หากใครไปไทเปคงไม่พลาดการช้อปปิ้งในย่านวัยรุ่นชื่อดังอย่างย่าน
Ximen บริเวณนั้นเราจะสะดุดตากับสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปสีแดงอิฐรูปทรงแปดเหลี่ยมซึ่งสร้างเชื่อมต่อกับอาคารทรงไม้กางเขน
ชื่อว่า The Red House อาคารหลังนี้สร้างขึ้นมาเป็นร้อยปีแล้วตั้งแต่
ค.ศ. 1908 และยังคงถูกอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี การออกแบบอันโดดเด่นเป็นฝีมือของสถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่ออกแบบอาคารสไตล์ตะวันตกในยุคนั้น
อาคารเก่าแห่งนี้มีความพิเศษมากกว่าที่ตาเห็น
เพราะช่วงเวลาหนึ่งที่ไต้หวันอยู่ในการปกครองของญี่ปุ่น พื้นที่ย่าน Ximen คือแหล่งชุมชนที่ชาวญี่ปุ่นมาอาศัยอยู่มากที่สุด
และ ‘ตึกแดง’ หลังนี้ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นตลาดช้อปปิ้งของคนญี่ปุ่น
มีสินค้าตะวันตกคุณภาพดีมาขาย เป็นแหล่งหลอมรวมวัฒนธรรมจากต่างถิ่น
ในยุคหนึ่งก็เคยเป็นพื้นที่สำหรับงานแสดงประเภทต่างๆ เช่น โอเปร่า ดนตรี
เคยเป็นโรงภาพยนตร์ฉายหนังตะวันตก เรียกว่าเป็นแหล่งรวมความบันเทิงของผู้คนในยุคเก่าอย่างแท้จริง
จนกระทั่งปัจจุบันที่นี่ก็กลายเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่
มีการจัดแสดงนิทรรศการ มีโรงหนัง ห้องสำหรับจัดแสดงดนตรี โรงน้ำชา ลานจัดกิจกรรมกลางแจ้ง
ลานด้านหน้าอาคารตอนบ่ายคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาเดินเล่นในตลาดของทำมือซึ่งจัดขึ้นทุกวันอาทิตย์
สินค้าส่วนมากจะเป็นงานแฮนด์เมดที่มีความกุ๊กกิ๊ก
หรือมีรูปตัวการ์ตูนน่ารักๆ ในแบบฉบับของไต้หวัน ทั้งโปสการ์ดรูปวาดสัตว์
กระเป๋าสตางค์ใบเล็ก เครื่องประดับ ตลอดจนเสื้อยืดสกรีนลาย
เราสังเกตว่าเอกลักษณ์ของการ์ตูน หรือ illustration ของไต้หวันนั้นจะมีความขี้เล่น น่ารัก
ดูเป็นมิตร และเข้าถึงผู้คนทุกวัยได้ง่าย
เมื่อเราเดินผ่านประตูเข้ามาในอาคารทรงแปดเหลี่ยมจะพบกับโซนนิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของย่านและอาคารหลังนี้อยู่กลางห้อง
ด้านข้างมีร้านน้ำชาเล็กๆ พร้อมโซนนั่งจิบชาที่ตกแต่งโดยใช้เฟอร์นิเจอร์เก่า
ทำให้ได้บรรยากาศแบบโรงน้ำชาสมัยโบราณสุดๆ อีกด้านหนึ่งของห้องเป็นร้านขายของที่ระลึกของ The
Red House ส่วนชั้น 2 ของตึกเป็นโรงหนังขนาดย่อมไว้จัดฉายภาพยนตร์ในโอกาสสำคัญต่างๆ
เราสนุกไปกับการชมนิทรรศการและดูของใช้ในชีวิตประจำวันของคนสมัยก่อนที่จัดแสดงไว้ในตู้กระจก
ด้านหลังตึกแปดเหลี่ยมเป็นอาคารทรงไม้กางเขนที่ได้รับการปรับปรุงเป็นศูนย์รวมร้านขายของดีไซน์
หรือ Creative Boutique Shop ที่ให้บรรดาศิลปินรุ่นใหม่และแบรนด์ต่างๆ มาเช่าพื้นที่เพื่อขายสินค้า พื้นที่ตรงกลางห้องจัดแสดงสินค้าท้องถิ่นที่มีดีไซน์เก๋ไก๋ตามกิจกรรมในช่วงนั้น
ส่วนพื้นที่รอบห้องแบ่งออกเป็นช็อปต่างๆ ทั้งร้านขายเสื้อผ้าลวดลายการ์ตูน
กระเป๋าเครื่องหนัง ร้านขายของใช้ต่างๆ ร้านขายงานศิลปะ แค่เดินดูสินค้าต่างๆ
ก็เพลิน (แต่ต้องใจแข็งหน่อยเพราะไม่อย่างนั้นมีกระเป๋าแบน) ร้านที่เราติดใจมากที่สุดคือร้านขายสติกเกอร์
tattoo ที่มีลวดลายน่ารักให้เลือกเยอะแยะไปหมด การได้เห็นศิลปินไฟแรงตั้งอกตั้งใจนำเสนองานของตัวเองก็ทำให้เรารู้สึกได้พลังมาเหมือนกัน
ห้องสุดท้ายบริเวณสุดทางเดินเป็น Riverside Live House สำหรับจัดแสดงดนตรีขนาดเล็ก
ในวันที่เราไปนั้นมีงานคอนเสิร์ตรวมวงหน้าใหม่ต่างๆ มาเล่นพอดี
เราโชคดีได้เจอกับวงดนตรีหน้าใหม่จากไทยมาเล่นคอนเสิร์ตที่งานนี้ด้วย
แอบสอบถามจึงรู้ว่าคนที่เข้าไปดูคอนเสิร์ตนี้จะต้องเสียเงินค่าเข้าชมในราคาไม่น้อยทีเดียว
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า เราเดินไปยังฝั่งทิศใต้ของอาคารที่เป็นลานเบียร์สำหรับนั่งสังสรรค์ในยามค่ำคืน
ท่ามกลางท้องฟ้าที่เปิดโล่ง มีเสียงดนตรีคลอเบาๆ จากร้านขายเครื่องดื่มและบาร์ขนาดเล็กที่เรียงรายอยู่หลายร้าน
ผู้คนเริ่มออกมานั่งจิบเบียร์เย็นๆ และเริ่มบทสนทนากัน แม้ว่า The Red House และตลาดของทำมือจะถึงเวลาปิดแล้ว
แต่อีกฝั่งหนึ่งของอาคารกลับกำลังครึกครื้นและมีสีสันจากไฟประดับร้าน
เราคิดว่าสถานที่แห่งนี้ช่างมีชีวิตชีวาทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืน มาที่เดียวก็เดินเล่นได้ยาวเกือบทั้งวัน
พอเห็นแบบนี้เราก็สรุปได้ว่า เสน่ห์ของตึกแดงแห่งนี้น่าจะเป็นการหลอมรวมกันระหว่างประวัติศาสตร์ยุคเก่ากับคนยุคใหม่ที่อยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืนนี่แหละ
ภาพ เบญญา สิงห์อุสาหะ และ นวลตา วงศ์เจริญ