ในโมงยามของวิกฤตที่โรคระบาดต่างสร้างผลกระทบให้ทุกคน สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อว่าทุกคนควรมีให้กันคือความเห็นอกเห็นใจ
แบรนด์ข้าวตราฉัตรเชื่ออย่างนั้น แม้จะเป็นปลาใหญ่ในมหาสมุทรการค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดนี้มากเท่าหลายๆ ธุรกิจ ด้วยรูปแบบสินค้าที่เป็นอาหารแห้งซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงที่หลายคนอยากกักตุนอาหารไว้ แต่ข้าวตราฉัตรก็นึกถึงชะตากรรมของผู้ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเต็มๆ อย่างร้านอาหารรายย่อยที่ต้องปิดตัวลง ด้วยไม่มีลูกค้ากล้าออกจากบ้านมานั่งทานที่ร้านเพราะต้องเว้นระยะห่าง (social distancing) เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
คำว่า social distancing นี้เองต่อยอดให้ข้าวตราฉัตรผุดแคมเปญ #SocialDISHtancing เพื่อช่วยเหลือกลุ่มร้านค้าขนาดเล็กและขนาดกลาง ในคอนเซปต์ ‘เมนูสุขไม่เว้นระยะห่าง’ ที่อยากส่งต่ออาหารดีๆ จากร้านค้ารายย่อยไปยังคนกินที่บ้าน
แคมเปญนี้จะช่วยเหลือพวกเขายังไง อะไรคือเหตุผลที่แบรนด์ใหญ่อย่างข้าวตราฉัตรลุกขึ้นมาทำเพื่อร้านค้ารายย่อยเหล่านี้ เราจึงต่อสายตรงถึง สุเมธ เหล่าโมราพร CEO ข้าวตราฉัตรเพื่อไขข้อสงสัย
Social Distancing DISHtancing
“ธุรกิจข้าวเป็นธุรกิจการเกษตรพื้นฐาน อาศัยคนหมู่มากเป็นตัวตั้งต้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งนี้แบรนด์ข้าวตราฉัตรเองได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะยอดสั่งซื้อข้าวในประเทศและส่งออกทำให้มีการผลิตอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่เรามองเห็นคือกลุ่มร้านอาหาร ซึ่งเป็นลูกค้าประจำของเราต่างได้รับผลกระทบไปเต็มๆ จากนโยบายของภาครัฐที่ต้องให้ซื้อกลับบ้านเท่านั้น ห้ามให้ลูกค้านั่งกินที่ร้านเพราะเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ” สุเมธเท้าความถึงจุดเริ่มต้นของแคมเปญให้เราฟัง
“ร้านอาหารจำนวนหนึ่งเป็นร้านขนาดกลางและขนาดเล็ก ไม่เคยขายอาหารออนไลน์มาก่อน ปรับตัวไม่ทัน จึงต้องปิดตัวลง ไม่เพียงแค่ร้านอย่างเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่แม่ครัวพ่อครัวและคนทำงานในร้านทั้งหมดก็ถูกเลิกจ้างไปตามๆ กัน”
เพราะมองเห็นความสำคัญของปัญหาและคิดว่าพอจะมีกำลังสนับสนุน แบรนด์ข้าวตราฉัตรผู้เป็นต้นน้ำจึงคิดหาทางช่วยเหลือร้านค้ารายเล็กเหล่านี้ คิดวางแผนจนในที่สุดก็เกิดเป็นแคมเปญ #SocialDISHtancing
“แคมเปญ #SocialDISHtancing ล้อมาจากคำว่า social distancing โดยเราจะชวนร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวน 50 ร้าน โดยเฉพาะร้านที่ไม่เคยเปิดขายออนไลน์มาก่อนให้ขึ้นมาลุยตลาดออนไลน์ ผ่านบริการเดลิเวอรีอย่าง LINE MAN
“นอกจากนี้ ข้าวตราฉัตรยังโปรโมตสนับสนุนในทุกช่องทางอย่างเต็มที่ และมีการแจกคูปองส่วนลดค่าส่งให้ผู้บริโภค นับว่าได้ประโยชน์ทั้งร้านค้าและคนกิน”
ห่างกัน แต่ไม่ห่างไกลความอร่อย
สุเมธขยายความเพิ่มว่า ร้านที่เลือกมาร่วมแคมเปญคือ 50 ร้านรายย่อยที่กระจายตัวอยู่ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่กรุงเทพฯ ฝั่งธนฯ ไปจนถึงมีนบุรี หรือร้านที่ไม่มีหน้าร้านแต่ทำธุรกิจแบบ food catering รับทำอาหารในงานเลี้ยงต่างๆ ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อกระจายโอกาสให้ร้านค้าหลายประเภทในหลายเขตได้ขายอาหาร และกระจายโอกาสของผู้บริโภคในเขตนั้นๆ ให้ได้รู้จักร้านใหม่ใกล้บ้านซึ่งไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ด้วยเช่นกัน
“เราแบ่งแคมเปญ #SocialDISHtancing เป็น 2 เฟสใหญ่ๆ เฟสแรกจะเริ่มในวันที่ 10 เมษายนเป็นต้นไป เราจะนำรายชื่อร้านอาหารพร้อมเมนูเด็ดของแต่ละร้านขึ้นในระบบเดลิเวอรีเพื่อให้ผู้บริโภคสั่งซื้อ แต่เนื่องจากร้านเหล่านี้ไม่ได้มีคนรู้จักมากนัก เพื่อให้เขาโดดเด่นจากร้านค้าอีกร้อยพันในระบบเดลิเวอรี เราจึงอยากสร้างการรับรู้ (brand awareness) ให้ผู้บริโภครู้จัก”
สเตปแรกเริ่มจากการส่งทีมงานของข้าวตราฉัตรไปถ่ายรูป ทำประวัติ และถ่ายเมนูเด็ดของแต่ละร้าน เพื่อทำสื่อโปรโมตในช่องทางออนไลน์ เน้นไปที่สื่อโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก official page ของข้าวตราฉัตร เฉลี่ยวันละ 3 ร้าน พร้อมยิงโฆษณาไปยังผู้บริโภคในเขตใกล้เคียงให้เห็นในหน้าฟีด
และเพื่อจูงใจคนกินมากขึ้น แต่ละร้านก็จะมีการจัดโปรโมชั่นอาหารที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นราคาพิเศษหรือของแถม รวมถึงการบรรจุในหีบห่อที่มีคุณภาพ ส่งถึงบ้านคนกินแล้วอาหารยังอยู่ในสภาพดี นอกจากนี้ข้าวตราฉัตรยังให้ความสำคัญกับการคัดสรรผู้จัดส่งในแอพพลิเคชั่นเดลิเวอรีอย่าง LINE MAN ด้วยการเลือกคนที่มีผลคะแนนเฉลี่ยดีๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อส่งถึงมือผู้บริโภคแล้วจะเกิดความประทับใจ แถมยังแจกส่วนลดค่าส่งพิเศษด้วยโค้ด ‘SODISHTANCING’ ให้คนกินไม่ต้องกังวลว่าค่าส่งจะแพงอีกต่อไป
เมนูสร้างสรรค์ความสุข
หลังจากโปรโมตในทุกช่องทางจนเต็มที่ เฟสต่อไปของแคมเปญคือการส่งต่อความสุขผ่านเมนูอาหาร
“ผู้บริโภคหลายคนซื้อสินค้าไปกักตุนที่บ้านในช่วงล็อกดาวน์ พออยู่บ้านนานๆ บางบ้านอาจจะคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรกินดี” เพราะฉะนั้นข้าวตราฉัตรจึงมอบหมายให้เจ้าของร้าน 50 ร้านพันธมิตรในแคมเปญนี้สร้างสรรค์เมนูง่ายๆ ที่อร่อยและสร้างสรรค์ แล้วทำคลิปสั้นๆ สอนทำอาหารจากวัตถุดิบที่ตุนไว้
“เราจะแจกวิธีทำอาหารอย่างง่ายๆ วันละ 1-2 โพสต์บนหน้าเพจ โดยคนกินสามารถเลือกได้อีกว่าจะทำตามสูตรที่แจกให้ก็ได้ หรือถ้าอยากลองชิมสูตรต้นตำรับจากร้านนั้นๆ ก็สามารถสั่งซื้ออาหารจากร้านให้มาส่ง อร่อยถึงที่บ้านได้เหมือนกัน เราเข้าใจลูกค้าที่ซื้อข้าวไปตุนไว้แล้วคิดเมนูอาหารไม่ออก จึงอยากสนับสนุนการทานอาหารให้มีความสุขมากขึ้น ออกจากบ้านไม่ได้ก็มาลองทำ เราอยากให้แคมเปญ 2 เฟสนี้ดำเนินไปด้วยกันทั้งร้านอาหารและผู้บริโภค เป็น #SocialDISHtacing ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ได้แชร์ความสุขด้วยกันจากเมนูอาหาร”
มองวิกฤตเป็นโอกาส
แน่นอนว่าความคาดหวังของแคมเปญนี้คือการที่ร้านค้าในแคมเปญมีรายได้ดีขึ้น มีการจ้างงานมากขึ้น และอยากให้ผู้บริโภคได้ลิ้มรสร้านอาหารจากร้านที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อขยายพื้นที่ให้กับร้านใหม่ๆ ได้อีกในอนาคต
แต่เหนือสิ่งอื่นใด แคมเปญนี้ไม่ได้เป็นเพียงการช่วยเหลือร้านค้าเล็กๆ ในระยะสั้น แต่ยังเป็นการต่อยอดให้พวกเขาในระยะยาวด้วย
“ภายใต้วิกฤตที่เกิดขึ้นครั้งนี้เรามองว่ามันเป็นการเปิดโอกาสให้ร้านอาหารเหล่านี้ได้สัมผัสกับรูปแบบการขายที่พวกเขาไม่คุ้นชิน ต้องปรับตัว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าการระบาดของไวรัสจะจบลงเมื่อไหร่ แต่เมื่อมันหยุดระบาดและทุกอย่างกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ อย่างน้อยพวกเขาก็ได้อีกหนึ่งช่องทางการขายเพิ่มขึ้นมา มีรายได้มากขึ้น ข้าวตราฉัตรเองก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการให้บริการทางการขายรูปแบบใหม่ให้พวกเขา
“สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากช่วงวิกฤตนี้คือ หนึ่ง อย่าประมาท ในช่วงที่เราเข้มแข็ง เราต้องสำรองกำลังไว้รองรับช่วงที่จะเจอภาวะวิกฤต สอง พยายามอย่าเอายอดขายกับทรัพย์สมบัติอยู่ในตะกร้าใบเดียว พยายามมองหาโอกาสในการขายใหม่ๆ
“และสาม การยอมรับชะตากรรมจากวิกฤตนั้นไม่สู้การใช้สติปัญญาในการสร้างโอกาสจากวิกฤต แคมเปญ #SocialDISHTancing ก็เหมือนเป็นโครงการวางรากฐานร้านอาหาร เป็นมิติใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
“และเมื่อวิกฤตผ่านไป วันนั้นเราจะพบว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเดิม” สุเมธทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้มกว้าง
สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารท่านใดสนใจอยากเข้าร่วมโครงการ SocialDISHtancing–เว้นระยะห่างจากสังคม แต่ไม่เว้นระยะห่างจากรสชาติความสุข ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ข้าวตราฉัตร เบอร์โทรศัพท์ 02-646-7200