ZETTINO : แบรนด์กระเป๋าหนังที่เติมเต็มหน้าที่การงานและไลฟ์สไตล์ของหนุ่มๆ Young Gentleman

สำหรับหนุ่มๆ เฟิร์สจ๊อบเบอร์ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตวัยทำงาน นอกจากความรับผิดชอบที่มากขึ้น การมองหาเครื่องแต่งกายที่ช่วยเสริมความมั่นใจก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน แต่กวาดตามองดูแบรนด์กระเป๋าหนังของผู้ชายที่วางขายในห้างสรรพสินค้าก็ต้องยอมรับว่าราคาสูงเกินเงินเดือนมาตรฐานไม่น้อย จุดเริ่มต้นนี้ทำให้ ตั๋ง-โชติ จินดารัตนชลกิจ, บาส-พิชญ์ เล็กสกุล, บูม-ภัสมน สง่าเมือง และบิ้วท์-ธัญนันท์ อุดมดีพลังชัย 4 หนุ่มสาวที่รวมตัวกันตั้งไข่แบรนด์เครื่องหนังสำหรับผู้ชาย Zettino เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสุภาพบุรุษทุกไลฟ์สไตล์

เรื่องคุณภาพน่าจะการันตีด้วยการเติบโตของแบรนด์ที่กำลังจะก้าวสู่ขวบปีที่ 4 ในเร็วๆ นี้ แต่ความน่าสนใจที่เราอยากคุยกับทั้ง 4 คนรุ่นใหม่คือทิศทางการสร้างแบรนด์ของ Zettino ที่พวกเขาวางตัวเองให้ไม่ใช่แค่แบรนด์ในโลกออนไลน์ทั่วไป แต่เน้นการสร้างประสบการณ์ เรื่องราว และภาพลักษณ์ของผู้ใช้ พร้อมเป้าหมายที่ไปไกลถึงตลาดต่างประเทศ

แบรนด์ที่เริ่มต้นจากหนุ่มสาวที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ จะไปไกลแค่ไหน คำตอบอยู่ในเรื่องราวของพวกเขาทั้ง 4 คนชัดเจนแล้ว

กระเป๋าที่ช่วยเสริมลุคให้พร้อมสำหรับวัยทำงาน

ตั๋ง: เริ่มจากพวกเราทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยร่วมกัน พอเรียนจบเริ่มทำงานก็อยากจะหาเสื้อผ้าใหม่เปลี่ยนจากชุดนิสิตที่ใส่อยู่ทุกวันเป็นชุดทำงาน หลายคนทำงานในบริษัทข้ามชาติที่เขาคาดหวังว่าเราต้องแต่งตัวดูดี น่าเชื่อถือ แต่ยังไม่ค่อยมีอะไรโดนใจเท่าไหร่ในแง่ของดีไซน์และราคา มีแบรนด์เนมที่สวยแต่ก็แพงไปเลย กับแบรนด์ที่ราคาถูกแต่งานก็ไม่เรียบร้อย พวกเราคิดกันว่าเมืองไทยก็ผลิตงานประณีตหลายๆ อย่าง เลยชวนกันมาลองศึกษาและทำกันเอง ล้มลุกคลุกคลานกันมา

ตอนนั้นทุกคนยังทำงานประจำอยู่ก็มาคุยกันว่าข้อจำกัดของเรามีอะไรบ้าง ถ้าอยากจะทำเครื่องแต่งกายผู้ชายที่คลาสสิกและไทม์เลสมากกว่าของผู้หญิงที่ต้องเปลี่ยนไปตามแฟชั่นเรื่อยๆ ด้วยเวลาที่เรามี เริ่มทำสินค้าผู้ชายอาจจะง่ายกว่า แต่ตอนนั้นเงินทุนไม่ค่อยเยอะ ถ้าเราทำเสื้อผ้าต้องทำหลายไซส์และมีเงินทุนสำหรับสต็อกสินค้า ก็จะเหนื่อย แต่กระเป๋าไม่มีไซส์ คนอ้วนคนผอมก็สามารถใช้กระเป๋าสตางค์แบบเดียวกันได้ เลยคิดว่ากระเป๋าน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

ออกแบบจากสิ่งที่เห็นและอยากเป็น

บิ้วท์: เรื่องออกแบบเราเริ่มจากฟังก์ชัน อย่างน้อยๆ ต้องรู้ว่าผู้ชายใส่อะไรบ้างในกระเป๋าใบหนึ่ง อย่างใบแรกที่ออกแบบมาเป็น messenger bag ส่วนมากผู้ชายก็จะใช้โน้ตบุ๊กขนาด 14 นิ้ว หรือถ้า 15 นิ้วก็จะเป็น MacBook เราต้องรองรับตรงนี้เพราะผู้ชายคิดเรื่องฟังก์ชันก่อน ส่วนรูปแบบก็ไม่ต้องเยอะ ด้วยความที่ผู้ชายชอบความคลาสสิก แค่เน้นฝีมือช่างดีๆ วัสดุดีๆ ก็โอเคแล้ว

บูม: ทุกครั้งที่ทำเราจะทำใบตัวอย่างขึ้นมาและไล่ถามเพื่อนของแต่ละคนว่าแบบนี้โอเคไหม ควรจะราคาเท่าไหร่ ถามเยอะเหมือนกัน

ตั๋ง: เพราะทุกคนในทีมไม่ได้มาจากสายอาร์ต มีแค่บูมคนเดียวที่มาจากสายกราฟิก ที่เหลือจะมาจากสายธุรกิจ หลายๆ อย่างคือสิ่งที่เราเห็นเพื่อนร่วมงานในบริษัทไม่ว่าจะคนไทยหรือคนต่างชาติ เขาถือกระเป๋าแบบไหน ใช้งานแบบไหน สีอะไรที่เขาใช้กัน ก็นำพวกนั้นเป็นอินพุตให้เราว่าน่าจะออกแบบประมาณไหน พวกนี้เป็นสิ่งที่เราออกไปถามความคิดเห็นหรือสังเกตดูจากแบรนด์ต่างๆ ดูเยอะๆ จะเริ่มเห็นว่ามีอะไรที่แชร์ร่วมกัน เราก็ใส่เอกลักษณ์ของเราไปในจุดที่มองว่าอยากจะใส่เข้าไป

บิ้วท์: เราอยู่กับกลุ่มลูกค้าอยู่แล้ว คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายก็คือคนที่ทำงานกับพวกเรา เราค่อนข้างจะเข้าใจและมีอินพุตอยู่รอบๆ ตัวเราเอง

เอกลักษณ์คือกระเป๋าที่โชว์ธรรมชาติของหนัง

บิ้วท์: หนังวัวที่เราใช้แรกๆ คือหนังออยล์ซึ่งเป็นหนังที่ไม่ค่อยมีคนเอามาทำกระเป๋าเท่าไหร่ ต้องดูแลรักษาระดับหนึ่ง แต่หนังออยล์จะมีเท็กซ์เจอร์ ความเงา และโชว์ความเป็นหนังมากกว่าหนังอื่นๆ เพราะผู้ชายจะชอบหนังที่เป็นธรรมชาติและโชว์วัสดุจริงๆ นอกจากนี้ก็จะใส่กิมมิกเล็กๆ เช่นตัดมุมหรือตะเข็บกระเป๋าที่ทำให้ดูสวยขึ้น เย็บเป็นรูปตัว Z เรามองว่าลูกค้าของ Zettino ไม่ได้ต้องการโหวกเหวกโวยวายเรื่องการแต่งตัว กิมมิกของเราจึงไม่ต้องชัดเจน แต่เน้นภาพที่เขาใช้สินค้าแบรนด์เราแล้วดูน่าเชื่อถือมากกว่า

ตั๋ง: เรากำลังมองคนกลุ่มที่ไม่ได้ติดกับแบรนด์ใหญ่ แต่เน้นเรื่องราว คุณภาพของชิ้นงานมากกว่า ใช้เงินเป็นมากขึ้นและศึกษาตัวสินค้า เราพยายามบอกลูกค้าว่าหนังที่เราใช้จะเป็นรอยนะ แต่มันคือธรรมชาติของเครื่องหนัง ซึ่งคนต่างชาติจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ เข้าใจว่าหนังชนิดไหนแพงกว่ากัน แต่กลุ่มลูกค้าในประเทศจะถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา งั้น Zettino จะพยายามถ่ายทอดเรื่องพวกนี้ให้กับคนที่อยากเรียนรู้และอยากจะแต่งตัวให้ดูดีเหมาะกับกาลเทศะ

สร้างเรื่องราวให้หนุ่มๆ Young Gentleman

ตั๋ง: สินค้าผู้ชายไม่ได้มีอะไรหวือหวา ถ้าเอาหลายแบรนด์มาเทียบกันมันไม่ได้ต่างกันหรอก แต่สิ่งที่เรากำลังจะมุ่งไปและดึงออกมาเรื่อยๆ คือประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับและสัมผัสว่าเราเข้าใจถึงการเป็น Young Gentleman จริงๆ ว่าคืออะไร ควรจะแต่งตัวยังไงเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นหรือให้เขาเติบโตในหน้าที่การงาน เราพยายามเติมเต็มภาพของลูกค้าให้ดูเป็นสุภาพบุรุษมากขึ้น เพราะว่าเรามีอินไซต์และเข้าใจว่าเขาต้องเจออะไรบ้างในชีวิตการทำงานของเขา

เมื่อก่อนเราเริ่มต้นจากการมองว่ากลุ่มลูกค้าคือเพื่อนเราในที่ทำงาน แต่พอทำไปสักพักจะเห็นลูกค้าที่อายุเยอะหน่อย แต่วิธีการแต่งตัวเขายังวัยรุ่น นึกถึงหัวหน้างานที่ลุคคูลๆ ไปกินข้าวกับลูกน้องได้ คุยเรื่องเดียวกับเรา วิธีคิด วิธีที่เขาแสดงออกยังมีไฟ เราเลยรู้สึกว่าลูกค้าเราไม่ได้จำกัดอายุแล้วล่ะ แต่คือทัศนคติของเขาที่ยังเป็น Young Gentlemen

บิ้ว: ผู้ชายไม่ว่าอายุเยอะยังไงก็ยังมีความสนุก มีความขี้เล่นอยู่ในตัว ยังโดนมาร์เวลหลอกเอาเงินมาได้ตั้งแต่เด็กยันแก่ Zettino อยากเป็นแบรนด์แบบนั้นที่มองภายนอกดูน่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าคนที่น่าเชื่อถือ ทำงานดีๆ ต้องน่าเบื่อ อยากให้ดูสนุก มีไลฟ์สไตล์แง่อื่นๆ ในชีวิตที่ไม่ใช่แค่เรื่องงาน

เครื่องแต่งกาย 3 ซีรีส์ที่เป็นตัวแทนของ 3 ไลฟ์สไตล์

ตั๋ง: ตอนนี้เราแตกตัวเองออกมาเป็น 3 ซีรีส์ คือ Zettino Classic รวมคอลเลกชันงานชิ้นแรกๆ ที่ใช้หนังออยล์ ลุคเป็นหนุ่มสแกนดิเนเวียน มีความขี้เล่น ภายนอกอาจดูจริงจังแต่ก็ซ่อนความเป็นเด็กไว้ในตัวอยู่บ้าง Zettino Black ใช้หนัง Shrunken ที่ทนขึ้น ไม่เป็นรอย ก็จะเหมาะกับกลุ่มที่ต้องการลุคทางการมากขึ้น เปรียบเสมือนวันทำงาน วันที่เราต้องออกไปเจอลูกค้า ลุคเหมือนหนุ่มอังกฤษที่ดูขรึมๆ และ Zettino Experience ลุคเป็นหนุ่มเวสต์โค้ตในสหรัฐอเมริกา ชอบการเดินทางลุยๆ หน่อย สินค้าในหมวดนี้ก็จะมีสายคล้องกล้อง กระเป๋ากล้อง กระเป๋าเดินทางที่เป็นหนัง Crazy Horse ที่เซอร์กว่า ซึ่งทั้ง 3 บุคลิกนี้อาจจะเป็นคนละคนกันหรือคนเดียวกันในแต่ละสถานการณ์ก็ได้ ทั้งหมดนี้คือการ relaunch ใหม่ของแบรนด์ ก็พัฒนาจากเดิมที่เราออกทีละชิ้น เซ็ตนี้เป็นครั้งแรกที่เราลงทุนมากกับการออกพร้อมกัน 3 ซีรีส์ และมีสินค้าใหม่ออกมาครบทั้งกระเป๋า เข็มขัด รองเท้า ปีหน้าเราก็จะเริ่มออกคอลเลกชันให้เป็นแบรนด์แฟชั่นมากขึ้น เราค่อยๆ ขยับตัวจากแบรนด์ที่ออกบูทตามตลาดนัด อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก

ตลาดต่างประเทศไม่เหมือนใครและไม่เหมือนไทย

บูม: ถ้าเป็นเจ้าใหญ่หน่อยก็คือที่ญี่ปุ่นและตอนนี้กำลังจะมีที่ยุโรป ลูกค้าชาวเนเธอร์แลนด์จะเอาไปขาย แต่อย่างญี่ปุ่นเราก็พบว่าค่อนข้างยากเหมือนกัน เพราะสไตล์การแต่งตัวของเขาจะคนละแบบกับคนไทยเลย ญี่ปุ่นชอบกระเป๋าทรงเนี้ยบๆ แข็งๆ และแต่งตัวจัดกว่าคนไทยเยอะ อย่างโท้ตแบ็กคนไทยจะไม่สะพาย แต่ที่ญี่ปุ่นคนสะพายกันเยอะมาก ใน Zettino Black ก็จะมีบางใบที่เราทำเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าญี่ปุ่นเลย คนญี่ปุ่นเขาจะศึกษาเยอะก่อนซื้อของชิ้นหนึ่ง ถามว่าทำยังไง อะไหล่มาจากไหน แต่ถ้าชอบเขาก็จะซื้อเยอะเลย

ตั๋ง: แต่ละประเทศมีเนเจอร์ไม่เหมือนกัน ถ้าเราผลิตให้ลูกค้าต่างชาติภายใต้แบรนด์เขามันทำได้อยู่แล้ว ถ้ามีลูกค้าสั่งเรา เราทำได้เลย แต่การที่เขาจะส่งออกโดยใช้ชื่อแบรนด์เราไปขาย เท่าที่เห็นมาก็ยังไม่ค่อยเห็นแบรนด์ไทยไปโตในต่างประเทศมากเพราะมันใช้เงินมหาศาล ตัวเราเองเลยยังต้องพึ่งพาพาร์ตเนอร์อยู่ว่ามีใครสนใจจะเอาแบรนด์เราไปเปิดในประเทศเขาบ้าง และเขามีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่เราได้รู้คือมีหลายคนเห็นว่าแบรนด์เรามีศักยภาพที่จะไปอยู่ในต่างประเทศได้นะ

โจทย์ต่อมาคือเราต้องมีแบบเยอะขึ้น ญี่ปุ่นชอบหนังแบบนี้ ยุโรปชอบแบบนี้ เราอาจต้องออกแบบแล้วให้พาร์ตเนอร์แต่ละคนมาเลือกต่อว่าในโซนเขาแบบไหนที่จะขายได้ แล้วเราก็ผลิตขึ้นมา นี่คือวิธีการที่แบรนด์ใหญ่ๆ ที่เราไปสอบถามมาทำกัน ซึ่งเรายังไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นก็ต้องค่อยๆ ทำไป

การเอาแบรนด์ไทยไปตลาดโลกก็ไม่ต่างอะไรจากการบอกว่าเอาบอลไทยไปบอลโลก (หัวเราะ) เราเลยมองในหลายมิติมากขึ้น แน่นอนมันไม่ง่ายอยู่แล้ว อีกมุมที่เราพยายามจะทำคือพาร์ตเนอร์กับร้านสูท เพราะในกรุงเทพฯ มีร้านตัดสูทเยอะมากและคุณภาพทัดเทียมกับฮ่องกงแล้ว ร้านสูทพวกนี้เขาจะบินไปรับออเดอร์ถึงต่างประเทศ เราก็กำลังคุยกันว่าถ้างวดหน้าเราพร้อม เราขอบินตามไปด้วยและจะดูแลเรื่องเครื่องหนังให้ลุคเขาสมบูรณ์ ก็อาจเป็นอีกวิธีที่เราจะก้าวไปในตลาดต่างประเทศได้

เป็นดีไซเนอร์ในแบบของตัวเอง

บูม: ทิศทางที่เราตั้งใจสร้างแบรนด์ เราคิดตั้งแต่เริ่มต้นตั้งแบรนด์เลยแค่อาจยังไม่ชัดเท่าตอนนี้ เราใส่ใจทุกด้านตั้งแต่การตอบลูกค้า การโพสต์เฟซบุ๊กที่แม้จะเป็นเราตอบก็ต้องตอบเป็นผู้ชายเพราะต้องการสร้างบุคลิกว่า Zettino เป็นผู้ชายพูดจาสุภาพ หรือเรื่องภาพ กราฟิกก็ทำให้เป็นแพตเทิร์นมากขึ้น

ตั๋ง: ตั้งแต่ต้นเรามีแค่ภาพลางๆ หรี่ตาแล้วมองไกลๆ ก็จะเบลอ แต่ตอนนี้เราก็ตาโตขึ้นนิดนึง เราก็ทำให้มันชัดเจนมากขึ้น จากการที่เราไปเข้าคอร์สอบรมของกระทรวงต่างๆ ได้รู้จักคนมากขึ้น มีลูกค้ามาฟีดแบ็กคุณภาพของสินค้า ภาพเราก็ชัดเจนมากขึ้น แต่สิ่งที่เราไม่เคยเปลี่ยนเลยคือคุณภาพ เราจี้ตั้งแต่ต้นว่าอยากได้แบบนี้ ไม่ได้บอกว่างานเรายากที่สุดในท้องตลาด แต่พยายามถามช่างว่าอย่างนี้ทำได้ไหม บางทีของ 2 ชิ้น หน้าตาคล้ายกันแต่ทำไมเรารู้สึกว่าอีกชิ้นสวยกว่า เพราะวัสดุ ขั้นตอน กระบวนการผลิต เราค่อยๆ เรียนรู้เรื่องนี้ไปเพราะเราไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์ แต่เรา learning by doing เพื่อจะเป็นดีไซเนอร์ในแบบของเรา

Zettino

ประเภทธุรกิจ: แบรนด์กระเป๋าหนังและเครื่องแต่งกายสำหรับสุภาพบุรุษ
คอนเซปต์: เครื่องแต่งกายที่ใส่ใจภาพลักษณ์และไลฟ์สไตล์ของผู้ชาย Young Gentleman
Facebook | Zettino

zettino.com

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย