“สิงคโปร์มีงานอาร์ตด้วยเหรอ”
เพื่อนบางคนถามกลับ ทันทีเมื่อเราบอกว่ากำลังจะไปสิงคโปร์เพื่อไปดูงานอาร์ต งานอาร์ต และงานอาร์ตโดยเฉพาะ
“ไปมาหลายครั้ง ไม่เห็นมีอะไรเลย” พวกเขาว่า
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เราจึงพยายามสาธยายให้ฟังว่า โอเค สิงคโปร์อาจจะโดดเด่นเรื่องเศรษฐกิจที่แซงหน้าเพื่อนบ้านไปไกล มีมารีน่า เบย์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อ และมีแลนด์มาร์กเป็นเมอร์ไลอ้อนก็จริง แต่นั่นมันก็แค่ภาพจำจากอดีต เพราะตั้งแต่ปี 2000 รัฐบาลก็ประกาศกร้าวว่าพวกเขาจะทำสิงคโปร์ให้เป็น global arts city ให้ได้ และเริ่มเทเงินให้พิพิธภัณฑ์ต่างๆ นำงานศิลปะระดับโลกมาจัดแสดง ชวนศิลปินและดีไซเนอร์ดังๆ มาสร้างสรรค์งานที่สิงคโปร์ สนับสนุนโรงเรียนดีไซน์ และศิลปะก็ค่อยๆ เจอที่ทางในชีวิตของผู้คนจนได้
พูดแค่นี้เพื่อนของเราก็ยังไม่เห็นภาพ และคุณก็อาจจะกำลังขมวดคิ้วสงสัยอยู่ว่ามันจริงเหรอ เราจึงใช้พื้นที่ตรงนี้รวบรวม 10 จุดอาร์ตน่าไปมาให้ดูกันชัดๆ ตั้งแต่หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ที่คุณน่าจะรู้จักอยู่แล้ว กำแพงที่ศิลปินสตรีททั่วโลกต้องแวะมา โรงแรมหรูที่รับสมัครศิลปินมาพักฟรี ไปจนถึงโรงหนังอินดี้ในห้างที่เป็นชุมชนคนไทย
ยังไม่ต้องจ่ายค่าเครื่องบิน ไม่ต้องจองโรงแรม ที่พัก
เรื่องนั้น อ่านจบแล้วค่อยว่ากัน
National Gallery Singapore
ถ้าอยากเข้าใจรากของศิลปะในสิงคโปร์ให้ลองแวะไปใช้เวลาที่ National Gallery Singapore ก่อน เพราะนิทรรศการถาวรของที่นี่มีชื่อว่า Siapa Nama Kamu? (What is your name?) ที่โชว์งานศิลปะบนเกาะแห่งนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เรื่อยมา และ Between Declarations and Dreams ที่เน้นศิลปะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เช่นกัน
นอกจากนี้ National Gallery Singapore ยังมีนิทรรศการพิเศษให้ดูตลอดปี และเพราะความเอาจริงเอาจัง พวกเขาจึงสามารถดึงศิลปินระดับโลกมาร่วมจัดแสดงงานได้ เช่น นิทรรศการ MINIMALISM: SPACE. LIGHT. OBJECT. ที่เราเพิ่งไปดูมา นิทรรศการนี้เล่าเรื่องราวของงานศิลปะสไตล์มินิมอลผ่านงานของศิลปินระดับโลก ทั้ง Anish Kapoor ศิลปินอังกฤษเชื้อสายอินเดียผู้ครองลิขสิทธิ์ Vantablack หรือสีดำที่ดำที่สุดในโลก (ใครอยากเห็นว่าสีที่ว่าดำมืดแค่ไหนให้รีบไปดู), Ai Weiwei ศิลปินจีนจอมขบถ, Olafur Eliasson ผู้นำห้องสีเหลืองอ๋อยที่เปลี่ยนทุกวัตถุในห้องให้เป็นสีขาวดำมาโชว์, Yayoi Kusama คุณป้าเจ้าของงานลายจุด และศิลปินอื่นๆ ที่ทำเอาเราเดินวนอยู่ในนั้นหลายชั่วโมง
MINIMALISM: SPACE. LIGHT. OBJECT. จัดขึ้นตั้งแต่ 16 พฤศจิกายน 2018 – 14 เมษายน 2019 ส่วนใครพลาดงานนี้ไปก็ไม่ต้องเสียดายไป เพราะที่นี่ยังมีนิทรรศการดีๆ อื่นๆ จัดขึ้นตลอด จนเรามั่นใจว่าต่อให้ไปสิงคโปร์ซ้ำๆ ที่นี่ก็ยังจะมีงานศิลปะใหม่ๆ ให้ดูแน่นอน
website : nationalgallery.sg
hours : เปิดทุกวัน เวลา 10:00-19:00 น. (วันศุกร์เปิดถึง 21:00 น.)
ArtScience Museum
ออกจาก National Gallery Singapore แล้วเดินข้ามมารีน่า เบย์ ไปยังฝั่งตรงข้ามจะเจอ ArtSciene Museum พิพิธภัณฑ์ที่เชื่อในการบรรจบกันของโลกศิลปะและวิทยาศาสตร์ งานที่นี่จึงมักจะเป็นงานใหม่ๆ ล้ำๆ โดยเฉพาะไฮไลต์อย่างนิทรรศการถาวร Future World โดย Teamlab กลุ่มนักสร้างสรรค์ชาวญี่ปุ่นที่จับเอาเทคโนโลยีมาผสมกับศิลปะจนดังไปทั่วโลก
แน่นอนว่านิทรรศการที่นี่มีขนาดเล็กกว่าที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ก็แน่นด้วยคุณภาพทั้ง 5 โซน คือ Nature, Town, Sanctuary, Park และ Space โดยเฉพาะงานมาสเตอร์พีซอย่าง Transcending Boundaries น้ำตกอินเทอแร็กทีฟที่จะแหวกเมื่อเราเข้าไปยืนใกล้ๆ น้ำและมีดอกไม้ผุดพรายขึ้นมาแทน หรือ Crystal Universe ทางเดินท่ามกลางแสงไฟวิบวับนับพันที่ใครๆ ก็ต้องหยุดถ่ายรูป และในอนาคตก็จะมีงานใหม่อื่นๆ ของทีมแล็บวนเวียนเปลี่ยนมาให้ดูอีกด้วย ใครไม่มีเวลาไปไกลถึงญี่ปุ่น ลองแวะมาดูที่นี่ก่อนก็ดีไม่แพ้กัน
website : marinabaysands.com/museum/exhibitions-and-events
hours : เปิดทุกวัน 10:00-19:00 น.
DECK
เพราะตึกส่วนใหญ่ในสิงคโปร์มักเป็นตึกหน้าตาโฉบเฉี่ยวที่ออกแบบโดยสถาปนิกชั้นนำของโลก หรือตึกแถวเก่าสไตล์เปอรานากันที่รีโนเวตด้านในให้โมเดิร์น เมื่อได้เจอ DECK แกลเลอรีภาพถ่ายที่ใช้ตู้คอนเทนเนอร์มาวางซ้อนกันในสเปซเล็กๆ จึงดูใหม่สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น
เมื่อได้คุยกับ Gwen Lee หญิงสาวผู้ก่อตั้ง DECK เราถึงได้รู้ว่าไอเดียของที่นี่ก็เป็นเรื่องใหม่ในสิงคโปร์เช่นกัน เพราะที่นี่คือหนึ่งในชุมชนช่างภาพซึ่งมีอยู่น้อยนิดในสิงคโปร์ พวกเขาจึงใช้พื้นที่เล็กๆ ที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด ด้วยการแบ่งสเปซเป็นแกลเลอรีแสดงงานภาพถ่าย 2 ห้อง, ห้องสมุดที่ได้รับบริจาคหนังสือจาก Steidl สำนักพิมพ์อาร์ตบุ๊กเยอรมันกว่าพันเล่ม, ห้องทำงานทีมงาน และห้องทำงานของ artist-in-residence ที่พวกเขาเปิดรับตลอดทั้งปี
งานที่พวกเขาจัดแสดงมีตั้งแต่งานของช่างภาพชาวสิงคโปร์ งานของศิลปินต่างประเทศ ไปจนถึงงานที่ DECK ทำหน้าที่เป็นแม่สื่อจับคู่นักเรียนถ่ายภาพและช่างภาพมืออาชีพเพื่อให้รุ่นพี่ช่วยรุ่นน้องพัฒนาโปรเจกต์ แถมยังวางขายหนังสือโฟโต้บุ๊กดีๆ อีกด้วย ใครอยากเห็นว่าแวดวงภาพถ่ายในสิงคโปร์เป็นอย่างไรควรแวะมาที่นี่เป็นอย่างยิ่ง
website : deck.sg
hours : 12:00-19:00 น. (วันอาทิตย์เปิดถึง 17:00 น. หยุดวันจันทร์)
Telok Ayer Arts Club
ใจกลางถนน McCallum ย่านธุรกิจอันคึกคักของสิงคโปร์ยังมีร้านเล็กๆ ซ่อนอยู่เพื่อทำให้งานศิลปะเข้าถึงคนสิงคโปร์มากขึ้น (โดยเฉพาะคนทำงาน) ร้านที่ว่ามีชื่อว่า Telok Ayer Arts Club
Telok Ayer Arts Club คือร้านอาหาร บาร์ และแกลเลอรีที่จัดแสดงงานศิลปะแบบไม่จำกัดเทคนิค บางครั้ง พวกเขาก็โชว์งานเพนต์ติ้งไว้บนผนังร้านให้คนที่มานั่งกินอาหารและจิบค็อกเทลได้เอ็นจอย แต่บางครั้ง พวกเขาก็ไปไกลกว่านั้น เช่น นิทรรศการ 11 ที่ศิลปินเขียนงานเขียน 11 ชิ้น แล้วชักชวนคน 11 คนมาร่วมงาน พวกเขาจะถูกจับคู่และเวียนกันอ่านบทหลากหลายอารมณ์เหล่านั้นที่ทำเอาบางคนหัวเราะออกมาดังๆ และบางคนก็ต้องเสียน้ำตา
และเพราะที่นี่คือ ‘arts club’ ศิลปะจึงเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ในแต่ละนิทรรศการ บาร์เทนเดอร์และเชฟจะสร้างสรรค์เมนูพิเศษขึ้นมาเพื่อนิทรรศการนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น นิทรรศการ 11 ที่พวกเขาเพิ่มเมนู Penici11in และ Chi11i Crab เข้ามา (เห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ในชื่อเมนูไหม) ทำให้นอกจากจะพลาดนิทรรศการไม่ได้แล้ว การไปกินมื้อพิเศษจากนิทรรศการก็เป็นเรื่องที่พลาดไม่ได้เช่นกัน
website : telokayerartsclub.sg
hours : 11:00-23:00 น. ปิดวันอาทิตย์
The Projector
ว่ากันว่าถ้าอยากกินอาหารไทยในสิงคโปร์ ที่หนึ่งที่คุณจะหาข้าวมันไก่ ส้มตำ และก๋วยเตี๋ยวเรือได้แน่ๆ คือห้าง Golden Mile Complex หรือ Golden Mile Tower บนถนน Beach Road เพราะที่นี่เคยเป็นแหล่งแฮงเอาต์ของชุมชนชาวไทยที่ไปทำงานในสิงคโปร์มาก่อน แต่ที่ใครๆ ไม่ค่อยรู้คือที่ชั้นบนสุดของห้างเก่าแก่นี้ยังเป็นแหล่งแฮงเอาต์ของคนรักหนังนอกกระแสในสิงคโปร์อีกด้วย
พื้นที่ที่ว่าคือ The Projector โรงหนังนอกกระแสที่ก่อตั้งในปี 2014 หลังจากโรงหนังบอลลีวูดปิดกิจการ โดยหนังที่ฉายที่นี่มีทั้งหนังใหม่ล่าสุด หนังนอกกระแส สารคดี และแอนิเมชั่น แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นคือพวกเขายังจัดเทศกาลฉายหนังตามธีมต่างๆ (แถมพวกเขากระซิบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีเทศกาลหนังไทยด้วย) เปิดพื้นที่แสดงคอนเสิร์ตวงอินดี้ ให้คนมาจัดทอล์ก หรือแม้กระทั่งเปิดบ้านเป็นพื้นที่จัดงานประกาศรางวัลด้วย
สิ่งที่เราชอบที่นี่คือรายละเอียดเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่เต็มไปหมด ตั้งแต่ห้องน้ำที่เต็มไปด้วยโปสเตอร์หนังนับร้อย (เราลองไปเดินหาโปสเตอร์หนังโปรดของตัวเองในนั้นมาแล้ว) ใต้เก้าอี้ในโรงหนังที่มีชื่อคนแปะอยู่ ซึ่งทีมงานอธิบายว่าตอนเปิดโรงหนัง พวกเขาเปิดให้คนซื้อที่ใต้เก้าอี้เพื่อแปะชื่อของตัวเองได้ แต่กลายเป็นว่าคนกลับซื้อให้เพื่อนหรือคนรักเต็มไปหมด และถึงตอนนี้ใต้เก้าอี้จะโดนจับจองไปหมดแล้วแต่เก้าอี้ทุกตัวก็ยังเปิดให้คนซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังเหมือนเดิมนะ
ป.ล. The Projector ยังอยู่ห่างจากดีไซน์ช็อป Supermama เพียง 500 เมตร ใครอยากซื้องานดีไซน์โดยดีไซเนอร์สิงคโปร์แท้ๆ เป็นของฝากต้องลองแวะไปดู
website : theprojector.sg
hours : เปิดทุกวัน 11:00-00:00 น.
Little India
ฟังแค่ชื่อก็รู้ว่านี่คือถิ่นที่อยู่และชุมชนของคนอินเดียในสิงคโปร์ ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจึงไปเยือน Little India เพื่อชิมอาหารอินเดียและเดินเล่นในห้าง Mustafa Center เป็นหลัก แต่ช่วง Singapore Art Week เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Little India ก็กลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่คนชอบสตรีทอาร์ตต้องไป
นั่นเพราะทางเทศกาลชวนศิลปินสตรีทอาร์ตนับสิบมาทำงานสตรีทอาร์ตในพื้นที่ เมื่อรวมกับงานสตรีทอาร์ตที่มีอยู่ก่อนหน้า ก็ทำให้ชุมชนกลายเป็นเหมือนแกลเลอรีขนาดใหญ่ ให้เดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ ไปเสพงานศิลปะ ซึ่งหลายงานก็เกี่ยวข้องกับความเป็นอินเดีย เช่น ภาพ Loops of the Precious บน Upper Dickson Road หรือผนังสีทองแวววาวพ่นลายฉลุที่ต้องการสื่อถึงอาชีพช่างทองที่ค่อยๆ หายไป
ความสนุกของที่นี่คือการได้เห็นงานสตรีทอาร์ตอยู่มุมนั้นมุมนี้แบบไม่ได้คาดหมาย แต่ใครอยากไปเช็กอินให้ครบทุกจุด เขาก็มีแผนที่ให้ไปตามรอยได้เหมือนกัน
hours : เปิดทุกวัน
Sultan Arts Village
ถ้าคุณคิดว่าสิงคโปร์มีแต่ตึกรามบ้านช่องทันสมัยและถนนหนทางสะอาดสะอ้าน คุณควรจะต้องมาที่ Sultan Arts Village เป็นที่สุด เพราะนี่คือขั้วตรงข้ามของภาพสิงคโปร์แบบนั้น
ไม่ใช่ว่าที่นี่คือพื้นที่นอกกฎหมายแต่อย่างใด แต่ Sultan Arts Village คือชุมชนคนรักงานสตรีทอาร์ตที่เหนียวแน่นและโด่งดังของสิงคโปร์ ที่นี่เป็นที่ตั้งของ The Black Book Studio กลุ่มกราฟฟิตี้มีชื่อและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งบนเกาะแห่งนี้ ที่เปิดร้าน Zinc Nite Crew ขายสีสเปรย์ และยังเป็นที่อยู่ของศิลปินอีกหลายคน พร้อมสตูดิโองานอาร์ตและคราฟต์น่าสนใจอีกจำนวนหนึ่ง
เพื่อให้สมกับเป็นที่แฮงเอาต์ของชาวสตรีท บนผนังตึกและกำแพงยาวที่ล้อมรอบจึงเต็มไปด้วยงานสตรีทของทั้งศิลปินที่นี่ และศิลปินต่างชาติที่แวะเวียนมาเพราะได้ยินชื่อเสียงของ Sultan Arts Village (แต่ต้องมีการคุยกันก่อนพ่นอยู่ดีนะ!) และแน่นอนว่ากราฟฟิตี้บนกำแพงนั้นไม่ถาวร ดังนั้นทุกครั้งที่ไปสิงคโปร์จะแวะไปดูความเปลี่ยนแปลงสนุกๆ แล้วค่อยไปช้อปปิ้งต่อที่ Orchard Road ซึ่งอยู่ไม่ไกลก็ได้เหมือนกัน
website : sultangate.sg/street-of-sultangate/
hours : เปิดทุกวันให้แวะเข้าไปดูกำแพงได้ตลอดเวลา
The Vagabond Club
มองจากภายนอก นี่คือโรงแรมสุดหรูใกล้ย่าน Little India ที่ดูจะต้อนรับแขกกระเป๋าเงินหนาเท่านั้น แต่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้คือพวกเขายังต้อนรับบรรดาศิลปินอีกด้วย
การต้อนรับที่ว่ามาในรูปแบบของโปรแกรม artist-in-residence ที่เปิดให้ศิลปินทุกเชื้อชาติส่งใบสมัครเข้าไป ศิลปินที่ได้รับการคัดเลือกจะได้ห้องพักไว้อยู่อาศัยและสร้างงานฟรีๆ เป็นระยะเวลาตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ไปจนถึงสองอาทิตย์ โดยไม่จำเป็นต้องตอบแทนโรงแรม แค่ต้องมีกิจกรรมร่วมกับแขกของโรงแรมบ้างก็พอ เช่น นักพูดที่มานั่งพูดคุยและรับฟังแขกในล็อบบี้ หรือ Chiara Luzzana ซาวนด์อาร์ติสท์ผู้ใช้เวลาตอนกลางคืนลงมาเคาะ ตบ ตี ข้าวของต่างๆ ในโรงแรมและอัดเสียงไปมิกซ์เป็นเพลง ก่อนเอามาเปิดโชว์ในที่สุด
ส่วนใครไม่ได้เป็นศิลปินจะไปแวะไปดูงานศิลปะที่นี่ก็ได้ เพราะเจ้าของโรงแรมประดับงานศิลปะที่สะสมไว้เต็มล็อบบี้ (แม้แต่เคาน์เตอร์ reception ก็เป็นงานศิลปะ!) และยังมีห้องสมุดวิสกี้ (Whisky Library) ที่รวมวิสกี้ชั้นดีจากทั่วโลก โดยเฉพาะสกอตแลนด์และญี่ปุ่นไว้มากกว่า 1,000 ขวด ใครชอบทั้งงานศิลปะและบรรยากาศบาร์ชั้นดี ไปสิงคโปร์คิวหน้าต้องลองแวะไปดู
website : hotelvagabondsingapore.com
hours : เปิดทุกวัน 18:00-02:00 น.
LASALLE College of the Arts
ถ้าแวะไปที่ LASALLE College of the Arts ช่วงวันธรรมดา คุณต้องรู้แน่นอนว่าที่นี่คือสถาบันศิลปะเพราะบรรดานักเรียนต่างจะออกมาทำกิจกรรมเต็มลานกลางมหาวิทยาลัยไปหมด ทั้งซ้อมการแสดง โชว์ร้องเพลง หรือกระทั่งจัดนิทรรศการย่อมๆ สมกับที่ที่นี่เปิดสอนตั้งแต่ศิลปะ สถาปัตยกรรม ดีไซน์ แฟชั่น การแสดง ไปจนถึงร้องเพลง
แต่นอกเหนือจากลานตรงกลางที่กิจกรรมค่อนข้างแรนด้อม ที่ LASALLE ยังมีแกลเลอรีถึง 2 แห่งสำหรับโชว์งานของเด็กนักเรียนตลอดทั้งปีอีกด้วย คุณจึงจะได้ชมงานเจ๋งๆ แบบฟรีๆ อย่างตอนที่เราแวะไปก็มีนิทรรศการงานออกแบบของนักศึกษาดีไซน์โชว์อยู่ ซึ่งบางชิ้นถึงขั้นชนะรางวัลออกแบบ Red Dot Design Award ด้วย!
แต่ถ้าสนใจงานสถาปัตยกรรมเป็นพิเศษ แค่ไปเดินดูตึกก็สนุกแล้วเพราะตึกเรียนของที่นี่ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกสิงคโปร์แท้ๆ อย่าง RSP Architects ออกมาเป็น ‘The Black Box’ หรือตึกเรียนที่ล้ำเกินตึกเรียนธรรมดาๆ ไปมาก ส่วนข้างๆ โรงเรียนยังมีโบสถ์ Singapore Life Church หน้าตาล้ำเกินโบสถ์ธรรมดา ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิก LAUD Architects (เจ้าเดียวกับที่ออกแบบ DECK) เดินดูเพลินๆ เวลาอาจผ่านไปเร็วแบบไม่รู้ตัว
website : lasalle.edu.sg
hours : (แกลเลอรี) วันอังคาร-อาทิตย์ 12:00-19:00 (ปิดวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
Nanyang Technological University (NTU)
ถ้า LASALLE College of the Arts มี The Black Box เป็นจุดขายละก็ ที่สถาบัน NTU ก็มีตึกเรียนรวม The Hive เป็นจุดขายเช่นกัน เพราะนอกจากจะออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษชื่อดัง Thomas Heatherwick แล้ว หน้าตาที่ละม้ายคล้ายตะกร้าติ่มซำยังทำให้มันได้ชื่อเล่นน่ารักๆ ว่า ‘ตึกติ่มซำ’ (Dim Sum Basket Building) ด้วย
แต่นอกจากตึกสวยๆ แล้ว NTU ยังมีแกลเลอรีสำหรับแสดงงานศิลปะด้วย โดยไม่ใช่แค่งานของนักศึกษา เพราะพวกเขาจริงจังระดับมี Gallery Director โดยเฉพาะ และมีการชักชวนศิลปินชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแสดงงานอยู่เสมอ (ศิลปินชาวเชียงใหม่อย่าง ‘Torlap’ ก็เคยไปแสดงงานที่นี่มาแล้ว) ส่วนเดือนพฤษภาคมเป็นคิวของอีเวนต์ใหญ่ที่ทั้งโรงเรียนจะจัดแสดงงานของนักเรียนทุกภาค ตั้งแต่ศิลปะเน้นๆ ถ่ายภาพ ไปจนถึงแอนิเมชั่น ให้ได้เดินดูกันจนเหนื่อย
ข้อควรรู้ของ NTU คือมันอยู่ห่างจากใจกลางเมืองสิงคโปร์มาก ระดับที่นั่งรถไปยังใช้เวลาประมาณ 40 นาที ดังนั้นควรวางแผนการเดินทางให้ดีด้วย
website : ntu.edu.sg
hours : วันอังคาร-อาทิตย์ 12:00-19:00 (เปิดในวันหยุดนักขัตฤกษ์ยกเว้นวันหยุดที่ตรงกับวันจันทร์)