จักรพันธุ์ ขวัญมงคล ชายผู้มองเห็นแง่งามของความพ่ายแพ้และชีวิตปกติ

ในชีวิตผมรู้จักคนมาไม่น้อย แต่ชายตรงหน้าน่าจะเป็นคนเดียวที่ภาวนาว่า ขออย่าให้มีคนชวนไปทำงาน และขออย่าให้มีบริษัทเสนอเงินเดือนสูงๆ มาให้ในชีวิตช่วงนี้

ไม่ได้รังเกียจอะไร เขาเพียงกลัวว่า เดี๋ยวจะอดใจไม่ไหวต้องกลับไปทำงานประจำอีกครั้งจนไม่ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจ

หากใครเป็นนักอ่านคงพอคุ้นเคยกับชื่อ ต๊ะ–จักรพันธุ์ ขวัญมงคล หรือในนามปากกา เผ่าจ้าว กำลังใจดี เขาเป็นนักเขียนผู้มีผลงานหนังสือหลายเล่ม และเป็นอดีตบรรณาธิการนิตยสาร HAMBURGER ยุคแรก รวมถึงเป็นอดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร The Hollywood Reporter Thailand ล่าสุดในวัย 43 เขาตัดสินใจลาออกจากงานประจำเงินเดือนสูงๆ มาเป็นคนว่างงาน

แม้โดยสถานะจะเป็นคนว่างงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะว่างจากงาน

“สิ่งสำคัญในชีวิตเราตอนนี้คืองาน เชื่อไหมคนตกงานบอกว่างานคือสิ่งสำคัญในชีวิต” เขาว่าอย่างนั้นเมื่อเรานั่งสนทนากันเรื่องงานและชีวิต

หลังลาออก อดีตบรรณาธิการหล่อเลี้ยงปากท้องด้วยการเขียนคอลัมน์และรับจ้างทำคอนเทนต์ เปิดร้านหนังสือขนาดเล็กมากชื่อ Booklo และก่อตั้งเว็บไซต์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทางการเงินชื่อ ‘Name Me Norm’ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เรามาพบกันในวันนี้

ในโลกที่เราต่างโฟกัสที่ความสำเร็จ หนังสือฮาวทูครอบครองพื้นที่เบสต์เซลเลอร์ สื่อรุมล้อมผู้ชนะในเวทีหรือสนามต่างๆ เว็บไซต์ Name Me Norm สนใจโลกอีกด้าน เขาตระเวนสัมภาษณ์ผู้คนต่างๆ เพื่อบอกเล่าโลกอีกมุม โลกของคนที่มีชีวิตเป็นปกติ ไม่ได้มุ่งหวังจะประสบความสำเร็จ โลกของผู้แพ้ โลกของใครบางคนที่แสงไฟไม่ได้สาดส่อง แต่ยังคงทำหน้าที่ของตนเองอย่างแข็งขันในทุกวัน

กับชีวิตที่แทบไม่มีใครสนใจ เขาสนใจอะไร นั่นคือสิ่งที่น่าสนใจ

และในโลกที่เราต่างมุ่งหวังความสำเร็จ อะไรทำให้เขามองเห็นความพิเศษจากชีวิตปกติ

เห็นคุณตั้งสเตตัสว่าชีวิตกลับมาว่างงานในวัย 43 ก่อนหน้านี้ชีวิตเคยว่างงานมาก่อนไหม

ทั้งชีวิตเคยว่างงานอยู่ช่วงสองช่วง เราตกงานครั้งแรกประมาณปี 2542-2543 ช่วงนั้นเราทำงานค่ายเพลง เป็นช่วงที่ซีดีซบเซาเพราะเจอ MP3 บริษัทเจ๊งคาตาเลย ต้องเอาเทปไปขาย ไปทำลาย ว่างงานครั้งนั้นเราไม่ได้เลือก ไม่ได้เตรียมตัวเลย

แล้วการว่างงานครั้งนี้แตกต่างจากการว่างงานครั้งก่อนๆ ไหม

ครั้งนี้เรามั่นคง เป็นความรู้สึกที่ต่างจากครั้งแรก เพราะครั้งแรกไม่รู้อะไรเลย ถ้าพูดภาษาแบบสติกเกอร์ท้ายรถสิบล้อก็คือ พรุ่งนี้จะแดกอะไรก็ยังไม่รู้ แต่ครั้งนี้เรารู้ว่าจะหาเงินจากอะไร ประสบการณ์เราเยอะขึ้นตามวัย กลับไปดูคอนเนกชั่นต่างๆ เรารู้ว่าพอทำอะไรได้บ้าง แม้จะไม่มีงานประจำแต่มีงานเขียนคอลัมน์ รู้ว่าปีนี้จะได้เงินค่าลิขสิทธิ์แปลหนังสือท่ามกลางความไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร แต่เรารู้ว่าแหล่งอาหารของเราอยู่ไหน วางแผนได้ ทุกวันนี้เรารู้สึกมั่นคงขึ้น ไม่กลัว

ที่ว่ามั่นคง เป็นความมั่นคงในนิยามของคุณเองหรือนิยามของสังคม

มันเป็นความมั่นคงในนิยามของเรา

นิยามคำว่ามั่นคงของคุณต่างจากคนอื่นยังไง

ความมั่นคงทั่วๆ ไปก็คงหมายถึงมีเงิน มีอะไร ซึ่งเรื่องรายได้เราก็คงไม่ได้มั่นคงมากนักเมื่อเทียบกับคนอื่น เราแค่รู้ว่าเดือนหนึ่งต้องใช้อะไรบ้าง ให้ที่บ้าน ให้ภรรยาเก็บไว้ใช้ ค่ารถ ค่าบัตรเครดิต เรารู้รายจ่ายแต่ละเดือนที่แน่นอน รู้ว่าเงินที่มีอยู่ cover ได้ รู้ว่าเงินที่จะหาได้ในอนาคต cover ได้ เพราะฉะนั้นหนี้ที่มีเราก็รู้วิธีจัดการ ถ้ามีเงินมากหน่อยก็ใช้จ่ายมากหน่อยได้ หรือถ้าเงินไม่มา ก็ให้ความสำคัญกับหนี้ก่อน

แต่สิ่งสำคัญเราว่ามันเป็นเรื่องความมั่นคงทางใจมากกว่า สมัยที่เป็นหนุ่มเรารู้สึกว่าถ้ามีอะไรทำให้ปั่นป่วน ทำให้พัง เราจะพังได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราไม่พังง่ายๆ แล้ว เพราะหนึ่ง เราแก่แล้ว เรารู้ว่าเราดีไม่ดียังไง ประเมินตัวเองได้ สองคือเรารู้ว่ายังไงแฟนก็ซัพพอร์ตเราในแง่กำลังใจ อันนี้มันเป็นความมั่นคงที่แท้จริง กูแพ้เมื่อไหร่กลับบ้านมาแฟนกูก็อยู่ข้างกู

เมื่อวานมีคนเห็นเว็บไซต์ Name Me Norm ที่เราทำ เขาโทรมาบอกว่าอยากให้ช่วยทำเว็บไซต์ของศิลปินคนหนึ่ง พอเราวางหูก็เล่าให้เต้ (จิราภรณ์ วิหวา–ภรรยา) ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ผัวเมียก็อัพเดตกัน เต้ก็บอกว่า เห็นไหมว่าเว็บไซต์ Name Me Norm พาเราไปได้ ซึ่งสิ่งที่เต้พูดอาจจะผิด หรืออาจจะถูกก็ได้ แต่ว่ามันทำให้รู้ว่าเรามีแบ็กอัพที่ดี ไม่ได้หมายถึงให้เงินนะ แต่หมายถึงแบ็กอัพแบบยังไงเราก็ไม่แพ้น่ะ แพ้เมื่อไหร่ภรรยาของเราก็จะหนุนให้เราไม่แพ้

สิ่งนี้สำคัญต่อชีวิตมนุษย์ยังไง การมีคนอยู่เคียงข้าง

คือถ้าลองเราแพ้ชีวิตแบบมากๆ แพ้ไปทุกอย่างแล้วกลับบ้านไม่ได้ เราเคยกลับบ้านไม่ได้ เคยกลับบ้านแล้วไม่เจอใคร แล้ววันนั้นอ่อนแอเหี้ยๆ ทั้งงาน ทั้งชีวิต ทั้งความรัก ทั้งเงิน ทุกอย่างพังพินาศ ถ้าเคยผ่านจุดนั้นมาจะรู้ว่าถ้ากลับบ้านแล้วมีคนอยู่ตรงนั้น มันดีที่สุดแล้ว

สมมติถ้างานแพ้ สิ่งที่ทำไม่มีใครสนใจ แต่เรารู้ว่ากูกลับบ้านไปกูก็ยังมีข้าวกิน กูกลับบ้านไปคืนนี้กูก็ยังดูทีวี ยังดูคลิปอะไรกับเมียกูได้ เมียกูก็คงจะพูดอะไรสักอย่างปลอบใจกู แล้ววันรุ่งขึ้นกูก็จะมีแรงทำอย่างอื่นต่อไปได้ แค่นั้นเอง

เท่าที่ฟังมันเรียบง่ายมาก

มันไม่ควรมีอะไรยากหรือเปล่าวะ เพราะว่าถ้ามันยากมันจะทำให้ความพ่ายแพ้ของเรายิ่งย่อยยับ เราไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องมีครอบครัวนะ อาจจะไม่ต้องเป็นรูปแบบครอบครัวก็ได้ แต่การมีใครสักคนที่ซัพพอร์ตเรา มันทำให้เราไม่กังวลอะไร เหมือนเราโดดลงมาแล้วเรารู้ว่ามีฟูกอยู่ข้างล่าง เราก็พร้อมจะกระโจนสุดตัว เพราะเรารู้ว่าถ้าเราเจ็บเราก็มีฟูกคอยรับอยู่ เราไม่ถึงกับแตกหัก บุบสลาย

ในวัยขึ้นต้นด้วยเลข 4 การลาออกจากงานประจำมาทำเว็บไซต์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ถือเป็นการเสี่ยงผิดเวลาหรือเปล่า

(นิ่งคิดนาน) ถามว่าเสี่ยงผิดเวลาหรือเปล่า ก็อาจจะนะ เราไม่แน่ใจ แต่เรากลับรู้สึกว่า เราไม่เสี่ยงเลย เราจะเสี่ยงกับธุรกิจที่ลงทุน 3,000 บาท เหรอ

เวลาเราบอกว่าเราเสี่ยงกับอะไรสักอย่าง คำถามมันอยู่ที่ว่า เราให้ความสำคัญกับโอกาสอะไรมากกว่ากัน โอกาสที่จะได้ทำหรือโอกาสที่จะได้เงิน เวลาที่เราบอกให้คนหนุ่มสาวออกไปเสี่ยงชีวิต อยากจะออกก็ออกไปเลยมึง นั่นเพราะว่าโอกาสที่จะได้เงินมันยังมีอยู่ แต่ตอนที่เราบอกตัวเองว่าอายุ 40 กว่าแล้ว มึงเสี่ยงไปเลย โอกาสที่เราจะได้ทำมันคือโอกาสนี้เท่านั้น ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็อาจจะไม่ได้ทำอีกแล้ว ถ้าเราไปทำงานประจำ เราก็อาจจะสูญเสียโอกาสที่จะได้ทำ Name Me Norm

อุดมคติไปไหม ลาออกจากงานเงินเดือนสูงๆ มาทำสิ่งที่อยากทำโดยไม่มีรายได้อะไรจากมัน

เราคิดไว้แต่แรกอยู่แล้ว เราไม่ได้อุดมคติ ไม่ได้โลกสวย เรารู้ว่าทำไปก็ไม่ได้เงินหรอก แต่ลงทุนแค่ 3,000 บาทต่อปี ช่างแม่งเหอะ ซื้อรองเท้าสตั๊ดใหม่ยังแพงกว่านี้อีก เราใช้เท่านี้แล้วเราไปโลภเอาที่อื่น ไปตะกละที่อื่น ใครจ้างงานเราคิดราคาแพงมากเพราะเราคิดว่าเรามีคุณค่า แต่เรารับประกันคุณภาพ เวลางานขายเราโคตรนักธุรกิจเลย ไม่อย่างนั้นที่ผ่านมาเราเป็นคนบริหารไม่ได้หรอก ปีที่แล้วเราทำให้บริษัทจากไม่มีเงินสักบาทมีรายได้เดือนละล้าน เราทำไม่ได้หรอกถ้าเราเป็นคนโลกสวย เพียงแต่ว่าไอ้ Name Me Norm เราคิดไว้แล้วว่าจะไปหน้าเลือดกับงานอื่น ส่วนงานนี้รายได้ของเรามันไม่ได้เป็นตัวเงิน

การทำเว็บนี้ทำให้เราได้ไปเที่ยวสกลนคร ทำให้เราได้ไปนั่งคุยกับพี่จ้อย นรา (พรชัย วิริยะประภานนท์) ที่สนิทกันมากแล้วเราไม่ได้เจอเขาเลย หรือตอนไปหาพี่ไช้ (วิมลศักดิ์ ปัญชรมาศ) กินข้าวฟรีด้วย ทำไมต้องวัดมันด้วยเงินล่ะ เราวัดมันด้วยอย่างอื่น เราวัดมันด้วยการที่พี่จ้อยบอกว่า “เฮ้ย คิดถึงต๊ะมากเลย ไม่ได้เจอต๊ะตั้งนาน” เราสัมภาษณ์เสร็จแล้วเราเดินไปกินข้าวกัน นั่งคุยกันต่อเรื่องหนังสือ สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าเสียเวลา แต่สำหรับเรา นั่นแหละรายได้

จุดไหนที่ทำให้คุณอยากทำเว็บไซต์ Name Me Norm

เราอยากทำงานเพื่อจะรู้ว่าเรามีความหมายอะไร มึงเกิดมาทำไม มึงทำงานไปทำไม คำถามง่ายๆ เราทำงานไปทำไม ที่ผ่านมาการเป็นผู้บริหาร การมีนามบัตรใหญ่โต การไปนั่งหัวโต๊ะ มีคนเอากาแฟมาให้ มันไม่ได้ทำให้เราได้คำตอบ พออายุ 40 เป็นต้นมาเราเริ่มคิดว่า เราทำงานไปทำไม เรามีประโยชน์อะไร เรามีความหมายอะไรกับตัวเราเองบ้าง เราเลยอยากทำงานที่มีความรู้สึกว่ามันได้ตอบคำถามหลายๆ อย่างว่าความลำบากคืออะไร ชีวิตคืออะไร งานคืออะไร คุณค่าคืออะไร ผ่านคนที่เราอยากถามเขา

Name Me Norm เป็นเว็บไซต์ที่คอนเซปต์ค่อนข้างเอาแต่ใจมากเลยนะ เราอยากสัมภาษณ์คนที่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือเปล่า แล้วทำไปเรื่อยๆ ทำไม่หยุด ทั้งที่คนเห็นและไม่เห็น คนที่ทำอะไรที่ดูแล้วไม่น่าจะเวิร์ก เป็นลูสเซอร์นิดๆ เราอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงทำ อยากรู้ว่าเขาเจออะไร อยากรู้ว่าเขาสู้กับอะไรบ้าง เพราะอะไร เผื่อว่าสิ่งที่เขาบอกเรา เราจะตักตวงไปใช้กับตัวเองได้ เราทำงานด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความโลภเลย แต่สิ่งที่เราโลภมันไม่ใช่เงินไง เราอยากรู้ความหมาย

ถ้าพูดถึงคอนเซปต์ มันเกิดขึ้นจากสองอย่าง อย่างที่หนึ่งคือเราเคยอ่านหนังสือท่านพุทธทาสภิกขุแล้วเราจำประโยคหนึ่งได้ ท่านพุทธทาสบอกว่า ‘การทำงานคือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง’ เราไม่ต้องเข้าวัดเพื่อปฏิบัติธรรม แต่เราทำงานเพื่อปฏิบัติธรรม เราฝึกขันติได้ด้วยการอดทนคนเฮงซวยในที่ทำงาน เราไม่โกรธเขา เราทำงานล้มเหลวแล้วเราเรียนรู้ ทำใหม่ให้ดีกว่าเดิม นั่นก็เป็นการปฏิบัติธรรมในแง่ของวิริยะ อุตสาหะ การปล่อยวาง คือเราไม่ต้องเข้าวัด เราไม่ต้องสมาทานศีลด้วยการท่องนะโม แต่เราทำงาน เราเรียนรู้ แล้วเราพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เรารู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมแบบนี้สนุกกว่า เพราะว่ามันเล่นเน็ตได้ ไปกินของอร่อยได้

สองคือ โดยรสนิยมส่วนตัวเราชอบคนที่ไม่โดดเด่นมาก เราไม่ชอบคนแถวหน้า เราไม่ชอบคนเบอร์หนึ่ง เรารู้สึกว่าเขาเก่งนะ แต่เขามีพื้นที่เยอะแล้ว ทุกคนให้พื้นที่เขาหมดแล้ว แล้วตลอดชีวิตการทำงาน ไม่ว่าตอนที่ทำ MTV, HAMBURGER, The Hollywood Reporter Thailand หรืออะไรก็ตามในชีวิตที่ผ่านมา เราเจอคนแบบนี้มาตลอด พูดไปเหมือนน่าหมั่นไส้นะ แต่เบอร์หนึ่งในเมืองไทยเราสัมภาษณ์มาหมดแล้ว นายกฯ เราก็สัมภาษณ์มา 2 คน นักร้อง นักแสดงไม่ต้องพูดถึง เราไม่ได้ตื่นเต้นที่จะเจอเบอร์หนึ่ง คือเราเคารพเขานะ แล้วเราก็รู้ว่าเพราะอะไรเขาจึงพัฒนาตัวเองมาเป็นเบอร์หนึ่งได้ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากรู้

เราชอบเบอร์รองๆ ชอบคนที่พ่ายแพ้แล้วเหมือนว่าเขาหายไป เราอยากรู้ว่าระหว่างนั้นเขาเจออะไรบ้าง เราอยากรู้ว่าคนที่พ่ายแพ้ ถ้ามันพ่ายแพ้ในสังเวียนที่มันสู้ แล้วมันยังทำงานอยู่หรือเปล่า มันยังทำสิ่งเดิมอยู่หรือเปล่า สมมติว่าร้องเพลงแล้วไม่ดัง มันยังร้องเพลงอยู่หรือเปล่า ถ้ายังร้องเพลงอยู่ เราอยากคุยกับมันว่า มึงไม่ดัง มึงตกรอบ มึงแพ้คัดออก ทำไมมึงยังร้องเพลงอยู่

ในสังคมที่ทุกคนเข้าหาผู้ชนะ ทำไมคุณเลือกเข้าหาผู้แพ้

เราอาจจะเป็นลูสเซอร์ก็ได้นะ เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เก่งอะไร เราเป็นคนเฮงซวยประมาณหนึ่งเลย ทำอะไรล้มเหลวก็เยอะ ทำอะไรไม่เวิร์กก็บ่อย ทำร้านกาแฟ Yellow Submarine ก็น้ำท่วม ร้านเจ๊ง ทำสำนักพิมพ์ชื่อมหาสมุดก็เป็นหนี้เป็นสินจนฝันร้ายไปหลายปี เราไม่เคยประสบความสำเร็จสูงสุด และเราไม่คิดที่จะเป็นด้วย มันก็เลยทำให้เราเข้าใจคนที่ไม่จำเป็นต้องชนะในสังคมอยู่พอสมควร เราใช้คำว่า ไม่จำเป็นต้องชนะ เพราะสุดท้ายแล้วเขาแข่งกับตัวเอง เขาอาจจะพ่ายแพ้ในการประกวด และเราหลายคนก็พ่ายแพ้ในการประกวด แต่กับตัวเองมึงพ่ายแพ้ไหม คนเรียกเขาว่าลูสเซอร์ เราอยากรู้ว่าเขาลูสเซอร์กับตัวเขาเองไหม สุดท้ายมันกลับไปตอบคำถามว่า แล้วเราลูสเซอร์กับตัวเราเองไหม

แล้วคุณเองรู้สึกลูสเซอร์กับตัวเองไหม

เราว่าเราไม่นะ เราลูสเซอร์ในเกมคนอื่น แต่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็เก็บเกี่ยวบางอย่างมาทำให้เราดีขึ้น เราก็เลยอยากคุยกับคนที่ทำงานจนบรรลุธรรมบางอย่างตามที่ท่านพุทธทาสบอก อยากคุยกับคนที่ไม่ใช่เบอร์ต้นๆ ของประเทศ คนที่แพ้ตกรอบทั้งหลาย แล้วเราก็อยากคุยกับคนที่เขามีชีวิตอยู่ตลอด แต่ไม่มีใครไปหาเขา แล้วเราก็ชอบคิดว่าเขาหายไป อย่างพี่จ้อย นรา บางคนบอกว่าพี่เขาหายไปนานเลย แต่พี่จ้อยไม่ได้หาย (เน้นเสียง) นึกออกไหม เขาก็อยู่ของเขา เขาระบุพิกัดแห่งที่ได้ตลอด แต่มึงไม่สนใจเขาไง แล้วมึงก็ไปคิดว่าเขาหาย มึงอาจจะพูดด้วยความห่วงใยว่า พี่จ้อยหายไปไหน แต่ไม่ใช่ เขาโอเคดี เขาแฮปปี้ดีกับชีวิต อย่าไปตัดสินเขา เราแค่อยากไปเจอคนเหล่านี้ คนที่คุณไม่รู้ว่าเขายังทำงานอยู่ คนที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาเป็นปกติ ทำงานเหมือนเป็นการใช้ชีวิต โดยที่ไม่ต้องสนใจว่าใครยังสนใจเราหรือเปล่า ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียง เขาก็ยังทำงานอยู่

ทำไมคิดว่าจะได้คำตอบของคำถามยากๆ ในชีวิตจากเหล่าลูสเซอร์ แทนที่จะเป็นเหล่าวินเนอร์

เราเคยคุยกับวินเนอร์มาแล้ว เรารู้สึกว่าคำตอบมันก็เท่ดี แต่ถ้าพูดกันแบบน่าหมั่นไส้ เราไม่ซื้อน่ะ ไม่รู้ทำไม เช่นบอกให้พยายามสิ พยายาม แต่มันไม่ใช่ไง ไม่ใช่เรื่องพยายามอย่างเดียว พยายามน่ะใช่ แต่ว่าเป็นเรื่องอย่างอื่นด้วย เราถูกสอนให้พยายาม ต่อสู้ ประสบความสำเร็จ ซึ่งมันก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด มันยังมีคนที่พยายาม ต่อสู้ ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ยังสู้อยู่ ยังทำอยู่ เพื่ออย่างอื่น ไม่ได้เพื่อการขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง มันยังมีคนอย่างนั้นอยู่

ถ้าสิ่งที่คนที่เป็นเบอร์หนึ่งพูดมันจริง ที่ให้พยายาม ต่อสู้ มีความฝัน เราต้องประสบความสำเร็จกันทั้งประเทศแล้วนะ นึกออกไหม การที่เรายังไม่ประสบความสำเร็จมันพิสูจน์แล้วว่า พยายาม ต่อสู้ มีความฝัน มันไม่ใช่แค่นั้นที่จำเป็น มันยังมีอย่างอื่นด้วย ยังมีเรื่องโอกาสด้วย มีเรื่องต่างๆ ด้วย แล้วเราก็รู้สึกว่าสิ่งที่คนที่เราเลือกน่าจะตอบคำถามได้ดีกว่าคนที่เป็นเบอร์หนึ่งทั้งหลายก็คือ คุณจัดการชีวิตยังไงในวันที่ไม่มีใครอยู่กับคุณ คนเป็นเบอร์หนึ่งทั้งหลายไม่มีทางตอบคำถามนี้ได้ เพราะเขาแวดล้อมด้วยอะไรเต็มไปหมด

เราอยากรู้ว่าเมื่อมันไม่มีคุณค่าในรูปแบบที่สังคมตั้งมาตรฐานเอาไว้ว่า มนุษย์ที่ดีต้องมีงาน มีเงิน มีคนรัก เมื่อไม่มีคุณค่าตามที่สังคมตั้งไว้เป็นค่ามาตรฐาน เขาจะไม่ใช่คนเหรอ เราถึงอยากให้เขาพูดว่า เขาจัดการมันยังไง เขาคิดอย่างไรกับคุณค่าที่สังคมบอกว่าต้องมีความสำเร็จ มีบ้าน มีรถ มีฐานะ มีชื่อห้อยท้าย

เวลาคุณมองคนเหล่านี้ คุณมองด้วยสายตาแบบไหน สงสาร เห็นใจ หรืออะไร

ไม่เลย เราไม่ได้มองด้วยสายตาแบบไหน เราไม่ได้เห็นใจ เพราะไม่ได้รู้สึกว่าเขาน่าเห็นใจ เราไม่ได้สงสาร เพราะไม่ได้รู้สึกว่าเขาน่าสงสาร เราแค่ไปหาเขา คุยกับเขา เอาสิ่งที่เขาพูดออกมาให้คนอ่าน คนอ่านจะได้อะไรเราไม่รู้ แต่เราได้ เรารู้ว่าคนนี้คิดอย่างนี้ เผื่อว่าวันหนึ่งเราตกเข้าไปในจุดที่แย่จนเราไร้สิ่งยึดเหนี่ยว คำพูดของคนเหล่านั้นจะช่วยเราได้ หรือในทางตรงกันข้าม เผื่อว่าวันหนึ่งเราเกิดฟลุกขึ้นมา ไปเป็นคนเบอร์หนึ่ง ซึ่งไม่มีทางหรอก คำเหล่านี้จะช่วยดึงไม่ให้เราเป็นคนอย่างที่เราไม่อยากเป็น

ในแง่คนอ่าน เราอ่านเรื่องคนที่ประสบความสำเร็จเพราะอยากไปถึงจุดนั้น แล้วเราจะอ่านเรื่องของคนที่ไม่ได้มุ่งหวังจะประสบความสำเร็จไปทำไม

เราว่าชีวิตทุกชีวิตเมื่อใช้ชีวิตมาถึงจุดหนึ่ง มันไม่มีหรอกชีวิตที่ไม่มีความหมายกับตัวเอง เราเองมีชีวิตมาถึงอายุ 40 กว่า บางคน 50 บางคน 30 กว่า ผ่านทุกข์สุข ผิดหวัง สมหวัง เราว่าทุกคนมีคำตอบให้กับชีวิตของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ ถามว่าทำไมคนต้องมาอ่าน เราก็ต้องถามกลับว่า แล้วทำไมเราต้องอ่านความหมายของคนที่จำกัดอยู่แค่คนกลุ่มเดียวด้วย เราเป็นแค่อีกทางเลือกหนึ่ง เราแค่เชื่อว่าคนเหล่านี้ก็มีคำตอบให้กับคนอ่านเหมือนกัน ถ้าคุณยังไม่เบื่อพวกนั้นคุณก็อ่านไป เราก็มีคำคมเยอะแยะ เราก็มีคนเท่ๆ เจ๋งๆ เยอะแยะ ก็อ่านไป ไม่ผิด วันหนึ่งคุณก็อาจจะเจ๋งแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตอื่นๆ มันไร้ความหมาย เราแค่อยากทำอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง

อะไรคือสิ่งที่คุณมักจะถามคนที่มีโอกาสได้ไปคุย

วันที่เหงาที่สุดเขาดีลกับตัวเองยังไง เราไม่ได้ตั้งใจเป็นคำถามหรอกนะ แต่เรามักจะสังเกตหลังจากคุยมาแล้วสิบกว่าคน วันที่เดียวดายที่สุด เหงาที่สุด แพ้ที่สุด เขาเป็นยังไง ซึ่งเราได้คำตอบแตกต่างกันมาก บางคนก็เจ็บปวด บางคนก็เหงา อายุเท่านี้แล้วยังไม่มีแฟน บางคนก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย

สนใจอะไรในวันที่เดียวดายที่สุด เหงาที่สุด แพ้ที่สุด

เราว่าส่วนใหญ่เราไม่ค่อยจินตนาการถึงวันที่เราพ่ายแพ้ ไม่ค่อยจินตนาการถึงวันที่เราลำบาก ไม่ค่อยจินตนาการถึงวันที่เราทำอะไรบางอย่างโดยที่ยังไม่มีใครเห็น เราไปจินตนาการถึงวันที่เรามีคนเห็นแล้ว

เราเคยคิดเล่นๆ ถึงตอนที่ทำร้านกาแฟ ตอนนั้นเราไร้เดียงสามากเลย เราทำร้านกาแฟด้วยความว่างเปล่าในใจ เราว่าเก๋ดีว่ะ เราชอบกินกาแฟ ร้านกาแฟมันบรรยากาศรื่นรมย์ อะไรต่างๆ นานา แต่เราไม่เคยรู้เลยถึงตอนที่ต้องตื่นมานั่งรอน้ำแข็ง ตอนเช็ดถูร้าน ในร้านมีหนู มันไม่โรแมนติกเลย เราไม่เคยรู้จนกว่าเราจะได้เจอเอง วันที่น้ำท่วมร้าน 1.20 เมตร เราน้ำตาไหล ที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้ถึงสิ่งที่เราต้องเผชิญ ต่อให้คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะพร่ำบอกเรายังไง ใจเราก็ไม่เคยโฟกัสกับสิ่งนั้น ใจเรามันเห็นเวที มันเห็นแสงไฟ มันเต้นระบำอยู่ตรงนั้น มันเรืองรอง ขนาดเขาเตือนแล้วว่ามันมีหายนะ วิธีเดียวที่เราจะสัมผัสมันได้คือเราต้องลงไปทำเอง ซึ่งเราแค่อยากให้คนเหล่านี้ได้ถ่ายทอดเรื่องแบบนั้นออกมา แต่เราก็ไม่รู้ว่าคนอ่านจะเห็นเหมือนอย่างที่เราอยากให้เขาเห็นหรือเปล่า เขาอาจจะเห็นแค่ว่ามันก็เป็นความเท่อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้ปรารถนาสิ่งนั้น เราอยากให้เขาโฟกัส เราถึงใช้คำว่า norm เพราะอยากให้มันเป็นปกติที่สุด

เราอยากพูดเรื่องความปกติ ปกติที่มีขึ้นมีลง ขึ้นก็ดีใจ ตกก็เจ็บ เท่านั้นเอง เราถึงใช้คำว่า normal เราไม่อยากใช้คำว่า เรียบง่าย ธรรมชาติ เพราะมันไม่ใช่ สำหรับเรา เราไม่ได้สนใจความเรียบง่าย

แล้วหลังจากที่ได้ตระเวนคุยกับบุคคลต่างๆ คำถามที่เคยสงสัยก่อนทำเว็บไซต์คลี่คลายลงบ้างไหม

คลี่คลาย ตั้งแต่ตอนเราเตรียม ตอนออกไปคุย มันทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้นว่าชีวิตมันคือการทำไป ทำไปเรื่อยๆ ชีวิตมันไม่มีการทำตามความฝัน การทำตามความฝันมันเป็นหลักสูตรเบื้องต้น ที่ผ่านมาเรามีคนพูดหลักสูตรเบื้องต้นเยอะแล้ว เราคงไม่พูดแบบนั้น

มีคนพูดเรื่องการทำตามความฝันอันสูงส่ง ต่อสู้เพื่อความฝัน แลกมาด้วยความฝัน มันมีคนพูดเรื่องนั้นเยอะแล้ว แต่ยังไม่มีใครพูดเรื่องมึงทำไป วันที่ความฝันมึงพัง มึงก็ยังทำไป ทำไปเรื่อยๆ ยังทำอยู่ และจะทำต่อไป วันที่หันไปไม่เห็นใคร กูก็ยังทำอยู่ เพราะเราทำเว็บเราก็ทำของเราคนเดียว เราก็ทำไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่เราจะบอกกับตัวเองว่า โอเค พอ

อะไรทำให้เชื่อในการทำไปมากกว่าการทำตามความฝัน มันไม่ดูไร้ซึ่งความทะเยอทะยานเหรอ

จิโร่ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานไหมล่ะ ลุงเขาก็ทำซูชิมาทั้งชีวิต หรือเคยไปกินร้านอาหารที่ลุงคนทำเขาเก๋าๆ ไหมล่ะ แบบที่เขาหยิบโดยไม่ต้องมอง แล้วแม่งอร่อย คิดว่าง่ายเหรอ เราว่าไม่ง่ายนะ แล้วการจะทำได้แบบนั้น อย่างจิโร่หรือลุงเก๋าๆ ที่ทำร้านอาหาร มันไม่ได้ทำได้หลังจากที่ประสบความสำเร็จแล้วนะ แต่มันต้องทำต่อไปเรื่อยๆ มือถึงจะนิ่งขนาดนั้น จิโร่เขาดังมาตั้งนานแล้วนะ ถ้าจะหยุดก็ได้ ถ้าเขาวางมือตั้งแต่ได้มิชลินสตาร์เลยก็ได้ ให้ลูกชายมาทำต่อก็ได้ แต่เขายังไม่วาง เขาก็ยังทำต่อไป เขาไม่ได้สนใจว่าต้องหยุด ทำไมต้องหยุด คนที่ควรจะบอกว่าเราจะหยุดได้คือเราคนเดียว

การทำไปมันคนละความหมายกับอยู่ไปวันๆ ใช่ไหม

อยู่ไปวันๆ คือไม่ได้ทำอะไร แต่นี่เราอยู่ทุกวันด้วยการทำไป เราพยายามบอกตัวเองให้ทำงานไปทุกวัน

เรามีองค์ความรู้เรื่องการสร้างแรงบันดาลใจ ไปให้ถึงความฝันเยอะแล้ว แต่ว่าหลังจากนั้น เรายังไม่มีองค์ความรู้เรื่องการยืนระยะเลย มันคือการยืนระยะ บทสัมภาษณ์พี่จ้อย นรา คือการบอกให้รู้ว่าการยืนระยะคืออะไร การยืนระยะมันคือ after sex อย่างหนึ่ง เมื่อคุณมีเซ็กซ์อันสุดยอดแล้ว คุณจะทำยังไงให้มันยืนระยะไปได้เรื่อยๆ สมมติว่าการบรรลุเป้าหมายคือเซ็กซ์ที่ดี เราทำยังไงให้มันมีคุณค่าขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เหมือนครั้งแรก มันต้องหาความหมายไปเรื่อยๆ คนที่ทำงานประสบความสำเร็จแล้วได้เท่าเดิมทุกชิ้น มันก็ดูประสบความสำเร็จดีใช่ไหม แต่สำหรับเรามันเหมือนไม่ได้ไปไหนเลยนะ เพราะเขายังไม่เจอความล้มเหลวเลย หรือเขาอาจจะเคยเจอ แต่เขาไม่เคยถ่ายทอดความล้มเหลวนั้นออกมา เราสนใจเรื่องนี้เท่านั้นเอง

ถ้าชีวิตที่ดีสำหรับคุณไม่ได้ยึดติดกับความสำเร็จ แล้วชีวิตที่ดีในความคิดของคุณเป็นยังไง

ชีวิตที่เรารู้ว่าความหมายของเรากับสิ่งรอบข้างคืออะไร เรามีคุณค่าอะไรกับตัวเราเองบ้าง เรามีคุณค่าอะไรกับโลกใบนี้บ้าง เช่น เราเกิดมาทำบทสัมภาษณ์ให้คนอ่านที่กำลังท้อแท้ หรือกำลังดิ้นรนในการหาตัวเอง ได้รู้ว่ามันไม่ได้มีหนทางเดียว อยากให้คนที่กำลังเหนื่อยรู้ว่าไม่ต้องกังวล ความล้มเหลวหรือไม่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เราอยากเป็นเพื่อนเขา ให้เขารู้สึกว่าเขาไม่วังเวงในความมืด แค่นี้เราคิดว่าเรามีประโยชน์กับสังคมแล้ว เราไม่ด่วนตัดสินคนอื่น เราเดินออกไปเจอคน เราพร้อมจะฟังเขา

ชีวิตที่ดีของเราคือชีวิตที่ได้ทำอะไรมีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี แต่มีประโยชน์กับตัวเรามากๆ ทำให้เรารู้ว่า กูก็ใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า กูไม่ได้แย่หรอก อย่างน้อยแม่กูก็รอกูทุกเดือน สิ้นเดือนก็ยังได้ดูแลครอบครัว ให้เงินแม่ได้ตามศักยภาพที่เรามี โชคดีที่มีคนเข้าใจ ถ้าคนข้างๆ เราไม่เข้าใจก็คงลำบาก เราคงอยู่อีกไม่เกิน 30 ปี อีก 20 ปีเราก็น่าจะเลิกทำงานแล้ว อีก 15 ปีเราก็น่าจะทำงานน้อยลงแล้ว อีก 10 ปีเราก็คงนั่งหน้าคอมฯ ได้ไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมงแล้ว จะเอาอะไรนักหนากับชีวิต

คุณเขียนในสเตตัสตอนเริ่มทำเว็บไซต์ว่าอยากคุยกับคนที่ทำงานอย่างหนักแน่น ใช้ชีวิตอย่างนุ่มนวล คำว่า ‘ใช้ชีวิตอย่างนุ่มนวล’ ที่คุณว่าเป็นยังไง

เวลาเราเป็นหนุ่ม คนหนุ่มมันจะทำงานหนัก ฝันหนัก เพราะเชื่อว่าการทำงานหนักจะนำไปสู่คำตอบบางอย่างของชีวิต นำไปสู่ความสำเร็จก็ดี คุณค่าบางอย่างก็ดี ซึ่งไม่ผิด เราคาดคั้นกับตัวเองเยอะ เอาเป็นเอาตายกับตัวเองเหลือเกิน กูพยายามไม่มากพอเหรอ ทำไมกูถึงล้มเหลว ทำไมกูถึงไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างพี่คนนี้ อย่างพี่คนโน้น กูทำอะไรผิดไปเหรอ กูทำงานน้อยไปเหรอ ไม่นะ กูทำงานหนักจะตาย เรามองว่าอย่างนั้นคือการทำงานหนัก และก็ใช้ชีวิตหนัก ซึ่งเราก็เคยเป็น เราไม่ได้ดีเด่กว่าใครเลย ตอนเป็นวัยรุ่นเราอยากเป็นคนเท่ๆ อยากมีตัวตน แต่วันหนึ่งพอเราเลิกคาดหวัง ไม่คิดว่าเราจะเป็นอะไรหรือจะมีใครมาสนใจ ชีวิตมันเบาขึ้น

เรายังทำงานหนักเหมือนเดิม แต่เราเลิกคาดหวัง เลิกเอาตัวเองไปเปรียบกับคนนั้นคนนี้ เริ่มไม่ต้องอยากเท่ เริ่มช่างแม่ง เริ่มทำงานเพื่อปฏิบัติธรรมอย่างที่ท่านพุทธทาสบอก เราปฏิบัติธรรมเพื่อทำให้ตัวเราดีขึ้น สุดท้ายเรากลับมาโฟกัสว่าเราทำงานให้ตัวเองดีขึ้น แต่โดยธรรมชาติการที่จะคิดได้แบบนั้นมันต้องใช้เวลา เวลาจะขัดเกลาให้เราเป็นหินที่เกลี้ยงขึ้น เรายังเป็นหินที่หนักแน่นอยู่นะ แต่หินเรามันจะเกลี้ยงขึ้น น้ำ ลม ฝน อุปสรรค เวลา ปัญหาต่างๆ มันจะขัดให้เราเป็นหินกลมๆ เราชอบหินกลมๆ แบบนั้น หินที่จับไปแล้วไม่มีเหลี่ยม แต่ถามว่าหนักไหม หนัก ปาหัวก็แตก แต่มันไม่มีเหลี่ยมมาบาดมือ นั่นแหละชีวิตนุ่มนวลของเรา

เรามองว่าคนหนุ่มเป็นหินที่หนัก บางทีหนักกว่าหินแก่ๆ อีกนะ มวลสาร พลังงานมันเยอะ แต่มันเอาเป็นเอาตายกับชีวิตเกินไป มันเอาเป็นเอาตายกับความฝันของมันเกินไป ทำอย่างกับว่าถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จจะไร้ความหมาย ไม่ไร้ความหมาย เพราะถ้ามึงไม่ประสบความสำเร็จ เดี๋ยวกูไปหา (หัวเราะ)

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน