Road Trip in Quarantine เซตภาพถ่ายบันทึกการเดินทางบนถนนใน Google Maps

Highlights

  • Tim Melideo คือช่างภาพและนักเดินทางชาวแคลิฟอร์เนียผู้ใช้เวลาช่วงกักตัวอยู่บ้านออกเดินทางด้วยฟีเจอร์ Street View ใน Google Maps
  • ผลลัพธ์ที่ได้คือเซตภาพถ่าย Road Trip in Quarantine ที่แสดงออกถึงความรักในการเดินทางและความสนใจในตึกรามบ้านช่องของทิมได้เป็นอย่างดี
  • แม้การเดินทางผ่านหน้าจอจะสู้การเดินทางจริงๆ ไม่ได้ แต่ช่างภาพหนุ่มบอกว่าระหว่างทางเขาได้เจอเรื่องเซอร์ไพรส์หลายอย่าง แถมยังได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทของช่างภาพด้วย

ช่วงกักตัวอยู่บ้านที่ผ่านมาคุณทำอะไร

ปลูกต้นไม้ แต่งบ้าน ทำอาหาร ยังคงคร่ำเคร่งกับการงาน หรือซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า

ระหว่างที่เรากำลังกด cf ของรัวๆ ในอีกฟากของโลก Tim Melideo กำลังออกเดินทางขึ้นเหนือลงใต้สำรวจเมืองต่างๆ ในอเมริกาเพื่อถ่ายรูปมาปลุกปั้นโปรเจกต์ใหม่ล่าสุด

อ้อ! ลืมบอกไปว่าทั้งหมดนี้เขาทำจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้าน

Road Trip in Quarantine
Road Trip in Quarantine
Road Trip in Quarantine

ทิมแนะนำตัวกับเราผ่านอีเมลว่าเขาคือช่างภาพฟรีแลนซ์ นักเดินทาง และคุณพ่อลูกหนึ่งชาวแคลิฟอร์เนียผู้กักตัวอยู่บ้านมาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม ในช่วงเวลาเช่นนี้ เขาแทบไม่มีงานถ่ายภาพ และจุดหมายของการเดินทางที่ไกลที่สุดคือซูเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้าน

แต่ก็เป็นช่วงเวลาเช่นนี้แหละที่เขาได้ไอเดียการทำ Road Trip in Quarantine ซีรีส์ภาพถ่ายจากการเดินทางผ่านหน้าจอไปยังเมืองแล้วเมืองเล่าด้วยฟีเจอร์ Google Street View ใน Google Maps เสาะหาสิ่งที่น่าสนใจแล้วเก็บภาพนั้นมาครอปและแต่งสีเหมือนเวลาออกทริปจริงๆ ยังไงอย่างงั้น จนหากไม่สังเกตดีๆ คุณอาจไม่ทันรู้ว่านี่เป็นภาพที่ได้จากกล้องของรถกูเกิลอีกที

บอกไว้ก่อนว่าเซตภาพถ่ายและบทสนทนาต่อไปนี้ไม่ใช่บันทึกการเดินทางแบบโรแมนติกเพราะ “การเดินทางผ่านหน้าจอไม่สามารถแทนการเดินทางจริงๆ ได้เลย” ทิมว่าและย้ำว่าเขาหวังว่าจะได้ออกเดินทางอีกครั้งเร็วๆ นี้

แต่ระหว่างที่ยังไม่มีใครไปไหนได้ทั้งนั้น เขาชวนเราขึ้นรถ (Google) ไปเที่ยวด้วยกันก่อน

Road Trip in Quarantine

เว็บไซต์ของคุณบอกว่าคุณเดินทางเยอะมากเพื่อไปถ่ายภาพ ปกติคุณถ่ายภาพแบบไหนบ้าง

ส่วนใหญ่ผมถ่ายภาพพอร์เทรต สถาปัตยกรรม และงานตกแต่งภายใน นอกจากนี้ผมก็ถ่ายภาพอาหารและร้านอาหารค่อนข้างบ่อย การเป็นฟรีแลนซ์ทำให้ผมมีเวลาเดินทาง ซึ่งโปรเจกต์ภาพถ่ายศิลปะส่วนตัวของผมส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับการเดินทาง

พอนับได้ไหมว่าคุณไปโร้ดทริปมาแล้วกี่ครั้ง และประทับใจทริปไหนเป็นพิเศษ

เอาจริงผมจำไม่ได้เลยว่าผมไปโร้ดทริปมากี่ครั้งแล้ว ในหนึ่งปีผมไปทริปสั้นๆ ที่ใช้เวลาขับรถประมาณ 2-6 ชั่วโมงหลายครั้งมาก ที่แน่ๆ ผมกับภรรยาและลูกชายเคยขับรถข้ามประเทศกันอย่างน้อย 10 ครั้ง เราเคยเดินทางเยอะกว่านี้ก่อนมีลูก ตอนนี้เขาอายุเกือบๆ 5 ขวบแล้วเราเลยพยายามพาเขาไปด้วยกันบ่อยขึ้นแต่การเดินทางกับเด็กนี่ไม่ง่ายเลย (หัวเราะ) 

ถ้าให้พูดถึงการเดินทางครั้งที่ผมชอบ มันมักจะเป็นทริปที่เราไม่มีจุดหมายที่แน่นอนและสำรวจระหว่างทางไปเรื่อยๆ ได้

คุณเริ่มต้นโปรเจกต์ Road Trip in Quarantine ได้ยังไง

ก่อนหน้าโควิด เราวางแผนเที่ยวในช่วงนี้ของปีไว้หลายทริปผมเลยปักหมุดสถานที่ที่อยากไปไว้เยอะมากในกูเกิลแมปส์ พอเก็บกดที่ออกไปไหนไม่ได้ผมเลยไล่ดูที่ที่ปักหมุดไว้และคิดขึ้นมาว่าผมน่าจะแคปหน้าจอที่เหล่านี้และนำมาแต่งรูปแบบที่ปกติผมแต่ง ผมเคยทำอะไรแบบนี้มาบ้างแล้วแต่ไม่ได้คิดจริงจังขนาดครั้งนี้ ผมว่ามันเป็นไอเดียที่น่าสนใจ เป็นโปรเจกต์ที่ทำให้ได้ชื่นชมโลกแบบโมเดิร์นด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ 

Road Trip in Quarantine

คุณมีเกณฑ์ในการเลือกสถานที่และของที่จะถ่ายยังไง

ผมเริ่มจากการดูที่ที่ผมปักหมุดไว้ก่อนแล้ว ‘ขับรถ’ ไปเรื่อยๆ เพื่อหาบางอย่างที่ดูน่าค้นหา ผมชอบถ่ายภาพเป็นหมวดๆ เช่น ใน Sun City รัฐแอริโซนา ผมพยายามถ่ายภาพบ้านหลายๆ หลังที่มีรถกอล์ฟจอดอยู่ด้านหน้า หรือในยูทาห์ ผมมองหาคลับเปลือยและร้านแนวๆ 18+ เพราะเวลาพูดถึงยูทาห์คนจะนึกถึงชาวมอร์มอนเคร่งศาสนา นอกนั้นผมก็ลองไปดูเมืองที่น่าจะมีอะไรที่ผมสนใจ อย่างเมืองทางตะวันตกตอนใต้ เมืองกลางทะเลทราย ย่านเมืองเก่า หรือสถานที่ที่เหมือนผ่านกาลเวลามานานๆ

คนมักจะบอกว่าสเน่ห์ของการเดินทางคือการได้เจอของแปลกใหม่ที่ไม่คาดคิด คุณเจออะไรแบบนั้นจากการเดินทางด้วยกูเกิลแมปส์ไหม

ผมเจออะไรแบบนั้นบ้างในสถานที่ที่บอกมา แต่ที่หนึ่งที่ผมประทับใจเป็นพิเศษคือเมือง Nogales แอริโซนา ผมกดไปดูที่นั่นเพราะผมอยากลองสำรวจเมืองชายแดนดู (Nogales เป็นเมืองชายแดนระหว่างอเมริกาและเม็กซิโก) ผมเซอร์ไพรส์มากที่เมืองนี้มีป้ายร้านค้าและสถาปัตยกรรมแบบยุค mid-century เยอะมากๆ จากนั้นผมเลยเริ่มสำรวจเมืองที่อยู่ติดชายเแดนเยอะขึ้นและค้นพบว่าหลายๆ เมืองเหมือนหลุดออกมาจากยุคก่อนเลย ตอนนี้เมืองเหล่านี้เลยอยู่ในลิสต์เมืองที่ผมต้องไปจริงๆ ด้วยตัวเองหลังจากนี้

เราคิดว่าการเดินทางผ่านกูเกิลแมปส์ยังไงก็ไม่มีทางเหมือนการเดินทางจริงๆ ถึงอย่างนั้น อะไรที่ทำให้คุณสนุกกับการเดินทางถ่ายรูปแบบนี้จนถึงขั้นรวมภาพเป็นซีรีส์ได้

จริงอย่างที่คุณว่า การเดินทางผ่านหน้าจอไม่สามารถแทนการเดินทางจริงๆ ได้เลย เอาเข้าจริงมันทำให้ผมเศร้าด้วยซ้ำที่ในสถานการณ์ปกติผมสามารถอยู่ที่นั่นได้ไม่ยากแต่ตอนนี้ผมกลับถูกบังคับให้ต้องมานั่งมองผ่านหน้าจอแทน ถึงอย่างนั้นมันก็สนุกที่ได้เห็นอะไรใหม่ๆ อยู่ดี ยิ่งผมสามารถแต่งรูปให้เหมือนรูปจากการเดินทางจริงๆ ก็ยิ่งสนุก

อีกอย่าง ผมสามารถวาร์ประหว่างฤดูต่างๆ ได้ เช่น ในบางที่หิมะอาจจะกำลังตกหรือกำลังฉลองเทศกาลบางอย่าง ขึ้นอยู่กับว่ารถของกูเกิลไปถ่ายภาพเมืองนั้นในช่วงไหน เพราะอย่างนี้ผมเลยได้รูปตลกๆ จากเทศกาลอีสเตอร์และภาพหิมะตกหนักที่ผมอาจไม่มีวันได้ถ่ายถ้าไปโร้ดทริปจริงๆ โดยเฉพาะหิมะเพราะผมอาศัยอยู่ตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียมาตลอดและไม่ค่อยกล้าขับรถเวลาหิมะตกหนักๆ ดังนั้นผมจะไม่เดินทางไปถ่ายรูปในช่วงฤดูนั้นแน่ๆ (หัวเราะ)

คุณใช้เวลาทำภาพซีรีส์นี้นานไหม

ตอนแรกผมใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเพื่อหาสถานที่ถ่ายรูป หลังจากนั้น แต่ละวันผมจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการทำ ตอนนี้ผมใช้วิธีหาจนกว่าจะเจอสิ่งที่ผมพอใจจะถ่าย บางทีมันอาจใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที แต่บางครั้งก็ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงถ้าที่แห่งนั้นทำให้ผมเกิดไอเดียหรือแรงบันดาลใจ

เราเคยเห็นช่างภาพบางคนออกเดินทางผ่านกูเกิลแมปส์เพื่อถ่ายภาพเหมือนกัน คุณทำยังไงให้ภาพของตัวเองแตกต่างจากช่างภาพเหล่านั้น

ผมไม่เคยเห็นงานของช่างภาพเหล่านั้นเลย

ภาพถ่ายชุดอื่นๆ ของคุณ เช่น Anonymous Collaborations, …for spacious skies หรือ Estate Sales เน้นถ่ายภาพสเปซมากกว่าผู้คนเหมือนกัน พูดได้ไหมว่าการถ่ายภาพด้วยกูเกิลแมปส์เป็นวิธีการที่เข้ากับสไตล์ของคุณสุดๆ

(หัวเราะ) ใช่เลย!!! แน่นอนที่สุด กับภาพถ่ายเซตล่าสุด ผมชอบไอเดียที่ว่าในรูปเหล่านี้ไม่มีผู้คนเลยโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีโรคระบาดทั่วโลกแบบนี้เพราะมันทำให้ภาพดูเหมือนวันส้ินโลกเข้าไปอีก

ผมถึงขั้นรีทัชคนในบางภาพออกเลยนะเพราะกูเกิลต้องเบลอหน้าคนเพื่อความเป็นส่วนตัวซึ่งจะทำให้คนที่ดูรู้ว่านี่ไม่ใช่ภาพที่ช่างภาพออกไปถ่ายจริงๆ 

ทำไมคุณถึงชอบถ่ายภาพแนวนี้ คุณเห็นอะไรในตึกรามบ้านช่อง ต้นไม้ รถ พื้นที่ว่างๆ

ผมถ่ายรูปแนวนี้มาเกือบๆ 15 ปีแล้ว ผมได้แรงบันดาลใจอย่างมากจากกระแส New Topographics movement ในยุค 70s และสไตล์ภาพถ่ายโร้ดทริปของช่างภาพอย่าง Stephen Shore และ William Eggleston

ผมเริ่มเรียนปริญญาโทสาขา Fine Art ในปี 2009 หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในอเมริกาเพิ่งผ่านไปหมาดๆ ทำให้ร้านค้าและธุรกิจหลายเจ้าต้องปิดตัวและมีตึกที่ถูกทิ้งร้างไว้จำนวนมาก ตอนนั้นผมเริ่มถ่ายภาพร้านค้าต่างๆ ในอเมริกาแล้ว แต่สถานการณ์ช่วงนั้นมันทำให้ผมอยากถ่ายภาพมากขึ้น ผมสนใจความขัดแย้งระหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น สนใจธรรมชาติที่เติบโตต่อไปในขณะที่สิ่งที่มนุษย์สร้างค่อยๆ เสื่อมลงเวลาไม่ได้รับการดูแล 

สไตล์การถ่ายภาพและหัวข้อแบบนี้กลายเป็นสิ่งที่ผมสนใจและนำมาใช้ใน Road Trip in Quarantine นอกจากนี้ผมยังสนใจเมืองเก่าขนาดเล็กที่มีสถาปัตยกรรมจากยุคที่เมืองเพิ่งสร้าง

คุณเคยบอกว่าภาพถ่ายจากกูเกิลแมปส์ทำให้คุณตั้งคำถามว่าช่างภาพจริงๆ ของโปรเจกต์นี้คือใคร ระหว่างผู้ที่ขับรถของกูเกิลหรือตัวคุณเอง ตอนนี้คุณได้คำตอบหรือยัง

“ใครคือช่างภาพที่แท้จริง?” เป็นคำถามที่มีคนถามตั้งแต่จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์การถ่ายภาพ มีช่วงเวลาในอดีตที่สตูดิโอถ่ายภาพจ้างช่างภาพหลายๆ คนเพื่อถ่ายภาพในสตูดิโอ แต่เครดิตช่างภาพมักจะเป็นของสตูดิโอผู้เดียว (ซึ่งสตูดิโอก็มักจะตั้งชื่อตามชื่อเจ้าของนั่นแหละ) ช่างภาพใหญ่หลายๆ คนให้ผู้ช่วยเป็นคนถ่ายภาพโดยที่ตัวเองได้เครดิต การถ่ายภาพพอร์เทรตบางแบบผู้ถูกถ่ายเป็นคนจัดฉากเองทั้งหมด แค่ให้คนอื่นกดชัตเตอร์ให้ คำถามคือ ช่างภาพคือคนที่กดชัตเตอร์ หรือคือคนที่คิดคอนเซปต์ จัดองค์ประกอบและจัดแสงกันแน่ นอกจากนี้ยังมีไอเดียของการหยิบภาพหรือสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ อย่างงานของ Richard Prince ด้วย

ผมคิดว่าโปรเจกต์ Road Trip in Quarantine มีความคล้ายกับตัวอย่างที่ผมพูดมา แน่นอน คุณสามารถพูดได้ว่าคนที่ขับรถของกูเกิลคือช่างภาพ ส่วนผมคือคนที่ครอปภาพมาแต่งและปรับสี แต่ในมุมของผม ผมมองว่าสิ่งที่ปรากฏในกูเกิลแมปส์คือโลกหนึ่งใบ ผมคือคนที่ถือกล้องหันไปยังมุมต่างๆ ที่ผมต้องการ และนำมาแต่งในแบบที่ผมต้องการ 

ศิลปะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจากการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ และศิลปินก็ต้องรู้จักปรับตัวเข้ากับมันเพื่อพัฒนาตัวเองและตามให้ทันโลก ในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นศิลปะไว้ ผมคิดว่างานนี้เป็นการพัฒนาต่อจากโปรเจกต์ภาพถ่ายอื่นๆ ที่ผมเคยทำ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่แยกกันโดยสมบูรณ์

หลังพ้นจากการกักตัวคุณจะไปที่ไหนเป็นที่แรก

ไม่ฮาวายก็อิตาลีและแน่นอนว่าต้องไปโร้ดทริปอีกหลายๆ ที่

ดูผลงานอื่นๆ ของทิมได้ที่ timmelideo.com

AUTHOR