วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน 1862 Dr. Thomas Orton ศัลยแพทย์ชื่อดังประจำเกาะอังกฤษ ถูกเชิญมารักษาอาการป่วยของ Ann Amelia Turner ลูกสาววัย 3 ขวบของตระกูลมั่งมีในกรุงลอนดอน แอนน์เพิ่งเสียพี่น้องอีก 3 คนไปด้วยอาการป่วยปริศนา พ่อและแม่กลัวเหลือเกินว่าแอนน์ตัวน้อยจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป
พี่น้องของแอนน์ได้รับการวินิจฉัยโดยศัลยแพทย์ท้องถิ่นว่าเสียชีวิตด้วยโรคคอตีบ โรคยอดนิยมของเด็กในศตวรรษที่ 19 แต่การเสียชีวิตติดต่อกันของบุตรทั้งสามในเวลาเพียง 2 เดือนสร้างความสงสัยให้ครอบครัวเทอร์เนอร์เป็นอย่างมาก
หลังเดินทางมาถึง บันทึกของหมอออร์ตันเล่าว่า แอนน์มีอาการอ่อนเพลียรุนแรงและไม่สามารถกลืนอาหารได้ เหล่านี้เป็นอาการพื้นฐานของโรคคอตีบตามที่เข้าใจ แต่ที่น่าสงสัยคือในละแวกเดียวกันกลับไม่พบเด็กคนไหนป่วยเป็นโรคคอตีบเลยแม้แต่รายเดียว ความจริงข้อนี้สร้างความข้องใจให้หมออย่างเขาเป็นอย่างมาก
ออร์ตันดำเนินการรักษาตามอาการ ก่อนจดโน้ตถึงลักษณะที่พักของตระกูลเทอร์เนอร์ไว้แนบท้าย
‘อาคารที่พักมีอากาศถ่ายเทดี ระบบระบายน้ำใช้ได้ตามปกติ ในห้องนอนประดับวอลล์เปเปอร์สีเขียวสดใส’
แอนน์เสียชีวิตในอีกไม่กี่วันให้หลัง หมอออร์ตันขอให้มีการชันสูตรศพและพบว่าสาเหตุของการเสียชีวิตเกิดจากสารหนู…
หลังรายงานแพร่ออกไป Dr. Letheby นักเคมีประจำโรงพยาบาลลอนดอน ก็ได้ออกมาให้การสนับสนุนว่า แอนน์น่าจะเสียชีวิตเพราะวอลล์เปเปอร์สีเขียวในห้องนอน เนื่องจากสีเขียวอ่อนมักมีสารหนูเป็นส่วนประกอบจำนวนมาก
“สีเขียวแบบนี้ไม่ว่าจะอยู่ในภาพวาด วอลล์เปเปอร์ หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้า ก็สามารถฆ่าคนตายได้ทั้งนั้น” ดอกเตอร์เลเทอบีย์กล่าว
ในยุควิกตอเรียน แฟชั่นสีเขียวอ่อนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะสวยสะกดใจ สีเขียวสดใสที่รู้จักกันในชื่อ vivid green หรือ Scheele’s green ยังเป็นเครื่องหมายของความร่ำรวย ความหรูหรา และความทันสมัย เชื่อหรือไม่ว่าเบื้องหลังความงาม สีเขียว Scheele ยังสอนให้เรารู้ว่า การตามแฟชั่นมากเกินไปอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มีที่มาจากตรงไหน? ฆาตกรต่อเนื่องที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายถือกำเนิดขึ้นราวปี 1778 เมื่อ Carl Scheele นักเคมีชาวสวีเดน เป็นคนแรกที่เริ่มผสมสาร copper arsenite ลงไปเพื่อช่วยให้สีเขียวสว่างขึ้นกว่าเฉดปกติ
แม้ copper arsenite จะเป็นสารประกอบของสารหนูที่มีความเป็นพิษอยู่สูงมาก แต่หากมองด้วยตาสีเขียวแบบใหม่กลับไม่น่ามีพิษภัย ในยุคที่คนทั่วไปไม่มีความเข้าใจเรื่องส่วนประกอบทางเคมี ความนิยมสีเขียวนี้ได้รับความสนใจในยุโรปและข้ามฝั่งมาถึงอังกฤษอย่างรวดเร็ว สีเขียวที่สวยชัดได้รับการชื่นชมอย่างแพร่หลายและกลายเป็นสีที่ถูกใช้บ่อย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พวกเขาเห็นว่ามีค่ามากที่สุด–ในบ้านของพวกเขาเอง
วิกตอเรียนเป็นยุคสมัยที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ หน้าที่ของชาย-หญิงถูกแบ่งอย่างชัดเจน การแต่งกาย ภาพถ่าย ไปจนถึงรสนิยมในการตกแต่งบ้าน ถูกนำมาวัดและตีค่าชนชั้นทางสังคม ความก้าวหน้าทางเศรฐกิจและเทคโนโลยีทำให้เกิดกลุ่มทุนใหม่และชนชั้นกลาง เหล่าผู้มีอันจะกินจัดซื้อของใช้และเครื่องตกแต่งแบบใหม่ล่าสุดเพื่อทำให้บ้านกลายเป็นตัวแทนของครอบครัวอบอุ่นและมั่งมี
คนในยุคนี้เชื่อว่าความสำเร็จในชีวิตถูกนำเสนอผ่านจำนวนของใช้และความสะดวกสบายภายในครัวเรือน กลายเป็นที่มาของประโยคเปรียบเปรยโด่งดังอย่าง safe as houses–ปลอดภัยเหมือนบ้าน (เป็นสำนวน แปลว่าปลอดภัยมากๆ), domestic heaven–สวรรค์ในบ้าน หรือการเปรียบเปรยภรรยาว่าเป็น angel of the house–นางฟ้าของบ้าน
แต่ใช่ว่ามีเงินอย่างเดียวจะใช้ได้ สังคมวิกตอเรียนให้ความสำคัญกับรสนิยมในทุกตารางนิ้ว ยุคนี้มีไกด์บุ๊กมากมายที่แนะนำว่าผู้มีอันจะกินควรตกแต่งบ้านของตัวเองแบบไหน John Ruskin นักวิจารณ์งานศิลปะและนักสังคมศาสตร์คนสำคัญ กล่าวถึงความสำคัญของการเลือกของตกแต่งที่ถูกต้องว่า “ผู้มีรสนิยมดีสะท้อนคุณค่าทางจิตใจ สิ่งที่เราชอบบ่งบอกว่าเราเป็นคนแบบไหน และการสอนรสนิยมให้ใครหมายถึงการสร้างตัวตนให้คนคนนั้น”
หนึ่งในสิ่งของที่สะท้อนรสนิยมและความร่ำรวยของเจ้าบ้านคือ วอลล์เปเปอร์ โดยเฉพาะวอลล์เปเปอร์ที่เลือกติดไว้ในห้องรับแขก (drawing room) ยิ่งมีลวดลายมากและมีสีสันสดใสเท่าไหร่ยิ่งหมายถึงราคาที่มากตามไปด้วย และมีแต่บ้านคนรวยเท่านั้นที่จะมีแสงสว่างจากไฟฟ้ามากพอที่จะนำเสนอลวดลายและสีสันที่สวยงามของวอลล์เปเปอร์ในแต่ละห้อง
หนังสือแนะนำสีสำหรับวอลล์เปเปอร์และเสื้อผ้าในยุคนั้นเห็นตรงกันว่า สีเขียวเป็นสีที่เหมาะสมที่สุดเพราะสบายตา ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสดชื่น มีความสุข และเป็นเครื่องหมายของการมีสุขภาพดี ตรงกันข้ามกับสีส้มหรือสีเหลืองโทนแดงที่เป็นตัวแทนของความหยาบกระด้างและชนชาติด้อยพัฒนาป่าเถื่อน
ในบรรดาสีเขียวมากมาย สีเขียว Scheele เป็นโทนสีเขียวที่ได้รับความนิยมมาก เหตุผลเพราะความสดใสและคุณสมบัติของมันที่ไม่ซีดจางหรือลอกง่าย ในช่วงที่ Scheele’s green ได้รับความนิยมสูงสุด ผู้มีอันจะกินนิยมใช้สีนี้ผสมทุกอย่าง ตั้งแต่เสื้อผ้า พรม ของเล่นเด็ก และเทียนไข
น่าสนใจว่าเมื่อสีเขียวถูกใช้แพร่หลาย เหตุการณ์การตายลึกลับของเด็กจำนวนมากก็เริ่มปรากฏ แต่ความเข้าใจในยุคนั้นยังคิดกันว่าเด็กๆ น่าจะเป็นโรคอื่นอย่างคอตีบ หรืออหิวาต์ ซึ่งเป็นโรคที่ระบาดมากในอังกฤษ
ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 หน้าข่าวหนังสือพิมพ์เต็มไปด้วยปรากฏการณ์ลึกลับอย่าง ‘เด็กทารกอายุ 6 เดือนเสียชีวิตหลังกินเศษวอลล์เปเปอร์สีเขียว’ หรือ ‘คุณผู้หญิงเสียชีวิตในวันต่อมา ห้องนอนของเธอเป็นสีเขียวสดใส’ แต่ถึงจะไม่ได้กินเข้าไปและไม่ได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในห้องสีเขียว การเดินผ่านห้องหรือการสูดอากาศที่ปนเปื้อนสารหนูในปริมาณที่มากพอก็ทำให้ป่วยไข้ได้เหมือนกัน
ในปี 1856 คู่แต่งงานในเบอร์มิงแฮมไปพบหมอด้วยอาการแสบตา ปวดหัว และเจ็บคออย่างรุนแรง แม้แต่นกแก้ว สัตว์เลี้ยงของพวกเขา ก็มีอาการป่วยคล้ายกัน หมอแนะนำให้คู่แต่งงานเดินทางไปพักตากอากาศในสถานที่เปิดโล่ง พวกเขาตัดสินใจไปทะเล แล้วอาการที่ว่าก็หายไปเองอย่างน่าประหลาด พวกเขาเริ่มสงสัยว่ามีอะไรบางอย่างที่เป็นพิษอย่างมากอยู่ในบ้าน หมอเดินทางไปเยี่ยมบ้านของคู่แต่งงานและพบว่าพวกเขาใช้สีเขียว Scheele เป็นสีวอลล์เปเปอร์ในห้องถึง 2 ห้อง
ถึงตอนนี้พอมีกระแสมากๆ เข้า ข่าวลือว่าสีเขียวอาจเป็นภัยถึงชีวิตก็เริ่มฮิตเป็นกระแสและถูกนำมาเล่าในข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ นักวาดการ์ตูนชื่อดังอย่าง John Leech ก็เคยวาดภาพล้อเลียนเป็นโครงกระดูกชาย-หญิงสวมชุดราตรีสีเขียวสดใสในงานเต้นรำ เพื่อตอกย้ำความโง่เขลาของสังคมผู้ดีที่วางยาพิษตัวเองด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับสีเขียวผสมสารหนู
สมาคมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์เริ่มตั้งคำถามถึงความไม่ปลอดภัยของสารประกอบในสีวอลล์เปเปอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาพบว่าวอลล์เปเปอร์ที่ต้องสงสัยหรือได้รับการพิสูจน์ว่ามีสารหนูเป็นส่วนประกอบถูกแบนห้ามจัดจำหนายในประเทศเยอรมนี แม้ว่าหมอและนักข่าวจะร่วมมือกันขอให้รัฐบาลอังกฤษทำอะไรสักอย่าง แต่ผู้ผลิตในระบบอุตสาหกรรมก็รวมตัวกันปฏิเสธ กระทั่งกล่าวว่าจะลองกินวอลล์เปเปอร์ให้ดูเพื่อพิสูจน์ว่ากระบวนการผลิตปลอดภัย
จนแล้วจนรอดกว่ารัฐสภาอังกฤษจะออกมายืนยันความจริงข้อนี้อย่างจริงจังก็ปาเข้าไปตั้งปี 1903 ถึงตอนนั้นสีเขียวก็ถูกพบจนเป็นปกติทั้งในแสตมป์ โปสต์การ์ด กระทั่งในอาหาร! (ใช้พ่นผักให้มีสีเขียวน่ารับประทาน) ส่วนเหตุที่รัฐบาลเพิ่งมาตัดสินใจเอาได้ตอนนี้เป็นเพราะควีนวิกตอเรียเองก็มีห้องสีเขียว Scheele เหมือนกัน
พระองค์ทรงเคยต้อนรับราชทูตและให้พระราชอาคันตุกะอาศัยอยู่ในห้องสีเขียว ก่อนที่ราชทูตจะป่วยหนักในเช้าวันต่อมา เขากล่าวโทษว่าห้องสีเขียวแบบนี้เป็นสาเหตุ ทำให้ควีนวิกตอเรียเริ่มสนใจและได้ค้นคว้าด้วยตัวเองจนพบว่ามีข่าวแบบนี้เกิดขึ้นมากมาย พระองค์ทรงพบว่ามีการแบนสีเขียวผสมสารหนูในหลายประเทศนอกเกาะอังกฤษ
น่าสนใจว่า Scheele’s green ไม่เคยถูกห้ามใช้จริงจังผ่านกฎหมาย แต่ผู้บริโภคก็เริ่มตาสว่างและหันมาทำความเข้าใจเรื่องอันตรายที่มากับสี การเลิกซื้อ เลิกใช้ และเลิกสนับสนุน ผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับสารหนูกลายเป็นตัวจักรสำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตต้องหันมาพิจารณาตัวเองเพื่อออกสินค้าใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ และที่สำคัญต้องไม่มีสารเคมีตัวร้ายเป็นส่วนประกอบ
อ้างอิง
graceelliot-author.blogspot.com