ขณะที่รถ SUV กำลังแล่นลัดเลาะเลียบชายหาดสีขาวสะอาดตา เราเปิดกระจกรถเพื่อรับไอแดดอุ่นและลมเย็นสบายในยามเช้าพลางเหม่อมองผืนน้ำสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับทอดยาวจรดขอบฟ้า ช่วงเวลาดีๆ แบบนี้เราควรรู้สึกสดใสร่าเริงมีชีวิตชีวา แต่ไฉนถึงมีก้อนแห่งความกังวลวนเวียนอยู่ในใจก็ไม่รู้ ว่าแล้วก็ขอถอนหายใจหนึ่งเฮือกใหญ่ๆ หมายใจว่าเมื่อทำแล้วจะช่วยไล่ความรู้สึกขมุกขมัวนี้ให้สลายหายไปกับอากาศ
“แน่ใจจริงๆ แล้วใช่ไหมว่าจะลองทำสิ่งนี้”
คำถามดังกล่าววนเวียนเข้ามาในหัวไม่หยุดและส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรถเลี้ยวออกจากถนนที่ตัดตรงเลียบทะเลมุ่งหน้าเข้าสู่แนวภูเขาหินแกรนิตที่ตั้งตระหง่านทอดตัวยาวอันเป็นจุดหมายของเราในเช้าวันนี้
สงสัยว่าคงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นโบจนหน้าผากย่นไปหมดหรือเผลอถอนหายใจแรงเกินไป ทำให้คุณ Guiherme Gama (จากนี้จะเรียกว่ากุย) หนุ่มใหญ่วัยเกือบจะเลขหก เจ้าของรถที่กำลังฮัมเพลงแข่งกับเสียงลมด้วยความร่าเริงใจหันมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงพร้อมชวนคุยไปเรื่อยเพื่อให้เราคลายความกังวลใจ ไล่เรียงมาตั้งแต่เรื่องหน้าที่การงานของเราไปจนถึงเล่าย้อนประสบการณ์ชีวิตของเขาที่ผูกพันอยู่กับเมืองรีโอเดอจาเนโรและกีฬา Hang Gliding หรือร่มร่อนมาเกือบๆ จะสามสิบปีแล้ว
กุยในวัยหนุ่มย้ายเข้ามาสู่เมืองหลวงด้วยแรงใจและไฟฝันว่าที่นี่จะมีโอกาสสำหรับคนตัวเล็กๆ อย่างเขามากกว่าบ้านเกิดที่จากมา แต่ชีวิตในเมืองใหญ่นั้นยากกว่าที่วาดภาพเอาไว้ เขาพยายามหางานเลี้ยงชีพไปเรื่อยตามประสาโดยไม่เกี่ยงว่างานดังกล่าวนั้นจะเป็นอะไร ขอแค่เป็นอาชีพสุจริตก็เพียงพอ ผ่านช่วงเวลาที่ต้องระหกระเหินผ่านร้อนผ่านหนาวอยู่หลายครั้งจนกระทั่งได้งานที่ดีและมีความมั่นคงในชีวิต แต่ถึงกระนั้นก็ไม่วายรู้สึกว่าในหัวใจมีช่องว่างบางอย่างที่ขาดหายไป
เขาทดลองถมหลุมที่ว่างตรงกลางใจหลากหลายวิธีด้วยกัน (ซึ่งหลายอย่างก็ไม่ควรทำตาม) กระทั่งได้มาเจอกับกีฬาร่มร่อนที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล จากความรู้สึกตื่นเต้นท้าทายเมื่อครั้งแรกที่ได้ล่องลอยอยู่กลางอากาศกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ฝึกฝน เรียนรู้ จนตัดสินใจลาออกจากงานประจำและทำสิ่งนี้เป็นอาชีพเลี้ยงตนจนสุดท้ายก็ได้มาเป็นครูสอน เขาเล่าเสริมว่าตนเองนั้นไม่ใช่คนประเภทที่มีความฝันอะไรใหญ่โต เพียงแต่โชคดีกว่าคนอื่นๆ นิดหน่อยก็ตรงที่ค้นพบแล้วว่าชีวิตนี้อยากทำอะไรและได้ตื่นมาทำสิ่งที่รักทุกๆ วัน นั่นคือการร่อนร่มเล่นลมอยู่กลางอากาศโดยไม่ต้องรีบร้อน ช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะล้ำค่า มันคือความอิสรเสรีที่ไม่สามารถหาคำพูดหรือสิ่งใดมาอธิบายเปรียบเทียบได้
“เหมือนกับว่าตัวเองได้เป็นส่วนหนึ่งของสายลม” เขากล่าวด้วยสายตาที่เป็นประกายวิบวับพร้อมสำทับเพิ่มว่าด้วยเหตุนี้เขาจึงรับบินแค่วันละสองถึงสามรอบเท่านั้นเนื่องจากอยากใช้เวลาอยู่กลางอากาศให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากรับลูกค้าเยอะๆ ในแต่ละวันนั่นหมายความว่าเวลาที่ได้อยู่บนฟ้าจะน้อยลงเพราะต้องรีบลงมารับลูกค้าคนใหม่ อย่างวันนี้เขารับเราแค่คนเดียว จากนี้จะกลับบ้านไปรับประทานอาหารกลางวันกับภรรยา ส่วนตอนเย็นจะไปโต้คลื่นซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เขารักมากพอๆ กัน
ประกายเจิดจ้าในดวงตาของกุยเมื่อเล่าย้อนเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ทั้งเรื่องครอบครัวและภรรยา รวมถึงความรักในการเล่นร่มร่อนที่เปรียบเสมือนชีวิตและจิตใจ ตลอดจนการได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักในทุกๆ วันนั้นรวมกันเป็นพลังงานดีๆ ที่ส่งต่อออกมาจนเราสัมผัสได้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหากรู้ตัวว่าอะไรคือสิ่งที่รักและอยากตื่นมาทำทุกวันบ้างก็คงจะดีไม่น้อย เพราะนี่คือสิ่งที่เฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นกัน
จากบทสนทนาที่อบอุ่นเป็นกันเองและข้อคิดที่ได้จากการใช้ชีวิตของกุยทำให้ก้อนความกังวลที่เกาะกุมอยู่ในใจค่อยๆ คลายลงไปกลายเป็นความตื่นเต้นเข้ามาแทนที่ ชักอยากจะรู้เสียแล้วว่าความรู้สึกแบบไหนกันนะที่ทำให้เขาติดอกติดใจ รักการเล่นร่มร่อนได้มากถึงเพียงนี้ หรือเผลอ ๆ บางทีเราอาจจะได้คำตอบเกี่ยวกับชีวิตแบบเดียวกันกับเขาก็เป็นได้
หลังจากแวะลงทะเบียนที่ Hang Gliding Club และจ่ายค่าธรรมเนียบเรียบร้อย เรามุ่งหน้าขึ้นเขาผ่านป่าเขียวชอุ่มไปยังจุดปล่อยตัวซึ่งกุยเล่าให้ฟังว่าป่าที่เรากำลังนั่งรถผ่านในบริเวณนี้คือป่าในเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนแนวภูเขาหินแกรนิตนี้ก็ทอดตัวยาวลงไปในทะเล แบ่งตัวเมืองรีโอเดอจาเนโรออกเป็นสองส่วน คือ ฝั่งตะวันออกที่เป็นเมืองเก่าอันเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวและชายหาดชื่อดังมากมาย ส่วนฝั่งตะวันตกนั้นเป็นตัวเมืองใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นเพื่อลดความแออัดของประชากร มีถนนสายใหม่ที่สร้างตอนประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกตัดผ่านระหว่างตัวเมืองทั้งสองฟากที่ช่วยย่นระยะเวลาและทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงลานกว้างบนเขาที่เต็มไปด้วยเครื่องวัดทิศทางลมมากมาย กุยตรงเข้าไปทักทายคุณเจ้าหน้าที่ด้วยความแจ่มใสและหันมาอธิบายว่าลานตรงนี้เป็นจุดเตรียมอุปกรณ์และฝึกซ้อมคิวการวิ่ง ส่วนถัดไปนั้นจุดปล่อยตัวที่เป็นกระดานไม้แข็งแรงทำเป็นลานเอียงลาดยื่นออกไปจากริมหน้าผาพาให้ใจหวิว หลังพาเดินชมรอบๆ เรียบร้อยแล้วกุยก็เริ่มลงมือประกอบร่มร่อน ทิ้งให้เราเดินเล่นสำรวจสถานที่และถ่ายรูปเล่นแก้อาการมือเย็นจากความตื่นเต้นไปพลางๆ
เมื่อประกอบร่มและอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย กุยตะโกนเรียกเราที่กำลังเดินวนทำสมาธิหายใจเข้าลึก ออกยาว ยุบหนอ พองหนอ ให้มาใส่ชุดและอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ พร้อมกับเริ่มอธิบายให้ฟังว่าจากนี้จะต้องทำอะไรบ้างและซ้อมวิ่งด้วยกันเนื่องจากกระแสลมในขณะนี้เรียกกว่า Crossed Wind คือลมที่พัดต้านเข้ามาหาภูเขา ไม่ใช่ Front Wind ที่พัดจากภูเขาออกไปสู่ทะเลอันเป็นแรงลมที่จะช่วยส่งตอนออกตัวและทำให้สามารถร่อนอยู่กลางอากาศได้นานขึ้น
เมื่อลมจากภูเขามีกำลังไม่มากพอจึงต้องอาศัยแรงวิ่งของเราเป็นแรงส่งเพื่อให้กระแสลมรับช่วงต่ออีกที โดยกุยบอกให้วิ่งเร็วและแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยพยายามให้ฝีเท้าของเราทั้งสองคนสัมพันธ์กัน ซึ่งกว่าจะรู้เรื่องว่าต้องออกแรงวิ่งแต่ละก้าวให้เร็วเท่าๆ กันได้อย่างไรก็ต้องซักซ้อมกันถึงสี่ครั้ง
หลังจากที่ผูกตัวติดกับอุปกรณ์และติดกับกุยแล้วเรียบร้อย คุณเจ้าหน้าที่จะพาเราไปยังจุดเตรียมความพร้อมลำดับที่หนึ่งเพื่อช่วยติดชุดของเรากับตัวร่มร่อน และจากนั้นก็ไปต่อกันที่จุดลำดับที่สองซึ่งเป็นการตรวจสอบความแน่นหนาของอุปกรณ์และทดลองว่าตัวร่มสามารถรับน้ำหนักของเราทั้งสองคนได้หรือไม่โดยทำท่าแพลงก์แล้วปล่อยมือจากพื้น
เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าปลอดภัยไร้กังวล ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่มีปัญหาใด เราก็มายืนรอให้กระแสลมเปลี่ยนทิศ ความจริงแล้วลมจากภูเขามีกำลังมากพอที่จะช่วยส่งตัวได้แต่กุยอยากให้เรามีเวลาอยู่บนท้องฟ้าให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้จึงตัดสินใจว่าจะรอต่ออีกหน่อย ส่วนเราก็ว่าตามเขาเพราะไหนๆ ตอนนี้ก็ผูกตัวติดกับร่มร่อนแล้วเรียบร้อย จะกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ต้องวิ่งลงจากจุดปล่อยตัวแล้วล่ะ
หลังจากที่กุยและคุณพี่เจ้าหน้าที่ (เพิ่งจะทราบชื่อเสียงเรียงนามกันตอนนี้นี่เองว่าชื่อคุณเกเบรียล) พยายามสรรหาเรื่องมาชวนคุยอยู่พักใหญ่ให้เราหายตัวสั่นเพราะใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นที่ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแล้ววินาทีที่กระแสลมเปลี่ยนทางก็มาถึง เขารีบหันไปเช็กความเรียบร้อยกันอีกครั้งก่อนขณะที่เรายังไม่ทันจะตั้งตัวพนมมือนึกถึงหน้าพ่อแก้วแม่แก้วและแมวที่บ้าน
“1… 2… 3… Go!”
สิ้นเสียงของกุย เราออกแรงวิ่งสุดชีวิตเท่าที่ขาทั้งสองข้างจะทำความเร็วได้พร้อมกับเสียงของเขาที่ตะโกนบอกว่า Run! Faster! Faster! Faster! ณ ตอนนั้นสมองของเราว่างเปล่า รู้แต่เพียงว่าจะหยุดไม่ได้แล้ว ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องวิ่งต่อไปเท่านั้น วิ่งต่อไปอย่างสุดกำลังและสุดแรงทั้งหมดที่มี จนกระทั่งเราก้าวเท้าออกไปแล้วไม่สัมผัสกับพื้นไม้กระดาน เชือกกระตุกให้เปลี่ยนจากท่าวิ่งเป็นนอนขนานราบกับพื้นโลกอยู่กลางท้องฟ้า เรากางแขนออกโดยอัตโนมัติเพื่อรับกับสายลมที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้า วินาทีนั้นเป็นอีกหนึ่งวินาทีที่น่าจดจำของชีวิต มันเป็นความตื้นตันที่เราสามารถเอาชนะความกลัวที่เป็นเครื่องพันธนาการในใจและโบยบินอย่างเสรี เป็นหนึ่งเดียวกันกับสายลม
กุยชี้ให้ดูรูปปั้น Christ the Redeemer ที่เราเฝ้าใฝ่ฝันว่าอยากจะเห็นสักครั้งหนึ่งในชีวิตซึ่งขณะนี้เป็นเพียงจุดสีขาวเล็กจิ๋วเมื่อมองจากระยะไกล พร้อมกับประทับภาพความงามของเมืองรีโอเดอจาเนโรจากมุมสูง ภูเขาเขียวขจี ผืนทะเลสีคราม และท้องฟ้าแสนสดใสไว้ในใจตลอดไป
เราใช้เวลาอยู่บนท้องฟ้าเกือบสิบนาทีจึงค่อยๆ ร่อนลงมาถึงชายหาดโดยสวัสดิภาพ กุยยิ้มให้และแปะมือไฮไฟว์กัน เราบอกกับเขาด้วยอาการน้ำตาปริ่มว่าตอนนี้น่าจะเข้าใจในสิ่งที่เขาบอกเมื่อตอนต้นแล้วล่ะ ตั้งแต่ช่วงเวลาที่วิ่งจนสุดแรงทั้งหมดที่มีจนกางแขนแล้วล่องลอยไปกับสายลม มันเป็นความอิ่มเอมในใจประกอบกับความกระหายอยากจะสัมผัสกับความรู้สึกแบบเมื่อครู่อีก
ความรู้สึกที่เราให้คำตอบตัวเองได้แล้วว่าจากนี้เราอยากจะใช้ชีวิตเพื่ออะไร
เพื่อเสาะหาวินาทีอันแสนล้ำค่าแบบนี้ไปเรื่อยๆ
วินาทีที่เรารู้สึกว่า นี่แหละคือการ ‘ใช้’ ชีวิต
แด่ความกล้าหาญในการเหวี่ยงตัวเองออกไปสัมผัสกับรสชาติชีวิตใหม่ๆ และประกายเจิดจรัสอันวับวาวในแววตาของทุกคน
ด้วยรัก… จากรีโอเดอจาเนโร