ธนิน TaninS ยูทูบเบอร์สายแฟชั่นผู้อยากผลักดันให้ผู้ชายไทยสนุกกับการแต่งตัวมากขึ้น

ในวันที่ตลาดแฟชั่นมีทางเลือกในการแต่งตัวให้กับผู้ชายไม่หลากหลายนัก ธนิน ศรีธวัชพงษา คือคนหนึ่งที่ตั้งใจอยากให้ผู้ชายไทยสนุกไปกับการแต่งตัวจนเปิดแชนแนลยูทูบ TaninS ของตัวเองเพื่อเล่าเรื่องนี้โดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ความรู้สึกว่าตลาดยังมีเสื้อผ้าผู้ชายไม่เพียงพอยังทำเอาเขาคันไม้คันมือ สร้างแบรนด์รองเท้า LUUI และแบรนด์เสื้อผ้า raccooneasywear ขึ้นมาเพิ่มด้วย

ย้อนกลับไปสมัยที่ยังเป็นนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ เขาคือคนที่สนุกไปกับการปรับแต่งลุคในเครื่องแบบนิสิตของตัวเองให้สนุกสนาน ด้วยการสรรหาไอเทมใหม่ๆ ที่คนคาดไม่ถึงมาแมตช์เข้ากับชุดเรียบๆ ที่ทุกคนต้องใส่เหมือนกัน

เราจึงไม่แปลกใจนักเมื่อเขาเล่าถึงการเบนสายมาสู่แวดวงแฟชั่นทันทีที่เรียนจบ TaninS

“ตอนนั้นเราซื้อเสื้อผ้ากับร้าน JBB* จนสนิทกับพี่เจ้าของร้าน เลยมีโอกาสได้ไปถ่ายแบบแฟชั่น และเริ่มไปแคสต์โฆษณา ทำอยู่สักพักก็เริ่มอินมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจไปเรียนต่อ”

เป็นช่วงเวลาที่ไปเรียนต่อในหลักสูตร Entrepreneurship ที่ประเทศอังกฤษ​นั่นเองที่ธนินเริ่มมั่นใจในความชอบที่มีให้กับรองเท้า เขาจึงตัดสินใจกลับมาเรียนทำรองเท้าที่ประเทศไทยอย่างจริงจังต่ออีกหนึ่งปี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองรู้ไม่พอ เขาจึงออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายคือโรงเรียนทำรองเท้าในประเทศอิตาลีที่ธนินใช้เวลาเรียนรู้อยู่ราวครึ่งปี ก่อนจะกลับมาลุยกับแบรนด์ LUUI ของตัวเอง

เส้นทางที่ผ่านมาของธนินเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายไม่ต่างจากรองเท้าที่เขาหลงรัก เราจึงอยากชวนเขามาเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมา ชีวิตที่เมื่อใช้ความชอบนำทาง มันก็ผลิดอกออกผลเป็นงานสนุกๆ มากมายอย่างทุกวันนี้

TaninS
TaninS

ในบรรดาไอเทมแฟชั่นทั้งหมด ทำไมคุณถึงติดใจรองเท้าเป็นพิเศษ

ส่วนตัวแล้วถ้าเทียบกับเสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ต รองเท้าเป็นไอเทมที่โดดเด่นออกมาจากชุดได้ง่ายกว่า เราเลยรู้สึกหลงใหลกับรองเท้าเป็นพิเศษ เวลาเจอใครก็ชอบแอบมองรองเท้าเขา อยากรู้ว่าเขาใส่รองเท้าอะไร

ด้วยความที่เราอินมาก เราเลยเริ่มศึกษาลึกขึ้นเรื่อยๆ จนพบว่ากระบวนการผลิตรองเท้ามันซับซ้อนและต้องใช้เวลามาก รายละเอียดของรองเท้าแต่ละคู่จึงบอกเล่าอะไรได้หลายอย่าง ใครที่เคยเรียนทำรองเท้าจะรู้เลยว่าในทุกขั้นตอนนั้นเราพลาดไม่ได้เลย ถ้าพลาดแปลว่าต้องกลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์ 

การไปเรียนที่อังกฤษเปิดมุมมองต่อรองเท้าให้คุณใช่ไหม

ใช่ ตอนนั้นเราไปเรียนคอร์สเกี่ยวกับ Entrepreneurship ซึ่งทำให้เราเริ่มเล็งเห็นช่องว่างในตลาดมากขึ้น บวกกับความชอบแฟชั่นและความอินรองเท้าของเรา ในระหว่างที่ไปเรียนเราได้เห็นหลายๆ แบรนด์ที่เป็นนักทำรองเท้าชื่อดังเก่าแก่ของอังกฤษ เราเลยมีความคิดที่อยากจะทำอะไรเป็นของตัวเองบ้าง

ใครที่เคยไปอังกฤษอาจจะเคยได้ยินชื่อ Jermyn Street เป็นถนนที่มีร้านรองเท้าเก่าแก่ตั้งอยู่เยอะมากจนได้ชื่อว่าเป็นย่านเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษประจำลอนดอน มันทำให้ผมได้รู้จักแบรนด์รองเท้าเก่าแก่ในอังกฤษหลายยี่ห้ออย่าง Edward Green หรือ John Lobb ที่ล่าสุดเพิ่งโดน Hermès เทคโอเวอร์ไป หรือ George Cleverley เป็นแบรนด์รองเท้าสไตล์เนี้ยบๆ ที่อยู่ในหนังเรื่อง Kingsman

เมื่อต้องสร้างแบรนด์รองเท้าของตัวเอง คุณนำแรงบันดาลใจเหล่านั้นมาต่อยอดยังไงบ้าง

พอสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผมมองถึงการใช้งานเป็นหลักและอิงจากสไตล์ส่วนตัวค่อนข้างเยอะ ออกตัวเลยว่าผมไม่ชอบอะไรที่มันเนี้ยบมากเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับแบรนด์ที่เล่าไปเมื่อกี้ ผมชอบอะไรที่มันดู casual เหมือนจะเรียบๆ แต่ก็มีดีเทล ดูผ่านๆ มันก็คือรองเท้าสวยๆ ธรรมดาคู่หนึ่งแหละ แต่ถ้ามองลึกๆ จะเห็นว่ารองเท้าคู่นี้มีดีเทล มีความคราฟต์ และใส่ใจรายละเอียดนะ

เป็นเพราะภูมิอากาศบ้านเราด้วยหรือเปล่าที่ทำให้คุณดีไซน์รองเท้าสไตล์ casual 

ใช่ครับ เพราะผมอยากให้ทั้งรองเท้าและเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ใส่สบาย การที่ประเทศไทยมีอากาศร้อนตลอดปีก็เป็นหนึ่งปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเลือกใช้วัสดุ อย่างตอนที่จะตัดกางเกงผมก็เลือกใช้ผ้าลินินซึ่งระบายอากาศได้ดี

รองเท้าก็เหมือนกัน ผมใช้ทรง loafer แบบไม่มีโครงที่ยังดูเนี้ยบอยู่แต่ก็ย้วยนิดๆ บิดงอได้ ใส่แล้วไม่กัด พกใส่กระเป๋าไปเที่ยวก็ได้ ที่สำคัญคือถอดเข้าถอดออกได้ง่าย เพราะด้วยวัฒนธรรมคนไทยที่ต้องถอดรองเท้าบ่อยๆ นอกจากจะใช้หนังกลับที่ใส่สบายแล้ว เรื่องของทรงก็ต้องออกแบบให้ตอบโจทย์ด้วย รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้คือส่วนสำคัญที่เราต้องเก็บมาคิดทั้งหมดตอนดีไซน์

ในฐานะคนทำรองเท้า ขั้นตอนไหนที่คุณจำเป็นต้องคราฟต์มากๆ ปล่อยผ่านไม่ได้เลย

รองเท้าคู่หนึ่งจะดีและสวยได้ผมคิดว่าการตัดเย็บต้องเนี้ยบ คุณภาพหนังต้องดี สองอย่างนี้คือสิ่งสำคัญ ส่วนเรื่องของทรงหรือดีไซน์ ผมว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องนามธรรมและขึ้นอยู่กับรสนิยม

หนังที่จะเอามาทำรองเท้าดีๆ ข้อสำคัญเลยคือมันจะต้องบางแต่แน่น ส่วนจักรที่ใช้เย็บจะต้องเป็นจักรเย็บหนังโดยเฉพาะ และใช้หัวแป้นจักรสำหรับเย็บหนังด้วยเช่นกัน คือมันสำคัญทั้งการเลือกหนังและการเลือกเครื่องจักรเลยที่จะทำให้หนังออกมาเนี้ยบ (เน้นเสียง) แบบเนี้ยบที่สุด

อย่างรองเท้าของ LUUI เราเลือกใช้หนังกลับ lambskin suede เกรดนำเข้า ที่เลือกใช้หนังแกะเพราะว่ามันนิ่มและละเอียดกว่าหนังวัว เวลาใส่เราจะได้ความรู้สึกของรูขุมขนที่เล็กมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกัน แล้วก็ยืดหยุ่นได้ดีกว่าด้วย แต่ก็จะมีความยากในการตัดเย็บเพราะหนังที่นิ่มจะดิ้นง่าย ถ้าควบคุมไม่ดีมันอาจจะยืดออก ไม่เป็นไปตามทรงที่ออกแบบไว้

แล้วกับแบรนด์เสื้อผ้า raccooneasywear คุณใส่ความคราฟต์ลงไปในความ casual เหมือนกันไหม

ถึงแม้ว่าเราจะทำเสื้อผ้า ready-to-wear แต่พวกเรื่องทรงมันก็จะมีกลิ่นอายของซาร์โทเรียล (เสื้อผ้าที่ตัดอย่างพอดีตัว) อยู่

บางคนอาจจะเข้าใจคำว่าซาร์โทเรียลว่าเป็นสูทที่ตัดเนี้ยบๆ เลย แต่ความจริงแล้วซาร์โทเรียลมันคือเสื้อผ้าอะไรก็ได้ที่วัดตัดอย่างพอดีตัว ผมก็เลยนำคอนเซปต์นี้ที่ผมชอบมาตีความใหม่และใช้กับแบรนด์ของตัวเอง นั่นคือทำเสื้อผ้าที่ใส่แล้วสวย พอดีตัว โดยที่เขาไม่ต้องไปวัดตัด เพราะเราหยิบเอาดีเทลเรื่องคัตติ้งหรือแพตเทิร์นมาจากความคราฟต์แบบซาร์โทเรียลแต่ทำให้ casual มากขึ้น

จากคนที่ชอบแฟชั่น การผันตัวมาสร้างแบรนด์รองเท้าและเสื้อผ้าของตัวเองท้าทายคุณยังไง

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของแบรนด์เสื้อผ้า raccooneasywear ผมทำเพราะว่าผมชอบและไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจังขนาดนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็ตั้งเป้าหมายใหม่ว่า raccooneasywear จะต้องโตและเลี้ยงตัวเองได้ มีเงินหมุนทุกเดือนเพราะเราต้องจ้างพนักงาน ดังนั้นเราจึงต้องปรับตัวเยอะ

ต้องยอมรับก่อนว่าทุกวันนี้ผมก็ยังทำธุรกิจไม่เก่งเลย คือในมุมของคนที่ชอบจนตัดสินใจไปเรียนทำรองเท้าด้วยตัวเอง ผมก็อยากทำเองตั้งแต่ต้นจนจบเพราะเราอยากเน้นความเนี้ยบ แต่มันเป็นไปได้ยากในแง่ธุรกิจ เราไม่สามารถหมกมุ่นกับรายละเอียดในบางจุดได้มากขนาดนั้น

มีหลายครั้งที่เราต้องยอมลดทอนบางอย่างเพื่อให้ต้นทุนอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และปล่อยให้ธุรกิจเดินต่อ ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังต้องปรับตัวอยู่เลย ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะกับการทำธุรกิจ

TaninS

พูดถึงความยากไปแล้ว คุณว่าตัวเองมีข้อได้เปรียบบ้างไหม

หลักๆ เลยคือเราได้เห็นอะไรมาเยอะ ลองผิดลองถูกมาเยอะระหว่างที่เรียน โดยเฉพาะตอนที่ไปเรียนต่างประเทศที่เรามีโอกาสได้เห็นวัสดุแปลกๆ หลายอย่างซึ่งเปิดโลกของเรามาก ทำให้รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ ต่อให้ไม่ใช่วัสดุสำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าหรือรองเท้าก็อาจจะหยิบมาสร้างสรรค์ได้เช่นกัน

อีกอย่างที่เป็นข้อได้เปรียบของผมคือเรื่องฐานคนดูของแชนแนลยูทูบด้วย คนที่ติดตามเราทุกวันนี้เป็นเหมือนสินทรัพย์เลยนะ เราสามารถเก็บฟีดแบ็กจากเขาได้เรื่อยๆ ว่าสิ่งที่เราทำมันถูกใจเขามากน้อยแค่ไหน ผมเองเก็บมาเป็นสถิติเพื่อตัดสินใจทิศทางของเราในอนาคต ขณะเดียวกันเราก็ให้ความรู้คนดูด้วย ช่วยแบ่งปันไอเดียในการแต่งตัว อันนี้เป็นจุดประสงค์หลักในการทำยูทูบของผมเลย คือเราอยากเห็นผู้ชายไทยแต่งตัวกันมากขึ้น

TaninS
TaninS

คุณมองว่าอะไรคืออุปสรรคที่ทำให้ผู้ชายไทยแต่งตัวค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ

ผมว่าเป็นเรื่องของตัวเลือกด้วย คิดง่ายๆ เวลาเราเดินเข้าห้าง เสื้อผ้าผู้ชายที่สวยๆ เน้นดีเทล เน้นแฟชั่นอาจจะไม่ค่อยเยอะเพราะด้วยความต้องการของคน ห้างหรือแบรนด์ต่างๆ เขาก็ต้องทำตามความต้องการของตลาด ถ้าจะเปรีบยเทียบให้เห็นชัดๆ ลองดูเสื้อผ้าผู้ชายในเกาหลีหรือญี่ปุ่นก็ได้ สังเกตว่าเขาจะมีหลายเฉดสีและหลายสไตล์เพราะคนส่วนใหญ่โดนปลูกฝังเรื่องการแต่งตัวมาตั้งแต่เด็ก สังคมเขาค่อนข้างหล่อหลอมให้ผู้ชายแต่งตัว

แต่ถ้าวันหนึ่งคนไทยได้รับความรู้หรือได้รับการแนะนำเรื่องการเลือกใช้สี สไตล์เสื้อผ้า รวมถึงเรื่องสไตล์ที่ส่งเสริมบุคลิกภาพมากขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็น่าจะเลือกซื้อเสื้อผ้ากันหลากหลายมากขึ้นนะ แล้วก็น่าจะเริ่มมีผลต่อตัวเลือกสินค้าในตลาดแฟชั่นด้วย คือน่าจะมีให้เลือกเยอะขึ้น

ดูเหมือนคุณค่อนข้างให้ความสำคัญกับการจับคู่สี

ใช่ๆ เราสนุกกับการจับคู่สีต่างๆ อาจจะเป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากช่วงที่ไปเรียนต่อเหมือนกัน อย่างสมัยที่ไปเรียนที่อิตาลีผมไปอยู่เมืองฟลอเรนซ์ ผมชอบวิธีการใช้สีของตึกที่นั่น มีหน้าต่างสีเขียว มีผนังตึกเหลืองๆ ส้มๆ มันทำให้เราเข้าใจที่คนเขาบอกว่าไปเที่ยวแล้วเขาได้แรงบันดาลใจ เฮ้ย! มันมาจากเรื่องประมาณนี้นี่เอง มันมาจากการได้เห็นการใช้สี จับคู่สีต่างๆ เราก็เอามามิกซ์แอนด์แมตช์ในการแต่งตัวของเรา หรือในชิ้นงานที่เราออกแบบได้ด้วย

ทำไมคุณจึงอยากผลักดันให้ผู้ชายไทยแต่งตัวมากขึ้น

เพราะผมก็เป็นหนึ่งคนที่ชอบแต่งตัว และด้วยความรู้ที่มีเราก็อยากส่งต่อให้คนอื่นเท่าที่จะทำได้ พูดไปมันอาจจะฟังดูแอบน้ำเน่านิดหนึ่ง (หัวเราะ) แต่มันก็เป็นเหมือนอาชีพในฝันเหมือนกันนะ การที่เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบแล้วเราก็เลี้ยงตัวเองได้จากตรงนี้

การทำยูทูบมันก็เปิดโลกผมด้วย คือหลังจากที่เราทำคลิปเรื่องรองเท้ามากขึ้น เราก็ถูกเชิญไปดูโรงงานรองเท้า ไปดูการผลิตรองเท้า ทำให้เราได้เห็นกระบวนการผลิตในสเกลใหญ่ๆ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่แค่ผมให้ความรู้คนดูอย่างเดียว ผมเองก็ได้รับอะไรกลับมาเยอะมากเช่นกัน

TaninS

ถ้าให้เปรียบตัวเองเป็นเสื้อผ้า คุณเห็นตัวเองเป็นเสื้อผ้าแบบไหน เพราะอะไร

น่าจะเป็นเสื้อผ้าที่เพลนๆ ดูเรียบๆ แต่ถ้ามองดีๆ แล้วจะเห็นรายละเอียดที่ซ่อนไว้ เป็นดีเทลที่แสดงถึงความใส่ใจและไม่เหมือนใคร ยกตัวอย่างเช่นเสื้อยืดตัวหนึ่งของผมเอง ความพิเศษของเสื้อตัวนี้คือมันไม่มีตะเข็บด้านข้าง ปกติเสื้อยืดจะมีรอยเย็บที่ด้านซ้ายกับขวาใช่ไหม แต่เสื้อตัวนี้ใช้เทคนิคการทอทีเดียวทั้งตัว ดังนั้นมันจะเป็นผืนผ้ากลมๆ ไม่มีรอยต่อเลย เราชอบรายละเอียดเล็กๆ พวกนี้ แม้ว่ามันจะมีแค่เราเท่านั้นที่รู้ แต่เราก็มีความสุขเพราะเราชอบไง (หัวเราะ)

ถ้าเปรียบเทียบกับมอเตอร์ไซค์ All New C125 อะไรคือดีเทลที่เชื่อมโยงกับตัวตนของคุณ

ความประณีต คือถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่คนที่อินกับรถและมอเตอร์ไซค์เป็นพิเศษ แต่พอเห็นภาพ All New C125 ปุ๊บ แวบแรกคือรู้สึกว่าสวย เพราะเขาออกแบบส่วนโค้งตรงหัวรถ มือจับ และคอนโซลหน้าได้ลงตัวมากๆ รู้สึกว่าเขาใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ นะ 

อีกอย่างคือเขาจับคู่สีมาดี สีน้ำเงินกับแดงมันเป็นคู่ตรงข้ามที่ขับกันอยู่แล้ว และมันยิ่งทำให้โค้งของมอเตอร์ไซค์เด่นยิ่งขึ้นไปอีก เหมือนกับว่าพอจับคู่สีถูก สีก็ช่วยชูรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ออกมาได้ทั้งหมดเลย มันก็เห็นต่อไปถึงความใส่ใจ ความเนี้ยบ 

ผมว่าจริงๆ คำที่นิยาม All New C125 ได้ดีที่สุดคือเรื่องของความคราฟต์ในดีเทลนี่แหละ

ในความคิดของคุณ ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องดีไซน์ของมอเตอร์ไซค์พอๆ กับเรื่องสมรรถภาพของเครื่องยนต์

ผมว่าพาหนะที่เราใช้มันก็เป็นเหมือนเสื้อผ้าอีกชิ้นหนึ่งนะ ผมขอเทียบกับเสื้อผ้าซึ่งเป็นความชอบส่วนตัวก็แล้วกัน ​ทุกอย่างที่เราเลือกมันจะสะท้อนสไตล์ของเรา สะท้อนบุคลิกของเราว่าเราเป็นคนแบบไหน เราเป็นคนชอบแต่งตัวประมาณนี้ เราเลือกใช้รถประมาณนี้ นี่คือตัวตนของเรา

สมมติว่าผมเลือก All New C125 คันนี้เพราะผมคิดว่าโค้งมันสวย มันก็สะท้อนให้เห็นว่าเราเป็นคนประณีตและใส่ใจกับรายละเอียด เพราะนี่คือสิ่งที่เขาเลือกใช้ ผมว่ามันสะท้อนเยอะเลย


All New C125 คือมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ในตระกูล C ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอด 60 ปีที่ผ่านมา โดยโมเดลล่าสุดนี้เป็นการออกแบบใหม่อย่างประณีตภายใต้คอนเซปต์ ‘Craft Your Story’ ไม่ว่าจะเป็นเบาะหนังแบบสองตอนหรือโครงสร้างวัสดุเหล็กโครเมียมทั้งคัน ขณะเดียวกันก็เพิ่มเติมฟังก์ชั่นทันสมัยอย่างเครื่องยนต์ 125 ซีซี และกุญแจรีโมตอัจฉริยะที่มาพร้อมฟังก์ชั่นระบุตำแหน่งรถด้วย

#AllNewC125 #C125 #CraftYourStory #สะท้อนความคราฟต์ในตัวคุณ #CUBHouse

รับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ bit.ly/3gMoZ8y

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ณัฐวัฒน์ ตั้งธนกิจโรจน์

ชื่อโทนี่ แต่พวกเขามักจะรู้จักผมในนาม Whereisone