รอนแรมลัดเลาะสู่ Santiago Atitlan แหล่งปลูกกาแฟสำคัญในเม็กซิโก

Every time I’ve strayed from the beaten path, I’ve never regretted it.

(Tori Murden)

1

เพื่อนนักข่าวชาวสโลวาเกียและสามีชาวเม็กซิกัน พบกันคราวผมขายกาแฟริมทางในตัวเมืองเชียงใหม่ จากนั้นไม่ได้เจอกันอีกเลยนานหลายปี จนกระทั่งผมไปถึงเมืองวาฮากา (Oaxaca city) ทั้งสองย้ายถิ่นฐานมาปักหลักที่นี่ (พวกเขาพบรักกันที่เชียงใหม่) ได้พบกันอีกนับเป็นเรื่องน่ายินดี มากกว่านั้น พวกเขายังเป็นสะพานเชื่อม ให้ผมได้มีโอกาสรู้จักชาวสวนกาแฟครอบครัวหนึ่งอีกด้วย

ครอบครัวของลูซิโอ ฮีเมเนซ (Lucio Jimenez) อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านซานติอาโกอาติทลัน (Santiago Atitlan) เช็คจากแผนที่กูเกิลแล้วตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวาฮากาและห่างออกไปราวร้อยห้าสิบกิโลเมตร ไกลปืนเที่ยง ติดต่อทางโทรศัพท์กับลูซิโอไม่ได้ การส่งข้อความก็มีข้อจำกัดมากเช่นกัน วิธีง่ายสุดคือเหมาแท็กซี่ไป แต่ผมไม่มีปัญญาจ่ายแพง จึงต้องหาวิธีซึ่งสอดรับกับงบประมาณตัวเอง ไม่รู้แน่ชัดว่าจะต้องจับรถโดยสารสายไหนบ้างและต้องเปลี่ยนรถกี่ต่อจึงจะไปถึงจุดหมายนั้นได้ ในเมื่อตั้งใจมั่นเหมาะ แรงจูงใจหลักคือการไปสำรวจแหล่งกาแฟในดงดอยแห่งประเทศเม็กซิโก แม้โจทย์รอบนี้ดูจะยากในที ก็จะพยายาม ไปถึงหรือไม่นั้นไม่ได้สำคัญที่สุด สำคัญกว่าคือการลงมือทำ โดยมีเจ้าความไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรระหว่างทางบ้างเป็นสีสัน เพราะรู้สึกว่าจะได้ผจญภัย

เส้นทางซึ่งอยู่นอกหมุดหมายท่องเที่ยวปกติ ไม่ได้ระบุในคู่มือเดินทางใดๆ ย่อมไปยากกว่า แต่บางครั้ง ความสนุกของการเดินทางไม่ได้อยู่แค่เฉพาะการไปถึงปลายทางเท่านั้น ทว่าคือสิ่งละอันพันละน้อยที่พบเจอขณะกำลังเดินทางอยู่ด้วยเช่นกัน

เช็คเอาท์ออกจากโฮสเทล เดินแบกเป้ใบหนักไปยังถนนใหญ่ ยืนรอที่ป้ายรถเมล์ ดูป้ายแท็กซี่ที่ไปเมืองมิทลา (Mitla) รู้ว่าแท็กซี่ประเภทนี้ไม่ต้องเหมา จ่ายแค่ส่วนของเรา ซึ่งแพงกว่าการโดยสารรถตู้หรือรถเมล์หน่อยนึง ต่อแรกไม่ค่อยยาก เพราะเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องโบราณสถานสำคัญ นักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันเยอะอยู่แล้ว ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็ลงรถแล้วจ่าย รอแท็กซี่คันต่อไป ขยายดูแผนที่ในมือถือแล้วเห็นว่าเมืองต่อไปที่เป็นไปได้มากที่สุดคืออายุทลา (Ayutla) รอเป็นชั่วโมงจึงได้นั่งเบียดไปกับผู้โดยสารคนอื่น ถนนไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านภูมิประเทศแห้งแล้ง จนกระทั่งที่สองพันเมตรขึ้นไป จึงเปลี่ยนเป็นป่าเขียวครึ้ม ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ชั่วโมงเดียวบนรถ ภูมิประเทศจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

ระยะทางจากอายุทลาไปยังซานติอาโกอาติทลันนั้นราวห้าสิบกิโลเมตร ณ จุดนี้งงเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่ได้มีรถโดยสารใด ๆไปยังหมู่บ้านแห่งนี้ ถามชาวบ้านแถวนั้น เขาบอกให้โบกรถและถามคนขับเอา บ้างโบ้ยให้ไปถามแท็กซี่จอดเรียงรายย่านกลางเมือง งมโข่งอยู่สองสามชั่วโมง ตัดสินใจนั่งรถตู้อีกต่อ เพื่อไปลงที่ปากทาง นั่นหมายความว่ายังเหลือระยะทางเบ็ดเสร็จอีก (ตั้ง) สามสิบกิโลเมตร

แล้วจะทำยังไงต่อ มันไม่ได้ใกล้ขนาดจะเดินถึงได้อย่างง่ายดาย เช็ครายละเอียด ต้องเดินขึ้นเขา จุดสูงสุดของเส้นทางเกือบสามพันเมตรจากระดับน้ำทะเล แล้วจึงจะได้ลงไปสู่หมู่บ้านเป้าหมาย แต่ในเมื่อไม่ได้ทางเลือกอื่นหลงเหลือ ก็จำเป็นต้องใช้วิธีเดิน โดยหวังไว้ลึกๆ ว่าจะได้อาศัยโบกรถไปกับคนที่ผ่านไปบ้าง ขึ้นเขาอย่างเนิบช้า หอบเหนื่อย และเหงื่อผุดเม็ดไปได้สักสามกิโลเมตร รถเก๋งเก่ากำลังจะผ่าน โบกและขอไปด้วย สื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ระดับความชำนาญภาษาสเปนยิ่งกว่าเด็กหัดพูด เป็นปัญหาอยู่บ้าง อาศัยถูไถโบ้ยใบ้ก็ไปได้ในที่สุด รถเก๋งคันดังกล่าวปล่อยผมลงที่ทางแยกเลยจุดสูงสุดของเส้นทาง เพราะเขาจะต้องเลี้ยวซ้ายเข้าหมู่บ้านตัวเองแล้ว

เดินต่อไปเพียงลำพัง ผ่านป่าต้นน้ำอุดมสมบูรณ์ อากาศหนาวสัมผัสผิวกาย เป้เริ่มรั้งบ่ากดแผ่นหลัง นานเข้าความเจ็บปวดทวีคูณ ฝ่าเท้าก็ไม่ยินดีด้วยกับสภาพถนนลูกรังแบบนี้ ยังเหลืออีกสิบกว่ากิโลเมตร ย่ำค่ำแบบนี้ไปไม่ถึงแน่นอน จำเป็นต้องหามุมหลบกางเต็นท์นอนในไร่ข้าวโพดใครสักคน กลางคืนมาพร้อมกับฝนกระหน่ำและฟ้าแลบฟ้าร้อง แต่คนจรหลับใหลสนิทได้ด้วยความอ่อนเพลีย

2

ราวสิบโมงเช้าของวันถัดไปจึงไปถึงซานติอาโกอาติทลัน สัมผัสแรกคือเป็นหมู่บ้านเจริญกว่าที่คิดเยอะ ทั้งหมดราวสามร้อยหลังคาเรือน ทุกคนในชุมชนรู้จักกันทั่วถึง แค่บอกว่าต้องการไปบ้านของลูซิโอ ชาวบ้านเขาก็ยิ้มแย้ม กระตือรือร้นช่วยชี้ทางพร้อมพาไป จนได้พบกับชายวัยสามสิบปลาย ดูเขาไม่ได้แปลกใจ อาจจะเพราะเพื่อนได้ส่งข้อความไปให้เขาแล้ว ว่าอาจจะมีคนแปลกถิ่นไปเยือน

ภายในห้องครัวซึ่งยังคงใช้เตาฟืน ภรรยาของลูซิโอทำหน้าที่แม่บ้าน หุงหาอาหารเสิร์ฟทุกคนในบ้าน ซึ่งประกอบด้วยพ่อตาแม่ยายอายุแปดสิบ ลูกสาวรุ่นและลูกชายวัยแปดขวบ ผมเป็นแขกเหรื่อพลัดหลงมาก็ได้รับการต้อนรับและปฏิบัติเฉกเช่นสมาชิกในครอบครัวด้วย ผัดไข่ใส่แตงและมะเขือเทศ แกงถั่ว ชี้ส แป้งตอร์ติยา เสิร์ฟพร้อมซุปเนื้อวัวตากแห้ง กาแฟร้อนจากสวนของพวกเขา ผมแซวว่าเป็นสตาร์บัคส์ของชาวมิเฮ ทุกคนหัวเราะร่าไปกับมุกจืด ๆนั้น

ชนเผ่ามิเฮ (Mixe People) เป็นหนึ่งในชาติพันธุ์ของประเทศเม็กซิโก นิยมอาศัยกันอยู่บนพื้นที่ภูเขาสูง ยังคงรักษาภาษาและวิถีไว้อย่างค่อนข้างเหนียวแน่น วันที่ผมไปถึงเป็นวันสุดท้ายของงานเฉลิมฉลองนักบุญประจำหมู่บ้านประจำปี จัดขึ้นห้าวัน แต่ละวันกิจกรรมแตกต่างกันไป อย่างเมื่อวานเห็นบอกว่าเป็นวันชนวัว วันนี้เป็นวันแข่งบาสเก็ตบอล ทุกคนต้องร่วมกิจกรรมและช่วยงานในฐานะเป็นสมาชิกของหมู่บ้าน ดังนั้น ทั้งลูซิโอ ภรรยาของเขา ลูกสาว และลูกชายล้วนต้องมีส่วนด้วย ผมก็เลยได้ร่วมชมการแข่งขันกับเขาโดยไม่ได้คาดคิด มีทีมหลากหลายมาจากหลายหมู่บ้านข้างเคียงร่วมประชันขันแข่งกัน ในขณะที่วงดุริยางค์สี่วงจากสี่ชุมชนก็ร่วมทำหน้าที่บรรเลงดนตรีสลับกัน ถือว่าเป็นกองเชียร์ เพิ่มสีสันให้กับการแข่งขัน วัฒนธรรมของที่นี่แตกต่าง ไม่ได้มีทีมเชียร์ลีดเดอร์คอยกำกับกองเชียร์ให้ปรบมือร้องเพลงให้พร้อมเพรียง แต่เขาใช้วงดนตรีซึ่งเน้นเครื่องตีและเป่าเป็นหลักในการเชียร์กีฬา

แม้จะสนุกตื่นเต้นไปกับบาสเก็ตบอล แต่ผมไม่อาจะนั่งบนอัฒจันทร์ได้ทั้งวัน อีกอย่าง ผมไม่ได้จะมาอยู่ที่นี่นานเป็นสัปดาห์ ดังนั้น จึงเอาเวลาช่วงบ่ายเดินเล่นสำรวจบริเวณโดยรอบหมู่บ้าน บ้านเรือนปลูกสร้างลดหลั่นไปตามเนินในหุบซึ่งตั้งอยู่ที่ความสูงพันห้าร้อยเมตรจากระดับน้ำทะเล บ้านส่วนใหญ่สร้างด้วยอิฐและปูน มีบางส่วนยังคงเป็นบ้านดิน หลายครอบครัวมีสวนผักหลังบ้าน แปลงปลูกกาแฟกระจายอยู่โดยรอบ ทั้งแบบปล่อยปละละเลย และสวนที่เจ้าของดูแลเป็นอย่างดีก็มี ไก่และไก่งวงแสนเชื่องไม่แสดงอาการตระหนกเมื่อคนแปลกหน้าเดินผ่านหน้าบ้านพวกมัน หมาซึ่งจะต้องทำหน้าที่เฝ้าบ้านก็ชินกับผู้คนเดินผ่านไปมาจนไม่เห่าไล่เช่นกัน ซึ่งถ้ามองอีกมุม แสดงให้เห็นว่าที่นี่มีความปลอดภัยสูงมากนั่นเอง

พื้นที่เพาะปลูกใกล้ชุมชนส่วนใหญ่เป็นไร่ถาวร ในขณะห่างออกไปเป็นไร่หมุนเวียน ชาวดอยที่นี่ไม่ได้ปลูกข้าวไร่เฉกเช่นชาวปวากะญอทางภาคเหนือของไทย แต่ถางพื้นที่ปลูกข้าวโพดซึ่งเป็นพืชหลักในการดำรงชีพมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ชนิดพืชพันธุ์แตกต่าง ทว่าวิถีกสิกรรมดอยกลับคล้ายคลึงกันมาก ราวกับเคยถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ข้ามทวีปกันมาในรุ่นบรรพชน

เช้าวันถัดไป หลังไปเดินเล่นที่ตลาดเช้า กลับมากินข้าวเช้า เสร็จนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปยังสวนกาแฟของลูซิโอซึ่งมีอยู่ทั้งหมดห้าแปลงด้วยกัน ส่วนหนึ่งเพราะพี่ชายคนหนึ่งย้ายไปทำงานในตัววาฮากา จึงยกให้เขาดูแลแทน เขาเป็นลูกคนสุดท้อง รับหน้าที่ดูแลพ่อแม่แก่ชรา อีกทั้งเจ้าตัวยังชื่นชอบชีวิตชนบทและทำการเกษตรเป็นทุนเดิม จึงไม่เห็นว่าจำเป็นต้องดิ้นรนเช่นคนหนุ่มสาวไปขายแรงงานในเมือง พวกผู้ชายหลายคนในหมู่บ้านข้ามชายแดนโดยปราศจากเอกสารถูกต้องเพื่อหางานทำที่สหรัฐอเมริกา ลูซิโอหัวก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดด้านการทำกาแฟ นอกจากปลูกอาราบิก้าแยกสายพันธุ์อย่างเป็นระบบแล้ว เขายังเริ่มต้นเพาะต้นกล้ากาแฟทั้งหมดยี่สิบเจ็ดสายพันธุ์ เพื่อทดลองว่าพันธุ์ไหนบ้างที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่แถบนี้ แววตาเป็นประกายเปี่ยมความหวังขณะบอกเล่าสิ่งที่ตนเองหลงใหล ผมเดินตาม รับฟังสิ่งที่เขาทุ่มเทกระทำด้วยความทึ่ง

ก่อนจากลากันเพื่อกลับสู่เมืองใหญ่ ภรรยาของลูซิโอห่อแผ่นแป้งตอร์ติยากับน้ำพริกไว้ให้กินระหว่างทาง ส่วนลูซิโอให้กาแฟคั่วบดสองถุง กับเมล็ดพันธุ์กาแฟอีกบางส่วน เผื่อผมจะกลับทดลองเพาะแล้วปลูกบนดอยที่ไทย ไม่แน่ กาแฟของลูซิโอก็อาจจะชอบดินฟ้าอากาศที่ไทยด้วยเช่นกัน ใครจะไปรู้

AUTHOR