สำรวจจักรวาลดนตรีและความสัมพันธ์แบบ ‘บ้านข้างๆ’ กับวง t_047

Highlights

  • t_047 หรือ บ้านข้างๆ มีสมาชิกวงเป็นเพื่อนฝูงจากรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งสมาชิกหลักเป็นนักดนตรีจากวง YERM
  • วง t_047 ตั้งใจทำให้เป็นไซด์โปรเจกต์ของตูน นักร้องนำ ในตอนแรกตูนตั้งใจทำ 'สีของฟ้า' แค่เพลงเดียว ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอัลบั้ม แต่พอได้เล่าเรื่องด้วยเครื่องดนตรีน้อยชิ้นแล้วบังเอิญติดใจคนทำ และยังโดนใจคนฟัง จึงทำต่อ
  • พวกเขานิยามตัวเองว่าเป็นวงโฟล์กไม่แท้ แต่เป็นวงดนตรีธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ความตั้งใจของวงคืออยากให้เพลงเป็นเหมือนกับธรรมชาติ ที่คุณจะรู้สึกว่ามันสวยงามก็ต่อเมื่อคุณให้ความสนใจมัน
 

เด็ก ม.ปลาย คนหนึ่งชอบมองท้องฟ้านอกหน้าต่างเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป สิ่งที่ต่างออกไปคือเด็กคนนั้นเริ่มถ่ายรูปบ้านข้างๆ ที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้า (ที่ไม่ได้เป็นสีฟ้าทุกวัน) พร้อมโพสต์รูปและแคปชั่นเล่าความรู้สึกในใจ เพื่อเก็บไว้เป็นไดอารี (กึ่ง) ส่วนตัวในอินสตาแกรม ที่เรารู้จักกันในชื่อ t_047

“ตอนนั้นแค่อยากถ่ายรูปพวกสถาปัตย์ ตึกรามบ้านช่อง ถ่ายไปเรื่อยๆ ลงในอินสตาแกรมของตัวเอง พอรู้สึกว่าเริ่มรกไทม์ไลน์เพื่อนแล้ว ก็เลยแยกไปเปิด t_047 ขึ้นมา

“ตอนแรกไม่ได้บันทึกอะไร แค่เขียนว่านี่คือภาพแรกที่เราถ่ายนะ เหมือนเป็นไดอารีส่วนตัว หลังๆ มันเริ่มกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของเรา วันนี้ไปเจอเรื่องนี้มา รู้สึกอย่างนี้ วันนี้อกหักก็บันทึกมันไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าพอเริ่มมีคนเข้ามา เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่ที่รวมคนที่รู้สึกแบบเดียวกัน แล้วมันก็อยู่กันมาเรื่อยๆ จนมันเติบโตเป็นคอมมิวนิตี้ แล้วก็ค่อยขยายสู่การทำเพลง เพราะแคปชั่นมันเล่าเรื่องได้นิดเดียว มันไม่มีน้ำเสียงที่จะทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่เราเล่า บางเรื่องเรารู้สึกว่าเอาไปเล่าผ่านเพลงมันสื่อสารได้มากกว่า

สีของฟ้า, จักรวาลสมมติ, เสียงทะเล, จันทร์, เพียงฤดู, กลับดาว, หนังสั้น

ถ้าเพลงคือการเล่าเรื่องรูปแบบหนึ่ง ชื่อและเนื้อหาของเพลงทั้งหมดของ t_047 คือเรื่องเล่าจากการตกผลึกมุมมองความคิดจากความรู้สึกที่เป็นผลผลิตของวัยหนุ่มสาว ผลผลิตที่เกิดจากการตั้งคำถาม พร้อมๆ กับการพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว แทบจะทุกเพลงมีความเกี่ยวข้องกับการเฝ้ามองความเป็นไปของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ท้องฟ้า สายลม สายรุ้ง ทะเล ดวงดาว ดวงจันทร์ ฤดูกาล จักรวาล ไปจนความสัมพันธ์

 

ปัจจุบันวงมี 4 คน ประกอบไปด้วย ตูน–ณัฐธีร์ อัครพลธนรักษ์ (ร้องนำ, กีตาร์คอร์ด) ไบรท์–วิชชัน วงศ์ปรีชาโชค (กีตาร์ โซโล, คอรัส) ป็อป–ภูมิภูริณัฎฐ์ เดชาปัญญาสิทธิกุล (ดีเจมเบ้) และ บี๋–ศรุตา นิลโกสิตย์ (ไวโอลิน)

อะไรทำให้พวกเขาเลือกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ออกมาเป็นบทเพลงฟังสบายและลอยเอื่อยแบบจริงใจในสไตล์ t_047 ที่ติดหูติดใจใครหลายคนขนาดนี้ เราอยากชวนคุณกระโดดขึ้นยานอวกาศแล้วไปสำรวจจักรวาลของวงดนตรีชื่อ t_047 ไปพร้อมๆ กัน

5

4

3

2

1

ถ้าให้แต่ละคนเลือกเป็นดาวหนึ่งดวงแทนตัวเองจะเลือกเป็นดาวอะไร เพราะอะไร

ตูน : ผมเป็นดาว M78 เป็นดาวอุลตร้าแมน ผมเชื่อว่าในตัวผมมียอดมนุษย์อยู่หลายตัว ผมเป็นผู้ปกป้องโลกมนุษย์อีกทีหนึ่ง คือเราไม่ได้รู้จักดวงดาวอะไรแบบนี้เยอะ ที่คนเขาอินกันอย่างดาวพลูโต เราไม่ได้อิน ดาวดวงเดียวที่เรารู้จักคือ M78 รู้สึกผูกพันกับดาวดวงนี้ พอเราได้ยินชื่อดาว M78 เรารู้สึกอบอุ่น เรารู้สึกเหมือนมีอะไรปกป้องเราอยู่

ไบร์ท : ผมชอบดวงอาทิตย์ คือบางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง เรารู้ตัวว่าเราเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ แต่จริงๆ แล้วเราไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล ดวงอาทิตย์มันพยายามสร้างชีวิตและเปล่งแสงออกไป แต่จริงๆ แล้วเราไม่รู้เลยว่าข้างในดวงอาทิตย์มันเป็นยังไง ถ้าเปรียบกับตัวเองก็คือ ผมชอบที่จะควบคุมอะไรบางอย่างให้ได้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าจริงๆ ข้างในตัวเองต้องการอะไร

ตูน : ขอเตือนดวงดาวที่อยู่รอบๆ ไบร์ท อย่าเข้าไปใกล้มากเพราะคุณจะโดนเขาแผดเผา

ไบร์ท : ถ้าเป็นไอ้ป็อป มันน่าจะเป็นอุกกาบาต (หัวเราะ)

**(ป็อป–ภูมิภูริณัฎฐ์ เดชาปัญญาสิทธิกุล มือดีเจมเบ้ ติดภารกิจเกณฑ์ทหาร)

ตูน : ผมว่าป็อประบุไม่ได้ว่าเขาเป็นดวงดาวไหน แต่เขาเป็นสะเก็ดดาวที่มาจากดาวหลายๆ ดวง แต่พร้อมจะวิ่งชนเข้ามาบนโลก ใครขวางเขาจะชนหมดเลย เพื่อสร้างอาณาเขตของตัวเอง พอหล่นลงบนโลกมันก็จะเป็นหลุมใหญ่ๆ (หัวเราะ)

ตูน : บี๋ต้องเป็นดาวพระศุกร์ เพราะดูเป็นนางเอก

บี๋ : คิดว่าเป็นดวงดาวเฉยๆ ละกัน คือมันก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรขนาดนั้น เป็นดาวที่ไม่มีชื่อเรียก

ตูน : แต่ว่าก็สร้างความสวยงามให้กับโลก

แต่ละคนโคจรมาเจอกันได้ยังไง

ไบร์ท : ตูนกับไบร์ทรู้จักกันก่อนอยู่แล้ว คือทำวง YERM ด้วยกันมา T_047 ตั้งใจให้เป็นไซด์โปรเจกต์ของตูน

ตูน : เราอยากจะอัดเพลงง่ายๆ ด้วยไมค์คอนแดนเซอร์ เล่าคอนเซปต์ที่เราอยากเล่า ทีนี้พอมีงานเล่นสดเราไม่อยากไปคนเดียวเลยชวนเพื่อนมา ใครเล่นอะไรได้ก็เอามาแจมๆ กัน เราเรียนเอกโฆษณา คณะ ICT มหาวิทยาลัยศิลปากร ทำวงด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2

ไบร์ท : ผมเข้าไปมหา’ลัยก็แค่อยากเล่นดนตรี เพราะว่าเดิมทีที่บ้านผมเขาเล่นดนตรีกันอยู่แล้วทั้งครอบครัวเลย พอเข้ามหา’ลัยก็อยากตั้งวงตามประสาวัยรุ่นครับ ก็ได้มาเจอตูนนี่แหละ โชคดีที่ทุกคนมีความจริงจังที่เหนือกว่าคนทั่วไป มีแพสชั่นในการเล่นดนตรี ก็เลยทำให้เราจริงจังกับมัน

ตูน : ซึ่งแพสชั่นนั้นก็คือ การอยากเป็นที่สนใจของผู้หญิง (ฮา) อยากให้สาวๆ ชื่นชม เราก็เลยเลือกช่องทางของการเป็นนักดนตรี

ไบร์ท : แต่ผมไม่เกี่ยวเลยนะ

ตูน : แหม ทุกคนแหละ (หัวเราะ)

ไบร์ท : แต่ผมอยากเล่นดนตรีอย่างเดียว เพื่อระบายอารมณ์

จำเหตุการณ์วันแรกที่เจอกันได้ไหม

ตูน : ประโยคแรกที่ไบร์ทพูดกับผมวันปฐมนิเทศ ไบร์ทสะกิดหลังผมแล้วถามว่า นายๆ ฟัง Arctic Monkeys ปะ (หัวเราะ)

ไบร์ท : แล้วตูนก็บอก เฮ้ย ฟัง เราก็บอก เฮ้ย เจ๋ง เหมือนพวกเด็กเนิร์ดคุยกันอะ

 

แล้วมือไวโอลินสมาชิกคนล่าสุดมาร่วมงานกันได้ยังไง

บี๋ : หนูเรียนดนตรีอยู่ที่ ม.รังสิต แต่ว่าเรียนเอกคลาสสิกเลย ทีนี้มีรุ่นพี่นักดนตรีที่เขาเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กพี่ตูนเห็นพี่เขาประกาศหามือไวโอลิน รุ่นพี่เลยแท็กหนูมา หนูก็คิดว่า เออ น่าสนใจ อยากลองเล่นเพลงแนวอื่นที่ไม่ใช่ที่เรียนอยู่บ้าง ก็เลยลองทักพี่ตูนไปว่าสนใจอยากลองเล่นกับวง

ตูน : ผมโทรไปถามเลย เออ ปกติเล่นแนวไหน อ๋อ เล่นคลาสสิก แล้วเล่นพวกอิมโพรไวส์ได้ไหม

ไบร์ท : คือเห็นเฟซแล้วก็รับเลย

ตูน : ผมคุยแป๊บเดียว แล้วชวนนัดซ้อมกันสักรอบ ผมคิดว่าคุยไปมันก็เท่านั้นถ้าไม่ได้มาเจอมานัดซ้อมกัน ซ้อมครั้งแรกก็ เออ ไอ้น้องมันก็หน้าตาดีว่ะ เราก็โอเค (หัวเราะ) คือเราเชื่อใจตั้งแต่รู้ว่าบี๋เรียนเอกคลาสสิกไวโอลินอยู่แล้ว และมีประสบการณ์เคยไปเล่นให้บอดี้สแลมมาด้วย วิชาตัวเบา คอนเสิร์ตที่ราชมังฯ วงเราสเกลเล็กๆ บี๋เอาอยู่แน่

ไบร์ท : ผมเห็นน้องเขานั่งคุยกับเพื่อนนักดนตรี “เฮ้ย โน้ตท่อนนี้มันเล่นเขบ็ตประจุดนะ เดี๋ยวแก้โน้ตเลย” โอ้โห

ตูน : แต่เวลาเราคุยกันจะบอกว่า บี๋ ท่อนนี้ขอแบบ (เลียนเสียงไวโอลิน) “แอ๊ะ แอ๊ะ แอ๊ะ” ขอ “แอ๋…” ยาวหน่อย (หัวเราะ)

ในยุคที่ใครๆ ก็ใช้ซาวนด์อิเล็กทรอนิก ซินท์ป๊อปล้ำๆ ทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องผ่านดนตรีโฟล์ก

ตูน : เพราะผมเล่นไม่เป็น (ฮา) ผมไม่สามารถทำวงแบบนั้นได้เพราะผมไม่ได้ฟัง ผมเชื่อเรื่อง You are what you is. ผมไม่ได้โตมากับดนตรีแบบนั้น ด้วยความที่งานมันง่ายด้วย เราแค่ต้องการจะเล่าเมสเซจอะไรบางอย่างออกไป เราไม่ได้อยากให้คนดูมานั่งลอย มาเต้นอะไร เราอยากให้ฟัง มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง อย่าง ‘สีของฟ้า’ เพลงแรกที่เราอัดก็เลยมีแค่กีตาร์โปร่งตัวเดียวเลย แล้วพอเราไปเล่นก็รู้สึกว่าให้มีเสียงกีตาร์แอมเบียนต์มาเล่าเรื่องของบรรยากาศ มีเสียงไวโอลินมาเล่าเรื่องของเวลา มีเสียงดีเจมเบ้มาทำให้มันกลม แค่นี้เราว่าเมสเซจมันส่งไปได้แล้ว เลยคิดว่าเป็นโฟล์กก็พอ

ไปร์ท : ผมคิดว่าผมโชคดีด้วยเพราะผมเป็นคนที่แต่งเนื้อไม่เป็นเลย เมสเซจที่อยากเล่าก็พูดไม่รู้เรื่อง โชคดีที่เจอตูนและได้ทำวงกัน มันก็เลยลงล็อกกัน เพราะว่าผมชอบอะไรที่มันนามธรรมมากๆ ชอบสร้างบรรยากาศ มันก็เลยเป็นส่วนผสมที่ไปด้วยกัน มันเหมือนถ้าทำงานครีเอทีฟก็คือทำงานกันแบบ ก็อบปี้ฯ กับ อาร์ตไดฯ

ตูน : ทีนี้แนวเรามันคือแนวอะไรวะ โฟล์กไฮบริดเหรอ หรือ Acoustasonic มันก็ไม่ใช่โฟล์กแท้นะ เพราะโฟล์กแท้มันก็ต้องมีแค่กีตาร์โปร่งแบบวง selina and sirinya คือเราเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ได้เล่าเรื่องที่อยากเล่าก็พอแล้ว

 

เสน่ห์ของโฟล์กในแบบของ t_047 คืออะไร

ตูน : ที่เราชอบเพราะว่าเหมือนมีเครื่องดนตรีที่สร้างบรรยากาศครอบเมสเซจอีกที เวลาไปเล่นเหมือนเราก็ชัดเจนว่าไม่ต้องมาคาดหวังซาวนด์ที่ดีหรืออะไรมากมายจากเรา คิดซะว่าเราเป็นเพื่อนแถวบ้านที่มานั่งล้อมวงเล่นกัน นี่คือสิ่งที่เราพยายามควบคุมทุกโชว์ให้เหมือนคนนั่งฟัง นั่งเล่นกันในบ้าน เพื่อตัดความคาดหวังของคนออกไป

เหมือนวงจะเน้นเรื่องความง่ายและธรรมดา ทำไมถึงเชื่อในความธรรมดา

ตูน : ตอนแรกก็คิดว่า เฮ้ย มันดูเป็นข้ออ้างหรือเปล่า กับการที่เราบอกว่าตัวเองธรรมดา เพราะเราทำอะไรที่มันพิเศษไม่ได้ ตอนแรกที่ทำวงเรามีคิดไว้ในใจว่าจุดเด่นของวงเราคืออะไร เพราะดนตรีมันธรรมดามาก แล้วมันยังไม่เคยมีใครบอกว่า เฮ้ย กูเป็นวงธรรมดาว่ะ กูเป็นวงดนตรีนะ แต่กูไม่ได้มีอะไรโดดเด่น พวกกูธรรมดามาก แล้วเราเชื่อว่าคนที่ฟังก็เป็นคนธรรมดา คนที่นั่งอยู่ที่บ้าน เรารู้สึกว่าเราเป็นคนทำเพลง ถ้าเราสื่อสารข้อความที่มันธรรมดาออกไป เรารู้สึกว่าคนจะเข้าใจเรา จะอินกับเรา เราเลยใช้ภาษาที่มันธรรมดา ไม่ได้กวีมาก เป็นสิ่งที่เราพูดคุยกันในชีวิตประจำวัน

อย่างชื่ออัลบั้ม ‘Ordinary Things That Stay Forever’ ไอ้สิ่งที่มันพิเศษ ไอ้สิ่งที่มันมาแล้วคนให้ความสนใจ คนว้าว วันหนึ่งมันจะไม่ว้าว แต่ความธรรมดาเห็นแล้วคนก็จะ อ๋อ อืมๆ มันก็จะเป็นอย่างนี้ของมันไปเรื่อยๆ มันคงจะไม่บูม แต่มันคงไม่หาย อยู่กับมันไปเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่ตั้งใจทำกับ t_047 คือให้คนรู้สึกกับเราแบบนี้ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ รู้สึกกันไป

 

ความธรรมดาที่เสมอต้นเสมอปลายมันดียังไง

ตูน : เหมือนเรามีแฟน เราพยายามทรีตเขาให้รู้สึกพิเศษที่สุด เราพยายามทำทุกอย่างให้มันเพอร์เฟกต์ที่สุด โทรไปหา คุยกันวันละชั่วโมงสองชั่วโมง พาไปกินข้าวร้านหรูๆ แต่ถ้ามันไม่ใช่ตัวเอง เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ตลอด วันหนึ่งมันจะค่อยๆ ลดลงมา แล้วกลายเป็นว่าเขาบอกว่าเราเปลี่ยนไป ทำไมไม่เสมอต้นเสมอปลาย หลังจากนั้นก็เริ่มเรียนรู้ว่า งั้นกูก็ธรรมดา ไม่ต้องเปิดประตูเข้าห้องมาแล้วมีลูกโป่งเต็มห้อง ไม่ต้องมีอะไรแบบนั้น เลยเชื่อในอะไรที่ธรรมดา

มันคือความเสมอต้นเสมอปลายแหละ อย่างข้อความที่เขียนในแคปชั่น เราเรียนโฆษณามาเรารู้ว่าเขียนแบบไหนคนจะแชร์ เขียนแบบไหนคนจะชอบ แต่เราพยายามเขียนสิ่งที่เรารู้สึกจริงๆ ซึ่งมันอาจไม่ใช่ประโยคที่ฟังแล้วอยากแชร์ แต่นี่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับความคิดเราจริงๆ

เขียนและเลือกใช้คำที่จริงใจกับความรู้สึกตัวเอง

ตูน : ใช่ๆ เหมือนบางทีมันก็จะมีเถียงกับตัวเองบ้างแหละว่า โห ท่อนนี้อยากจะใช้คำประมาณนี้ แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราพูด หรือสิ่งที่เราคิดจริงๆ สู้ให้เพลงมันธรรมดาดีกว่า

ไบร์ท : ผมว่ามันธรรมดา แต่ว่าที่มันไม่ธรรมดาสำหรับคนฟังเพราะว่ามันทัชเขา บางเพลงของบ้านข้างๆ ที่ตูนแต่ง มันเป็นเพลงที่เป็นเรื่องจริง พอเราพูดออกมามันก็เลยโดนใจคน มันเหมือนเพลงไทยโดนใจ มันเลยไม่ธรรมดา แต่ส่วนใหญ่ผมทำพาร์ตดนตรีใช่ไหม ผมจะให้ตูนพูดแค่เมสเซจเดียวว่า เพลงนี้อยู่ที่ไหน แล้วกำลังจะไปไหนต่อ ผมก็แค่ทำให้เป็นสถานการณ์เกิดขึ้นมา อย่างเพลง เพียงฤดู ตูนบอกว่าตื่นมาในห้องตอนเช้า เราก็ทำเพลงท่อนแรกให้รู้สึกว่ามันกำลังอยู่ในห้อง แล้วกำลังไปไหนต่อ ก็คือฤดูกำลังเปลี่ยนไป มีลมพัดมีฝนตก ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอยู่

บี๋ : ตอนแรกหนูก็อยู่ในฐานะผู้ฟังวงนี้มาก่อนค่ะ คือรู้สึกชอบเหมือนที่พี่ไบร์ทพูดว่ามันคือเรื่องจริง มันง่ายๆ ฟังแล้วมันก็เหมือนสัจธรรมชีวิตนิดหน่อย มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีอะไรหวือหวา ฟังได้เรื่อยๆ รู้สึกว่า เออ มันก็ธรรมดาดีนะ ฟังกี่ทีมันก็เหมือนให้ข้อคิดกับชีวิตไปด้วย

ไบร์ท : เหมือนฟังธรรมะ (หัวเราะ)

 

เหมือนเรื่องเล่าในเพลงของ t_047 มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้

ตูน : ใช่ๆ ผมชอบอีกอย่างหนึ่งคือ พอฟังในช่วงอายุหนึ่งมันรู้สึกอีกแบบหนึ่ง สีของฟ้า เราปล่อยตอนปี 3 ปี 4 พอกลับมาฟังตอนเรียนจบแล้วก็รู้สึกอีกแบบหนึ่ง

ไบร์ท : เหมือนกับว่าตอนนั้นเราพยายามเล่า แต่พอผ่านเวลามาปุ๊บ กลับไปฟังใหม่อีกที เฮ้ย ตอนนั้นเรายังไม่รู้อะไรเลยหรือเปล่าวะ

การทำเพลงมีกระบวนการยังไง เริ่มตั้งต้นจากอะไรก่อน

ตูน : มันจะมีเรื่องมาก่อน สมมติยกตัวอย่างเพลง เพียงฤดู ก็ได้เมสเซจมาอันเดียวเลยว่า ชีวิตคนเรามันก็เป็นเพียงฤดู เหมือนตื่นมาแล้วรู้สึกว่า อากาศมันดี ทุกอย่างมันดี มีคนรักนอนอยู่ข้างๆ แล้วก็รู้สึกว่า โอ้โห ชีวิตมันดีมาก เราเอาช่วงเวลาช่วงเดียว เราเอาฤดูเดียวมาตัดสินเลยว่าชีวิตเราดี ถ้าวันหนึ่งไอ้สิ่งเหล่านี้มันหายไป มันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา เราเลยรู้สึกว่า เออ ไม่อยากหลงไปกับสิ่งที่มันดี ณ เวลานั้นมากเกินไป แล้วก็พยายามบอกกับตัวเองว่า ชีวิตมันเป็นเพียงฤดู แล้วมันก็เริ่มเขียนเนื้อตอนนั้นเลย เช้าวันนี้มีเธออยู่ ดูรอยยิ้มเมื่อตอนเธอนอน ลมหนาวพัดมา บางอย่างก็ทำให้คิดถึงชีวิตที่มีอยู่ แล้วก็เขียนมาเรื่อยๆ ค่อยเอามาเข้าทำนองเป็นเพลง เขียนเมสเซจมาก่อน เหมือนเราเขียนบทความเพื่อเล่าให้ใครคนหนึ่งฟัง

 

มีส่วนไหมว่า เพราะเรียนโฆษณามาด้วยเลยทำให้ใช้วิธีนี้

ตูน : ใช่ ผมว่าโฆษณามันตั้งต้นด้วยคีย์เมสเซจ พอได้บิ๊กไอเดียปุ๊บ เอามาแตกเป็น execution อะ กูจะเล่าแบบนี้ เขียนมาหน้ากระดาษหนึ่ง อ๋อ ลมหนาวเดียวมันก็มา แล้ววันหนึ่งมันก็ลา แล้วค่อยมาหาคอร์ดที่เล่าเมสเซจนี้ได้ดี เหมือนเรามีพล็อตแล้วค่อยไปหาว่า เอเจนซีไหน โปรดักชั่นไหน ที่มันจะเล่าเรื่องนี้ได้ดีที่สุด

 

ใครเป็นคนตัดสินใจเคาะเพลง ว่าเพลงแบบนี้แหละคือ t_047

ตูน : อัลบั้มแรก ‘Ordinary Things That Stay Forever’ กระบวนการมันอยู่ที่ผมกับไบร์ท ผมเขียน ทำเดโม่ ส่งให้ไบร์ท บรีฟไบร์ทไปว่าอยากได้แบบนี้นะ ไบร์ทส่งกลับมา เราก็แก้พาร์ตดนตรีกันก่อนให้เสร็จ พาร์ตดนตรีเสร็จแล้ว โอเค นัดวันกันเข้าไปอัดเสียง เข้าสู่กระบวนการมิกซ์ mastering

ไบร์ท : เหมือนแยกงานขาดกันเลยครับ แค่สองคน ตูนแต่งเนื้อมาผมทำดนตรี ผมแก้เนื้อนิดหนึ่ง ตูนเขาแก้ดนตรีนิดหนึ่ง แล้วก็จบงานกันสองคน แต่อัลบั้มหน้าคงเปลี่ยนวิธี

ตูน : อัลบั้มหน้าคงเขียนให้เสร็จสัก 10 เพลงแล้วเรียกมาคุยกันว่า ใครมีไอเดียอะไร เห็นอะไรบ้างเอามาแชร์กัน

 

อัลบั้มหน้าได้กำหนดเวลาไหมว่าจะปล่อยเมื่อไหร่

ตูน : ไม่คิดเลย ไม่กำหนดเวลาด้วย แค่รู้สึกว่าวันไหนว่างก็นั่งเขียนเพลง นั่งทำเพลง วันไหนมีเรื่องจะเล่าก็นั่งจด นั่งอัดเดโมไป อาจจะ 3-4 ปีก็ได้ ไม่รีบเลย เพราะเราไม่ได้วางมันเป็นอาชีพไง เหมือนเราแค่ทำเป็นงานอดิเรก ถ้าเสร็จเมื่อไหร่ก็ปล่อย ใช้เวลากับมันเยอะๆ

ไม่ได้กดดันตัวเองมาก

ตูน : ใช่ ไม่กดดันเลย ถ้ามันจะมามันก็มา

 

เพราะว่าไม่มีค่ายด้วย

ตูน : ใช่ นั่นเป็นข้อดี  

ไบร์ท : แต่ก็เป็นข้อเสียเหมือนกัน ก็คือแบกของไปนู่นไปนี่ แต่ก็มีพี่ปาร์คช่วย

ตูน : เรารู้สึกว่าคาแร็กเตอร์วงเรามันมีค่ายไม่ได้ เพราะว่าเราวางตัวเองแบบอะไรก็ได้ ชิลล์ๆ ทำกันเอง ปล่อยกันเอง สงสารคนที่จะมาเป็นค่ายเราด้วย พวกเราช้า พวกเราค่อยๆ ทำ

 

แต่ด้วยยุคสมัยมันก็เอื้อให้ทำงานได้

ตูน : แค่รู้สึกว่าอุปกรณ์ที่มีมันพอทำกันได้ มันโอเค มันมีที่ mastering ที่เราสนิทกัน ก็พออยู่ได้

ในวันคอนเสิร์ต T_047 ‘ชวนเพื่อนมาบ้าน’ ตูนบอกว่ามีวงภูมิจิตเป็นไอดอล อยากให้เล่าหน่อยว่าได้รับอิทธิพลอะไรมาบ้าง

ตูน : รับตั้งแต่ชื่อวงก่อนเลย ในขณะนั้นที่เชลฟ์ Happening มันมีชื่อวงเท่ๆ มีอะไรเท่ๆ นี่คือชื่อวงที่ชื่อเชยมาก เหมือนชื่อพ่อใครสมัยมัธยมฯ ช่วงนั้นมันเคว้งด้วย เรารู้สึกว่า บอดี้สแลมไม่ใช่เราละ บิ๊กแอสไม่ใช่เราละ คือชอบไปเดินเล่นหอศิลป์อยู่แล้ว ก็ลองซื้อมาฟังดู มันน่าจะเป็นเพลงไทยแรกๆ ที่เรารู้สึกว่า โอเค ถ้าหลุดออกจากความรักได้เราก็รู้สึกว้าวแล้วอะ คือก่อนหน้านั้นเราฟังเพลงแบบ ฉันรักเธอ เธอรักฉันมาตลอด พอมาวงนี้เพลงแรกที่ฟังคือ New World Order “อเมริกาบ้าสงคราม ผิวขาวได้ด้วยไวต์เทนนิ่งครีม แย่งส่วนแบ่งต่างๆ ด้วยมาร์เก็ตติ้งทีม” เชี่ยอะไรวะเนี่ย แต่นั่นเป็นการเปิดโลกการฟังเพลงของเราว่า แม่งไม่ต้องพูดแล้วเรื่องความรักเรื่องความสัมพันธ์ มันพูดได้หลายอย่าง

 

การโคจรออกไปเจอสิ่งใหม่ๆ ลองฟังสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แบบที่ตูนทำมันสำคัญกับชีวิตยังไง

ไบร์ท : ผมว่ามันสำคัญมากเลยนะ ผมพยายามไปเจออะไรใหม่ๆ มันจะมีช่วงรอยต่อของชีวิต ผมเจออยู่สามช่วง คือ ช่วง ม.ต้น ช่วงเข้ามาหา’ลัย แล้วก็ช่วงเรียนจบ คือช่วงรอยต่อที่จะรู้สึกเคว้งๆ เราก็คิดว่าจะทำอะไรต่อได้บ้างวะ ไม่งั้นเราอยู่แบบนี้ ไม่ไปเจออะไรใหม่ๆ เลย เราจะเริ่มเฉา เริ่มดาวน์ไม่อยากทำอะไร ตื่นมาไม่มีพลังเลย ก็เลยต้องพยายามออกไปฟังเพลงใหม่ ออกไปเจอคน เพื่อที่จะให้เรามีพลังขึ้นมาตั้งเป้าอะไรบางอย่างแล้วรู้ว่า ถ้าเราตื่นมาต้องทำอะไรต่อ

ตูน : บางที่รู้สึกเหมือนว่าโลกที่เรารู้จัก เรารู้จักมันกว้างพอแล้ว ณ จุดหนึ่งเราว่าทุกคนต้องเคยรู้สึกว่าตัวเองแม่งยิ่งใหญ่คับโลก กูคือตูน ณัฐธีร์

ไบร์ท : โห ช่วงมหา’ลัยนี่ผมว่าทุกคนเป็นหมด หรือว่ากูอยู่กับมึงกูเลยเป็นวะ

ตูน : เออ ช่วงหนึ่งผมกร่างในเฟซบุ๊กมาก รู้สึกว่าตัวเองฟังเพลงเยอะ ผมฟังกว้าง ผมคือคนที่มีศักยภาพมาก แต่พอได้รู้จักเบิร์ดซาวนด์ ได้เจอสังคม ได้เจออะไรที่มันกว้างขึ้น สุดท้ายเรามันก็แค่กระจึ๊งหนึ่ง สมัยมหา’ลัยเราอาจจะคิดว่ากูคือมือกีตาร์ ไอ้ไบร์ท์คือมือกีตาร์ เฟี้ยวๆ มึงเจอพี่เบิร์ด Desktop Error เข้าไป ไอ้เชี่ย พี่เบิร์ดปรับจูนกีตาร์เอง สร้างคอร์ดใหม่เอง เลยได้รู้ว่าวันไหนที่มึงรู้สึกว่ามึงใหญ่คับโลก เดี๋ยวโลกจะบี้มึงลงมาเอง เออ ให้มันไปเจอเอง ให้มึงคิดว่ามึงเฟี้ยวไปเลย (หัวเราะ)

บี๋มือไวโอลินก็เหมือนออกจากคอมฟอร์ตโซนมา มันเปลี่ยนเรายังไง

ไบร์ท : เออว่ะ บี๋ออกมาไกลมาก

บี๋ : ปกติที่บ้านหนู พ่อแม่จะบังคับนิดหนึ่งตั้งแต่เด็ก อยู่ในกรอบตลอด ก็เรียนๆ ชีวิตไม่หวือหวาอะไรเลย เรียนตามที่แม่บอก เมื่อก่อนจะเป็นคนแบบ ไอ้นู่นก็ไม่กล้าทำ ไอ้นี่ก็ไม่กล้าทำ แต่พอเข้ามหา’ลัย แล้วเราเจอคนที่หลากหลายมากขึ้น รู้สึกว่าเราควรจะออกจากคอมฟอร์ตโซนของเราแล้ว เออ ไหนๆ ก็นะ สักครั้งหนึ่ง อยากลองทำอะไรก็ลองให้หมดเลย ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่หนูกำลังเริ่มหาสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตทำ นอกจากที่เราเรียนมาตามระบบทั่วๆ ไป ตอนนี้ก็หาอะไรที่อยากทำ ทำไปเรื่อยๆ

เหมือนตอนนี้ทุกคนก็พยายามโคจรไปในพื้นที่ใหม่ๆ ตลอด

ตูน : ใช่ พอเจอสังคมใหม่แล้วรู้สึกว่าโลกมันกว้างมาก ไม่ต้องเอาระดับโลกหรอก แค่อยู่ในประเทศไทย แค่เราได้ไปเล่นในหลายๆ จังหวัด เราได้เจอวัฒนธรรมของคน ได้เจอคนหลายๆ ประเภท เราก็ได้เห็นว่า อ๋อ จังหวัดเขาทำกันอย่างนี้เหรอวะ แค่นี้ก็เปิดแล้ว

 

ถ้า t_047 เป็นดวงดาวคนดูจะได้เห็นมันโคจรไปทิศทางไหนต่อไป

ตูน : ผมพยายามหนีออกจากจุดที่คนจะมองเห็น ไม่ได้อยู่ในแสงไฟ ไม่ได้อยากจะเป็นดาวที่อยู่ในระบบสุริยะด้วย แต่สิ่งที่ผมอยากให้มันไปต่อคือ อยากให้มันไปโคจรรอบๆ ดวงดาวดวงเล็กๆ เหมือนไปชวนดวงดาวดวงเล็กๆ มาอยู่ด้วยกันแล้วก็สร้างพวกเราให้เป็นกลุ่มดาวอะไรบางอย่าง คงอยากสร้างคอมมิวนิตี้มากกว่า อยากจะสร้างวงดนตรี แล้วก็ไม่ได้อยากให้คาดหวัง รอเพลงที่มันจะเพราะ เพลงที่มันจะดัง เราเจอแนวทางของเราแล้ว เราก็จะค่อยๆ ไปของเรา ถ้าถามว่าจะโคจรไปไหนเราก็ยังไม่รู้นะ คอยดูไปเรื่อยๆ ว่า t_047 กำลังทำอะไรอยู่

ตอนท้ายของคอนเสิร์ต t_047 ‘ชวนเพื่อนมาบ้าน’ วันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ตูนชวนเพื่อนสนิทขึ้นมาเล่นดนตรีด้วยกันบนเวที ตอนนั้นแววตาคุณดูมีความสุขมากเลย อะไรทำให้คุณให้ความสำคัญกับเพื่อนมากขนาดนั้น

ตูน : จริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าผมโตมาคนเดียว ผมโตมากับสภาพครอบครัวไม่ค่อยสมบูรณ์ การได้มาเจอเพื่อนในมหา’ลัย มันคือสภาพแวดล้อมดีๆ เดียวที่ผมมี ทุกวันนี้ผมไม่ได้กลับไปบ้าน เพราะว่าเราไม่ได้มีคนที่เรารู้สึกว่าเขาอยู่ข้างๆ เรา มองย้อนกลับไปตั้งแต่ปีหนึ่ง คนที่มันช่วยเหลือชีวิตเราคือคนที่เป็นเพื่อนๆ เหล่านี้ เราเลยเห็นความสำคัญของคนที่อยู่ข้างๆ และต้องเป็นคนที่เรารู้สึกว่าเขาจริงใจกับเราจริงๆ และทุกคนที่อยู่ในงานนั้นก็คือคนที่เรารู้สึกแบบนั้น

เราเชื่อมาตลอดว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่คนเดียว โอเคมันเกิดมาคนเดียวแล้วมันตายคนเดียว แต่ว่าในระหว่างทางที่เราเดินอยู่ รู้สึกว่าการมีใครสักคนข้างๆ มันเป็นสิ่งสำคัญ

 


บทเพลงจาก t_047 ที่วงอยากแชร์ให้เราฟัง

01 จักรวาลสมมติ

ตูน : ถ้าต้องพูดถึงเพลงที่ชอบที่สุด คิดว่าน่าจะเป็น จักรวาลสมมติ เพราะเป็นเพลงที่ ณ ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาจริงๆ ของมันคืออะไร แต่เวลาเราร้องแล้วรู้สึกดีและผ่อนคลายมาก จักรวาลสมมติ เกิดขึ้นจากตอนที่เมามากๆ หยิบกีตาร์มาจับได้แค่สองคอร์ด อยากให้เห็นภาพมากเลย น้ำลายจะไหล บอกตัวเองว่า อย่าอ้วกนะ (หัวเราะ) แล้วหยิบกีตาร์ขึ้นมาร้องเพลง นั่งฮัมไป อยู่ๆ ก็พูดอะไรก็ไม่รู้ พูดอะไรเป็นทำนอง​ “เอย คือความจริง” เฮ้ย เพลงมันมาว่ะ ก็กดเรคคอร์ดไว้ ฮัมๆ ไปเรื่อยๆ

พอตอนเช้าเราค่อยมานั่งแกะ แล้วก็เขียนข้อความที่พูดเมื่อคืนลงในกระดาษ ได้มาเป็นเพลงหนึ่ง แล้วก็คิดว่า เมื่อคืนกูเป็นอะไรวะ (ฮา) มันเหมือนกับว่าช่วงที่เราเมา ณ ตอนนั้น มันพูดสิ่งที่อยู่ในใจเราออกไปหมดโดยที่เราไม่รู้ด้วยว่า จริงๆ ในใจเรามันคิดอะไรอยู่ ก็เลยแทนสิ่งที่อยู่ข้างในวันนั้นเป็นคำว่า จักรวาลสมมติ ในตัวเรามันเหมือนมีบางสิ่งที่มันเหมือนอีกจักรวาลหนึ่งที่เราไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ รู้สึกอะไรอยู่


02 เพียงฤดู

เพียงฤดู มันเป็นสิ่งที่เราอยากจะบอกตัวเอง แต่พอมันไป effective กับคนที่เขาเป็นโรคซึมเศร้า แล้วเขาทักมาบอกว่าเขารู้สึกดีได้ด้วยเพลงนี้ มันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองในการทำดนตรีไป เราเป็นคนไม่ได้อินกับรางวัลหรือยอดวิวอะไรอยู่แล้ว เราแค่รู้สึกว่า เออว่ะ มันมีคนกลุ่มหนึ่งที่ได้อะไรดีๆ จากเพลงนี้ อาจจะมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย แต่ว่าถ้าเพลงเรามันไปเซฟเขาได้ โห นี่มันคือรางวัลที่ใหญ่ที่สุดสำหรับคนทำเพลง คือเพลงไปช่วยชีวิตคนไว้


03 เสียงทะเล

ไบร์ท : ผมชอบเพลง เสียงทะเล เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมไม่ได้ทำเลยนะ ตูนทำคนเดียว แต่ว่าตอนที่มันไปทำเพลงนี้ ผมไปอยู่ที่ทะเลกับมันด้วย เลยต้องไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นด้วย มันเลยอินไง (หัวเราะ) ฟังแล้วร้องไห้เลยนะ มันเป็นเพลงที่ง่าย เหมือนกูไม่เป็นไรแล้ว แต่จริงๆ กูคิดถึง มันก็ทัชผม

ตูน : เพราะมึงชอบพาสาวไปทะเลไง  

ไบร์ท : มึงแหละ

ตูน : เราเรียนที่ศิลปากร วิทยาเขตเพชรบุรี เพราะฉะนั้นสถานที่ที่มันจะโรแมนติกที่สุด ณ ที่นั้นก็คือทะเล ทุกคนต้องพาสาวไปทะเล


04 รอสายรุ้ง

ไบร์ท : คือตอนทำเราก็รู้สึกได้ว่าท่อนนี้มันว่ะ เคยไหมที่เราฟังเพลงที่ไม่รู้ว่าความหมายมันคืออะไร แต่จู่ๆ มันก็ขนลุกอะ แล้วเราก็ต้องกลับไปฟังใหม่ว่ามันต้องการจะเล่าอะไร แล้วมันก็จะอิน

ตูน : เมสเซจเดียวเลยก็คือ ถ้าไม่รอ ก็ไม่นาน คนเราให้ความสำคัญกับเวลาที่เป็นตัวเลขมากเกินไป คนเราไปกำหนดเองว่าการโสดมาหนึ่งปีคือนาน การลืมใครคนหนึ่งไม่ได้มาสามเดือนแปลว่านาน ถ้าเราใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องกระเสือกกระสนจะหาแฟน หรือจะหาคนที่ใช่ ก็ใช้ชีวิตปกติมันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันนานหรือว่าอะไร อยู่คนเดียวก็ไม่ได้แย่ วันหนึ่งเจอคนเข้ามามันก็อาจจะเป็นเรื่องดีๆ ไม่อยากให้คนไปรอคอยอะไรบางอย่าง ไม่อยากให้ไปใจจดใจจ่อกับมันมากเกินไป

จริงๆ ก็เป็นความขบถกับอีกหลายเพลงที่เราเคยได้ยินมา หลายเพลงที่บอกว่า ต้องรอไปอีกนานแค่ไหน ต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่ ไม่ต้องรอ ใช้ชีวิตไปตามปกติเลย ไม่มีใครมานั่งจ้องมองหาว่าสายรุ้งอยู่ไหน สายรุ้งๆๆ แต่พอวันหนึ่งเราแหงนหน้ามองเห็นสายรุ้ง อันนั้นคือ beautiful moment 


05 สีของฟ้า

บี๋ : รู้สึกว่าเพลงนี้มันไม่ได้สื่อแค่เรื่องความรักอย่างเดียว ชีวิตเราทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปตลอด แค่สีของท้องฟ้ามันยังเปลี่ยนทุกวันเลย เมื่อก่อนเราเป็นคนคิดมาก มีอะไรก็ชอบเก็บมาคิด แต่พอได้ฟังเพลง เออ มันก็จริง คนเราความคิดมันก็เปลี่ยนทุกๆ วัน เราโตขึ้นเรายังคิดไม่เหมือนเดิมเลย ฟังเพลงนี้แล้วมันทำให้เราปล่อยวางได้ว่า ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตลอดเวลาแหละ ไม่ต้องไปยึดติดกับมัน

 

AUTHOR

Video Creator

ชาคริต นิลศาสตร์

อดีตตากล้องนิตยสาร HAMBURGER /ค้นพบว่าตัวเองมีความสุขและสนุกทุกครั้งที่ได้ทำงานภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว