) เราไม่ได้เป็นคนที่ชอบเขียน ทางผู้ใหญ่ให้โอกาสเขียนก็รู้สึกว่าตัวเองจะทำได้ไหม แต่มันท้าทายนะ เราไม่ได้มีประสบการณ์ มีแค่ใจจริงๆ แล้วอาศัยสัญชาตญาณที่มีอยู่ข้างในเอามาใช้ หวังว่าวันหนึ่งงานเขียนที่เราทำอยู่ทุกวันมันจะค่อยๆ สอนเรา 

สร้างภาพกับสร้างเรื่อง สำหรับคุณมันต่างกันไหม อันไหนยากกว่ากัน

โอ้โห งานเขียนนี่ (หัวเราะ) บางทีแรงกดดันมันมีนะ คือเราต้องรู้จักเล่า ก่อนที่เราจะรู้จักเล่าเราต้องรู้จักเรื่อง แล้วเราเชื่อเรื่องที่เราจะเอามาเขียนแค่ไหน เราจะเขียนโดยที่เราไม่เชื่อไม่ได้ เราจะเขียนโดยที่เราไม่รู้ไม่ได้ แล้วเราจะเขียนเรื่องที่เราตัดสินก็ไม่ได้อีก ถ้าเป็นการถ่ายรูป เราคอมโพส มันเป็นสัญชาตญาณ แต่งานเขียนมันต้องคิดเยอะ ในขณะเดียวกันเราก็ละทิ้งจินตนาการไม่ได้ ทุกวันนี้เราเอาตัวรอดด้วยการใช้จินตนาการ

งานถ่ายเราจะมีความเป็นมินิมอล ศิลปะใกล้ๆ ตัว มองทุกอย่างให้เป็นศิลปะที่อยู่รอบตัว แล้วเราก็ถ่ายตามความรู้สึก ตามสิ่งที่เราเห็น มันก็จบตรงนั้น แต่พอเป็นเรื่อง มันสร้างเรื่องเดียวไม่ได้ เราต้องเล่าให้มันต่างกันในทุกๆ เรื่อง ถ้าภาพบางภาพมันไม่แมตช์ไม่สมกับเนื้อเรื่อง บางครั้งเราก็อาจจะโดดจากความมินิมอลบ้าง ไม่ใช่อะไรก็เรขาคณิตไปซะหมด บางอย่างมันต้องการฟีลลิ่งกับภาพ ณ ตรงนั้นจริงๆ

รู้สึกท้าทายมากกว่ากดดัน

ท้าทาย ขี่รถบนถนนน่ะยังไม่ท้าทายเท่าเรื่องพวกนี้ เราไม่ได้กังวลเกี่ยวกับชีวิตเลยนะอยู่บนท้องถนนน่ะ แค่ 20 บาทเราก็เสี่ยงตายได้แล้ว แต่เราซีเรียสกับงานพวกนี้มาก งานต้องออกมาดีสิวะ งานต้องพัฒนา เราจะคิดอะไรต่อให้มันเกิดประโยชน์กับสังคมหรือให้คนที่เขาดูภาพแล้วรู้สึกแฮปปี้ จริงๆ ตอนนี้ก็ยังรับส่งอยู่นะ แต่เป็นการรับส่งแรงบันดาลใจหรือไอเดียแทน (หัวเราะ)

Memoir No.1 >พิชัย แก้ววิชิต
Memoir No.17 >พิชัย แก้ววิชิต

ตอนนี้เรียกได้ไหมว่าเป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว

ศิลปินหรือไม่ศิลปินเราก็ยังเป็นเอกคนเดิมอยู่ดี เราก็ยังทำงานของเราในฐานะคนคนหนึ่ง มันมีคำที่ว่า born to be บางคนต้องเรียนก่อนเพื่อที่จะเป็น แต่เราเกิดมาเพื่อที่จะเป็นแบบนี้แล้วก็หาช่องของมันจนได้

ทำงานศิลปะกับขับวินมอเตอร์ไซค์ อันไหนลำบากกว่ากัน

ไปไหนครับ อ๋อไปตลาด 15 บาทครับพี่ รับส่งไปโน่นนี่ มันแค่นั้นไง จริงๆ เราทำแบบนั้นก็ได้นะ แต่มันไม่ใช่ ถามว่าทุกวันนี้สบายแล้วสิคนรู้จักเยอะ เอาจริงๆ ไม่ได้สบายเลย เราว่าเราลำบากกว่าเดิมอีก

ลำบากกว่าเดิมยังไง

ลำบากกว่าเดิมมาก เราต้องใช้จินตนาการ ใช้แรงขับเยอะมาก ท้อไม่ได้ด้วยนะ วิ่งออกไปแล้ววิ่งกลับไม่ได้ด้วย เทียบกับขับรถหลงทางเราก็แค่จอดถามใครก็ได้ แต่อันนี้คือจะไปถามใครเขาก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ เพราะมันเป็นเส้นทางของจินตนาการ คุณต้องหาทางออกให้เจอ แต่เราว่าถ้าทำให้ดี ซื่อสัตย์กับมัน วันหนึ่งเราก็จะคุมเกมอยู่

แล้วทุกวันนี้อะไรคือความสุขของคุณ

การได้ทำงานแล้วงานออกมาดีได้ดั่งใจ ส่งต้นฉบับแล้วสัปดาห์นี้กูรอดตายแล้วอะไรแบบนี้ เรามีความสุขกับงานพวกนี้มากกว่า เพราะมันไม่เคยซ้ำเดิม มันสดใหม่ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน แล้วเราก็จะเปลี่ยนไปทุกๆ ปี ไม่มีอะไรน่าเบื่อเลย มันก็คือความสุขที่สร้างความบันเทิง ไม่ได้ต้องแบบทำยังไงให้ make money ได้ ต้องไปตรงไหน ต้อง contact กับใคร ไม่เคยอยู่ในสมองเลย ถ้าทุกอย่างจบก็คือจบ

เรามาจากความยากจน เข้าใจแล้วว่าความยากจนเป็นยังไง จะเอาตัวรอดกับมันยังไง แล้วเราต้องกลัวมันเหรอ เหมือนคนที่จับงูเป็น เขาวิ่งหนีงูที่ไหนล่ะ เขาก็จะหาวิธีว่าจะจับงูยังไงให้ปลอดภัย แต่คนที่ไม่เคยจับเลย แค่เห็นระยะไกลก็วิ่งแล้ว เหมือนกัน เรารู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งทุกอย่างจบ ไม่มีใครรู้จัก กลับไปสู่สภาพเดิมเราไม่ถึงขั้นกระอักเลือดตายแน่ๆ

Memoir No.9 >พิชัย แก้ววิชิต
Memoir No.18 >พิชัย แก้ววิชิต

ยังมีอะไรที่คุณอยากลองทำอีกไหม 

มีใครชวนไปอินเดียบ้าง อยากไปมาก จริงๆ exhibition ที่เป็นต่างประเทศเรายังไม่มีสักครั้งเลยนะ อยากถ่ายต่างประเทศแล้วจัด exhibition สักครั้งหนึ่ง เราว่าก็น่าจะสนุกดี มันก็จะมีงานที่สามารถต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ เราก็ตอบไม่ได้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่ไอเดียหรือจินตนาการถามว่าตันหรือเปล่า คนที่ทำงานด้วยความมีจิตวิญญาณจริงๆ มันไม่มีวันตัน ต่อให้เราอายุ 60-70 ไม่มีตันหรอก มันก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่ได้ทำเพราะหวังเงินหรือหวังการยอมรับ แต่ทำโดยที่มันมาจากสัญชาตญาณ สุดท้ายก็จะหาวิธีของมันจนได้ จะว่าไปคือเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเรายังไม่ได้ออกไปไหนเลย โลกใบนี้มันมีกี่ประเทศยังไม่เคยได้ไปขนาดนั้นเลย นี่แค่ในกรุงเทพฯ เราก็ถ่ายได้เยอะแล้ว 

ตั้งแต่ขับวินจนได้มาทำงานศิลปะอย่างทุกวันนี้ คิดว่าการเคลื่อนไหวในชีวิตคุณคืออะไร

การพัฒนาตัวเอง อย่างที่รู้ว่าเรามาจากขับวินมอเตอร์ไซค์ที่มาจากข้างถนน แน่นอนว่าคนกลุ่มที่หาเช้ากินค่ำก็คงไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ จะคิดแค่ว่าได้แค่นี้แหละ แต่เรามีความเป็นคน เรากำลังเล่นอยู่กับความเป็นคน ไม่เล่นความรวยความจน ความฉลาดความโง่ ความเก่งไม่เก่ง สิ่งพวกนี้เราไม่เล่นอยู่แล้ว เราเชื่อว่าความเป็นคนมันพัฒนาได้ นี่แหละคือความเคลื่อนไหว คนคนหนึ่งไม่ควรจะขังตัวเองกับอะไรสักอย่าง อยู่ไปวันๆ หาเงินใช้หนี้แล้วก็รอแก่ มันไม่ใช่ เรานี่แหละตัวต้นเหตุของชีวิต จะแย่จะดีอยู่ที่เราหมดเลย เราจะทำให้คนได้เห็นว่า ความธรรมดานี่แหละ มันพัฒนาได้จริงๆ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

กุลชนาฎ เสือม่วง

ปูนพร้อมก่อสุดหล่อพร้อมยัง IG: cozy_cream