เด็กชายใต้ผืนดิน : รากฐานผุพัง ความหลังเน่าหนอน กับตอนต่อไปของชีวิตที่เลือกได้จริงหรือ

*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ แต่เชื่อว่าจะไม่ทำลายอรรถรสในการอ่านแต่ประการใด เด็กชายใต้ผืนดิน

เราไม่ใช่คนที่ชอบตัวเองสักเท่าไหร่

หลายๆ อย่างที่เป็นและทำ เรามีสัดส่วนความไม่ชอบมากกว่าความชอบ และบ่อยครั้งเลยล่ะที่พอมองตัวเองในกระจกแล้วเราค้นพบว่ามันน่ารังเกียจชะมัด

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน แต่ก้อนความรู้สึกแบบนี้ค่อยๆ ก่อตัวมานานแล้ว คล้ายกับแมงมุมสีดำที่ทำรังอยู่ภายในใจ ใช้ความรู้สึกทางลบมาถักทอเป็นที่อยู่อาศัย และคอยกินความเกลียดชังที่เรามีต่อตัวเองเป็นอาหาร จนรู้อีกทีมันก็เติบใหญ่ เกาะกินอยู่ในวิญญาณ

แมงมุมน่ารังเกียจ ที่มีที่มาจากความน่ารังเกียจ

และเมื่อไม่กี่วันก่อน เราเพิ่งมีโอกาสสบตามันใกล้ๆ ผ่านการอ่านวรรณกรรมที่ชื่อว่า เด็กชายใต้ผืนดิน

เด็กชายใต้ผืนดิน

เด็กชายใต้ผืนดิน หรือ The Boy in the Earth คือวรรณกรรมจากปลายปากกาของ Fuminori Nakamura นักเขียนนวนิยายแนว noir ชาวญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาแปลผ่านสำนวนของพรพิรุณ กิจสมเจตน์ และจัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

สารภาพว่าเหตุผลแรกที่ทำให้เราหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านนั่นก็เพราะคำโปรยที่บอกเล่าเรื่องย่อของวรรณกรรมไว้ด้วยข้อความสั้นๆ

“เรื่องราวของชายคนขับแท็กซี่กะดึกผู้พยายามใช้ชีวิตเยี่ยงคนสามัญ หากในใจใฝ่ถึงเพียงการฆ่าตัวตาย เฝ้าแต่นึกภาพตนถูกฝังอยู่ใต้ผืนดิน พร้อมกับความทรงจำน่าสะพรึงกลัวในวัยเยาว์ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ท่ามกลางการเผชิญสภาพชีวิตในปัจจุบันที่ไม่ได้ซับซ้อนและหมองหม่นน้อยไปกว่ากันเลย”

คล้ายกับมีแรงดึงดูดที่ทำให้เราสนใจทันทีเมื่อได้อ่านประโยคข้างต้น และนั่นเองคือที่มาของ 2 ชั่วโมงที่เราได้ซึมซับและสนทนากับตัวเองผ่านการอ่านวรรณกรรมนี้

อธิบายให้เข้าใจเพิ่มมากขึ้นสักหน่อย เด็กชายใต้ผืนดิน คือนวนิยายที่เล่าถึงชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งของชายคนขับแท็กซี่ไร้ชื่อที่คิดฆ่าตัวตายตลอดเวลาด้วยเหตุในการแสวงหาอนาคตที่ปราศจากอดีต โดยที่ระหว่างนั้นเขาเองก็อาศัยอยู่กับซายุโกะ หญิงสาวติดเหล้าผู้เคยแท้งลูกและเลือกใช้ชีวิตจมปลักอยู่กับความทรงจำครั้งเก่าก่อน ซึ่งถึงแม้จะอยากหนีแค่ไหนก็หนีออกมาไม่ได้

ฟังดูแล้วราวกับทั้งคู่คือเศษชำรุดที่ผุพังตามกาลเวลาที่เลือกทางเดินในการแก้ปัญหาคนละทาง แต่ถึงจะปูปูมหลังและสภาพแวดล้อมของทั้งคู่เข้มข้นถึงเพียงนั้น นวนิยายกลับเล่าถึงเหตุการณ์ปัจจุบันแค่ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 80 เปอร์เซ็นต์แบ่งเป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตและความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเป็นหลักเสียมากกว่า

เรื่องราวทั้งหมดดำเนินผ่านตัวละครที่พูดคุยกับตัวเองเสียส่วนใหญ่ ฉันรู้สึกยังไง ทำไมฉันถึงอยากฆ่าตัวตาย อะไรที่ส่งผลให้ฉันผุพังแบบตอนนี้ ทั้งหมดล้วนถูกเล่าผ่านเสียงในหัวของตัวละคร ซึ่งก็เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้นวนิยายเรื่องนี้ทำหน้าที่เหมือนสนทนากับผู้อ่านไปด้วย

ตลอดทั้งเรื่อง เราจะค่อยๆ มองเห็นการปลดเปลือยความทุกข์และความรู้สึกเชิงลบของตัวละคร ผสมกับการกล่าวถึงบาดแผลในอดีต คล้ายกับการสารภาพบาปที่มีเราเป็นคนคอยรับฟังทั้งความฟอนเฟะภายในและรากฐานที่อ่อนยวบ รวมถึงเห็นผลกระทบของอดีตเหล่านั้นที่ทำให้พวกเขาใฝ่ฝันถึงความตายและการทำร้ายตัวเอง ตัวละครจะค่อยๆ เฉลยเรื่องราวทั้งหมดพร้อมๆ กับพาเราดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ถึงจุดที่ลึกที่สุดในจิตใจ

จนรู้ตัวอีกทีพวกเขาทั้งหมดก็หายไป ทิ้งไว้เป็นเงารางๆ ที่เมื่อพิจารณาดูก็คลับคล้ายคลับคลากับคนในกระจกที่เรารังเกียจหนักหนา

แม้ประสบการณ์และความรู้สึกของตัวละครจะไม่ตรงกับเราเสียทีเดียว แต่อะไรบางอย่างในนั้นกลับนำพาเราไปสู่ประสบการณ์ใหม่ที่แปลกประหลาด เพราะหลายครั้งที่ในช่วงครึ่งหลังของนวนิยาย ตัวอักษรบนหน้ากระดาษกลับเปิดประตูให้เราได้ลองพูดคุยกับตัวเองผ่านหลายประโยคที่ชายคนขับแท็กซี่และซายุโกะคิดในหัว

ทำไมถึงไม่ชอบตัวเองนัก ความเกลียดชังนี้มีที่มายังไง และทำไมมันถึงไม่หายไปสักที ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำถามที่เกิดขึ้นมาซ้ำๆ ทับถมเป็นตะกอนไว้ จนกระทั่ง 2 ชั่วโมงผ่านไปเมื่อเราอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เราจึงได้มีโอกาสหันมาสนทนากับตัวเองอย่างจริงจังเหมือนที่ตัวละครทำบ้าง

เด็กชายใต้ผืนดิน

เมื่อพิจารณาดีๆ เราพบว่าตัวเอง (รวมถึงผู้อ่านบางคน) ก็คงไม่ได้ต่างกับตัวละครใน เด็กชายใต้ผืนดิน มากนัก

เราต่างมีรอยแผลจากอดีตที่คอยตามหลอกหลอน ใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่ประสบการณ์ แต่หนึ่งอย่างที่แน่ชัดคือถ้ามันกรีดลึกลงไปมากพอ มันย่อมทิ้งรอยแผลเป็นและส่งผลต่อตัวเราในปัจจุบัน จนในบางครั้งเราก็ทำตัวเหมือนคนขับแท็กซี่ในเรื่องที่พยายามหนีแม้ตัวตนจะอ่อนปวกเปียกพร้อมล้มลงได้ทุกเมื่อ ขณะที่บางครั้งเราก็เป็นได้แค่ซายุโกะ หญิงสาวที่หนีจากอดีตไม่สำเร็จ จึงทำได้แค่ยอมให้มันโบยตีซ้ำๆ อยู่แบบนั้น

เป็นเราที่มีรอยฟกช้ำอยู่เต็มไปหมด และเฝ้าคอยกดย้ำแผลในทุกโอกาส

ด้วยความเกลียดตัวเองที่เชื่อใจคนไม่ได้ เกลียดตัวเองที่เจ็บปวดกับเรื่องง่ายๆ เกลียดตัวเองที่อ่อนแอกว่าใคร และที่สำคัญที่สุด เราเกลียดตัวเองที่เอาแต่เฝ้าเกลียดตัวเองอยู่แบบนี้

แต่ในห้วงเวลาที่เราดำดิ่งลงไปจนได้เจอกับตัวตนอันบิดเบี้ยวของตัวเองนั่นแหละ ที่ใจความสำคัญของงานเขียนนี้ทำงานกับเรา เพราะเมื่อเจอที่มาและความรู้สึกแล้ว นวนิยายจึงบอกให้คนอ่านอย่างเราลองสื่อสารกับความรู้สึกนี้ของตัวเองโดยตรงเพื่อโอบรับตัวตนที่เคยปฏิเสธนี้

ในเมื่ออดีตคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แม้มันจะบิดเบี้ยวเลวร้ายสักแค่ไหน แต่ความจริงข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือเราไม่อาจแก้ไข มันเกิดขึ้นแล้วและจะดำรงอยู่ในตัวเราแบบนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการประกอบสร้างตัวตนในปัจจุบันที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง

เปล่าเลย เราและวรรณกรรมเรื่องนี้ไม่ได้จะบอกว่าจงโอบรับมันด้วยความยินดีเหมือนกับงานเขียนตื้นเขินเรื่องอื่น กลับกันเสียอีก ถ้าความทรงจำไหนเปรียบเสมือนฝันร้าย ผู้เขียนกลับบอกเราว่าสิ่งที่ถูกต้องคือการเห็นมันเป็นแบบนั้น

ฝันร้ายก็คือฝันร้าย ไม่ต้องพยายามเปลี่ยนฝันร้ายเป็นฝันดี

เด็กชายใต้ผืนดิน

ดังนั้นลองหันกลับไปมองอดีตด้วยความจริงจากปัจจุบันดู ต่อให้ตัวเราตอนนี้มีนิสัยไม่ดีแบบไหน รู้สึกแย่เพียงใด จงยอมรับและลองพิจารณามันว่าอะไรกันแน่คือต้นเหตุหรือที่มาของสิ่งนั้น ลองสำรวจชั้นใต้ดินที่เก็บซ่อนความทรงจำที่แม้ไม่อยากจำ แต่จงมองมันเพื่อหาคำตอบว่าอะไรคือจุดกำเนิดของตัวตน

วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

และมันจะเป็นส่วนหนึ่งของฉันแบบนี้ตลอดไป

เด็กชายใต้ผืนดิน

หลังปิดหนังสือและนั่งคิดอยู่นาน เรามองกระจกอีกครั้งและเห็นคนคนเดิม

แต่ที่เพิ่มเติมคงเป็นขาแมงมุมทั้ง 8 ข้างที่ซ่อนอยู่ในเงา

มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหนเราไม่อาจระบุชัด

แต่ที่รู้แน่ชัดคือภาพตรงหน้าตอนนี้ห่างไกลจากคำว่าสวยงามอยู่มาก มันผุพัง น่าเกลียด และปล่อยคลื่นสีดำรอบตัวตลอดเวลา

แต่จะสำคัญอะไรเล่า ในเมื่อมันและเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

และในเมื่อเราหัวเราะ

มันก็หัวเราะ

1

11วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

12วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

2

21วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

22วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

3

31วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

32วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

4

41วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

42วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

5

51วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

52วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

6

61วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

62วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

7

71วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

72วรรณกรรมเรื่องนี้ค่อยๆ พาเราไปตอบคำถามพร้อมชี้แนะให้เราลองนำทั้งหมดมาจัดเรียง แล้วลากจุดเชื่อมให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราประกอบสร้างจากดอกไม้และก้อนหินอะไรบ้าง เพื่อที่สุดท้ายเราจะได้ยอมรับว่าก้อนหินทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของฉันเช่นกันกับดอกไม้ และต่อให้น่าเกลียดน่ากลัวแต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือฉันเอง

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ณัฐวัฒน์ ตั้งธนกิจโรจน์

ชื่อโทนี่ แต่พวกเขามักจะรู้จักผมในนาม Whereisone