Rick Owens จากเด็กชายผู้โกรธแค้นสู่เจ้าชายแห่งความมืดแห่งวงการแฟชั่น

หากจะมีดีไซเนอร์สักคนที่มีแฟนๆ ติดตามอย่างเหนียวแน่นที่สุด ดีไซเนอร์คนนั้นน่าจะเป็น Rick Owens ถามว่าเหนียวแน่นระดับไหน? ก็ระดับที่ว่าบรรดาแฟนๆ ที่ชื่นชอบผลงานของเขามีชื่อเรียกที่รับรู้กันในวงการว่า ‘Tribe’ โดยที่พวกเขาไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าของ Rick Owens แค่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น แต่ห่มคลุมร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยเสื้อผ้าของดีไซเนอร์ชื่อดัง คงไม่เป็นการพูดเกินเลยแต่อย่างใดหากจะบอกว่า แม้ว่า Rick Owens จะเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์แฟชั่น แต่ขณะเดียวกันมันก็ได้กลายเป็นซับคัลเจอร์หนึ่งของวงการแฟชั่นในปัจจุบันที่มองเห็นเป็นกลุ่มก้อนชัดเจน

คำถามคือริก โอเวนส์ เป็นใคร แล้วทำไมเขาถึงกลายเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ที่มีแฟนๆ คลั่งไคล้มากที่สุดในปัจจุบัน คอลัมน์ Multi Brand ครั้งนี้จะพาไปรู้กับดีไซเนอร์ชาวอเมริกันผู้มีฉายาว่า ‘เจ้าชายแห่งความมืด’ (prince of darkness) คนนี้

เด็กหนุ่มผู้โกรธแค้น

โอเวนส์หรือ Richard Saturnino Owens เกิดและเติบโตในเมืองเล็กๆ ชื่อพอร์เทอร์วิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ครอบครัวของเขาเป็นคาทอลิกสายอนุรักษนิยม ด้วยเหตุนี้ความทรงจำในวัยเด็กของโอเวนส์จึงมักจะวนเวียนอยู่กับกฎระเบียบ ความเคร่งครัด และการถูกควบคุมตลอดเวลา

“ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างอ่อนแอและอ่อนไหว มันก็เรื่องราวเดิมๆ ที่ทุกคนต่างก็คุ้นเคยอยู่แล้วนั่นแหละ เด็กผู้ชายที่แสนจะอ่อนไหวเติบโตขึ้นในเมืองเล็กๆ และพยายามจะเข้ากับคนอื่นให้ได้ แล้วในช่วงเวลาที่ผมเติบโตขึ้นมา ผมก็ต้องคอยปฏิบัติตามกฎระเบียบและความคาดหวังที่คอยกำหนดว่าผมควรจะประพฤติตัวแบบไหน” โอเวนส์เล่าย้อนถึงความทรงจำในวัยเด็กของเขา

ภายใต้ข้อกำหนดนับไม่ถ้วนที่คอยแต่จะบงการชีวิตของเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กรอบกติกาเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสร้างความอึดอัด หากยังสุมไฟแห่งความโกรธแค้นให้ลุกโชนในจิตใจของโอเวนส์อยู่เรื่อยๆ

“มันทำให้ผมโกรธนะ แล้วหลังจากนั้นผมก็รู้สึกอยากจะแก้แค้นอะไรพวกนี้ ผมเคยพยายามประนีประนอมอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง ผมถูกบังคับให้ต้องยอมศิโรราบ ให้ปฏิบัติตัวในลักษณะที่น่าอึดอัด ผมต้องรีดเค้นความเป็นชายออกมา ซึ่งมันโหดร้ายเอามากๆ ผมคิดว่าอะไรเหล่านี้ได้นำมาซึ่งสำนึกของการต่อต้านในตัวผม จนถึงที่สุดผมก็ตัดสินใจไปเรียนศิลปะ และพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้แตกต่างที่สุดเท่าที่จะทำได้”

โอเวนส์เล่าว่า ในช่วงเวลาที่เรียนมหา’ลัยนั้น เขาเลือกที่จะสวมใส่รองเท้าบูตหนา ห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าคลุม ทาเล็บ และแต่งหน้า แม้ว่าชีวิตในมหา’ลัยจะอนุญาตให้เขาปลดปล่อยความเป็นตัวเองได้เต็มที่ แต่พอถึงเวลากลับบ้านเขาก็จะต้องกลับมาสวมใส่เสื้อผ้าเรียบๆ อยู่ดี

“ตราบใดที่ผมยังอยากสานต่อความสัมพันธ์กับพ่อแม่ผมอยู่ มันก็จำเป็นที่จะต้องประนีประนอมกับพวกเขา แต่พอช่วงปีหลังๆ ผมก็เปิดเผยมากขึ้น ให้พวกเขาได้รับรู้ถึงชีวิตอีกส่วนหนึ่งของผม กลายเป็นว่าพอผมเริ่มมีเงินมากขึ้น ครอบครัวก็เริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อผม พวกเขาคิดว่าขอแค่ให้ผมประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานก็เพียงพอ มันเจ็บปวดอยู่เหมือนกันนะ แต่ชีวิตมันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียทุกเรื่อง”

The Geobasket

ชื่อของโอเวนส์กลายมาเป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่นหลังจากที่ปรากฏภาพของ Kate Moss นางแบบชื่อดังสวมเสื้อแจ็กเก็ตหนังของเขาบนปกนิตยสาร Vogue ซึ่งหลังจากนั้น Anna Wintour บรรณาธิการของ Vogue ก็ได้สปอนเซอร์โอเวนส์ในการจัดรันเวย์แรกของเขาที่ New York Fashion Week ภายใต้คอลเลกชั่น Spring/Summer 2002 ทำให้รันเวย์แรกสร้างชื่อเสียงให้เขาในทันที โดยที่ Vogue เองก็ได้บรรยายถึงความโดดเด่นของรันเวย์ครั้งนี้ไว้ว่า

“มู้ดของโอเวนส์นั้นมืดมน มีความมืดมิด พื้นที่อันเปล่าเปลือย และเสียงเพลงจาก Alice Cooper และ Iggy Pop ถึงอย่างนั้นเสื้อผ้าของเขาก็ชวนให้รู้สึกเซ็กซี่และอุ่นสบาย มันไม่ค่อยจะมีสีสันนักเพราะโอเวนส์เลือกทำงานกับสีเทา สีฝุ่น สีดำ และสีน้ำตาลขุ่น ชุดเดรสยาวเฟื้อยถูกจับคู่กับโค้ตที่ยาวจนปกคลุมข้อเท้า ส่วนกางเกงผ้าลูกฟูกตัวโคร่งก็ดูเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับเสื้อหนังขาดรุ่ยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของโอเวนส์อยู่แล้ว” 

ในปี 2002 โอเวนส์ยังคงดีไซน์เฉพาะเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงเท่านั้น กระทั่งในคอลเลกชั่น Spring/Summer 2003 ที่เขาได้เริ่มนำเสนอเสื้อผ้าของผู้ชายบนรันเวย์ ชื่อเสียงของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละคอลเลกชั่นที่ตามมา แต่เป็นคอลเลกชั่น Spring/Summer 2006 ที่ได้ส่งให้ชื่อของเขาพุ่งทะยานขึ้นอย่างแท้จริง ภายใต้การมาถึงของ Geobasket รองเท้าบาสเก็ตบอลที่ดีไซน์โดยโอเวนส์ 

ด้วยความที่เขามองว่ารองเท้ากีฬาในชีวิตประจำวันนั้นช่างดูน่าเบื่อเสียเหลือเกิน เขาเลยพยายามออกแบบรองเท้าที่ตัวเองพึงพอใจ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาเป็น Geobasket รองเท้า high-top ขนาดมหึมาที่หน้าตาไม่เหมือนกับสนีกเกอร์ที่คุ้นเคยกันในท้องตลาดนัก แถมเผลอๆ ยังจะดูคล้ายกับรองเท้าบูตมากกว่ารองเท้าบาสเก็ตบอลด้วยซ้ำ

Geobasket กลายเป็นไอเทมยอดฮิตแทบจะในทันที และแม้ว่าหน้าตาของมันจะดูแตกต่างไปจากสนีกเกอร์คู่อื่นๆ แต่ด้วยความที่ด้านข้างของรองเท้าปรากฏลวดลายที่ละม้ายคล้ายกับโลโก้ swoosh ของ Nike นั่นเลยเป็นสาเหตุให้แบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่ดูจะไม่ค่อยแฮปปี้กับ Geobasket สักเท่าไหร่นัก จนในปี 2009 Nike ก็ได้บอกโอเวนส์ให้เขาเลิกผลิตรองเท้าคู่นี่ซะ ไม่อย่างนั้นจะถูกฟ้องเอาได้ เรื่องราวกลับตาลปัตรตรงที่ว่าโอเวนส์เองก็ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองอะไร​ ยินดีจะรับฟัง Nike และยอมดีไซน์ Geobasket ใหม่เพื่อให้มีหน้าตาที่แตกต่างไปจากเดิม 

Rick Owens

แต่ถึงจะเคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับ Nike นั่นก็ไม่ได้ทำให้สถานะของ Geobasket เสื่อมถอยลงแต่อย่างใด Geobasket ได้กลายเป็นหนึ่งในไอเทมศักดิ์สิทธิ์ที่ใครๆ ต่างก็อยากมีไว้ในครอบครอง ยิ่งหากเป็น Geobasket รุ่นก่อนหน้าที่โอเวนส์จะปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ด้วยแล้ว ราคาของมันสามารถพุ่งขึ้นไปแตะหลักแสนได้อย่างสบายๆ 

อิสระในการดีไซน์

ชื่อเสียงและความสำเร็จของโอเวนส์นั้นดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เห็นได้จากรายงานจากเว็บไซต์ The Business of Fashion ที่ระบุว่า “ในปี 2010 รายได้ของโอเวนส์อยู่ที่ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2012 ก็เพิ่มขึ้นมาที่ 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระทั่งในปี 2013 ก็ทะยานไปแตะหลักร้อยล้าน และแม้ว่าโอเวนส์จะเคยพูดเล่นๆ ว่าเขาอยากจะขายแบรนด์ของตัวเองให้กับบริษัทสักแห่งหนึ่ง แต่จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังคงขยายแบรนด์ของตัวเองอยู่เรื่อยๆ โดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆ จากบุคคลภายนอก”

ความเป็นอิสระเหนือแบรนด์ของตัวเองได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โอเวนส์สามารถดำเนินโปรเจกต์ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเขาได้ตลอดเวลา โดยที่ความสนใจของเขาก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่แฟชั่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังขยายไปสู่วงการอื่นๆ อย่างเฟอร์นิเจอร์ นับจากวันที่โอเวนส์ตัดสินใจย้ายจากลอสแอนเจลิสไปฝรั่งเศสในปี 2003 เขาและ Michèle Lamy ภรรยาได้ซื้อบ้านหลังใหม่และตัดสินใจออกแบบเฟอร์นิเจอร์เพื่อใช้ตกแต่งในบ้านหลังนี้

Rick Owens

ในปี 2010 โอเวนส์ก็ได้เปิดตัวไลน์เฟอร์นิเจอร์ของแบรนด์ ซึ่งแน่นอนว่าลักษณะของเฟอร์นิเจอร์ที่โอเวนส์ดีไซน์นั้นมีเอกลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับเสื้อผ้าของเขา นั่นคือการเน้นใช้สีขาว-ดำเป็นส่วนใหญ่ และยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมสไตล์ brutalism รวมไปถึงบังเกอร์ของทหารเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ยังผสมผสานกันระหว่างแร่หินที่ดูมีราคากับวัสดุในชีวิตประจำวันอย่างคอนกรีตและไม้อัด ออกมาเป็นเอกลักษณ์ของเฟอร์นิเจอร์ที่มีความขัดแย้งอยู่ในตัว

Rick Owens

นอกจากนี้โอเวนส์ยังได้พยายามขยายฐานแฟนให้กว้างขึ้นและสามารถเข้าถึงเสื้อผ้าของเขาได้มากขึ้นผ่านแบรนด์ DRKSHDW ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2005 และโฟกัสไปที่ผ้าเดนิมเป็นหลัก ก่อนที่จะค่อยๆ เป็นที่รับรู้ในฐานะแบรนด์ย่อยของ Rick Owens ที่เน้นดีไซน์เสื้อผ้าสตรีทแวร์อย่างเสื้อฮู้ดและกางเกงสเวตในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น DRKSHDW ถือเป็นประตูบานแรกให้กับแฟนๆ กลุ่มใหม่ที่เริ่มสนใจ Rick Owens แต่ยังไม่พร้อมที่จะกระโดดไปซื้อเสื้อผ้าราคาสูงในไลน์การผลิตหลักของเขา

นอกจากนี้โอเวนส์ยังมีโอกาสไปร่วมงานกับแบรนด์ดังๆ อีกสารพัด ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เสื้อผ้าอย่าง Champion และ Moncler แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง adidas และ Converse และแบรนด์รองเท้าอย่าง Dr. Martens และ BIRKENSTOCK จนเรียกได้ว่าเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่งานชุกสุดๆ คนหนึ่งก็ว่าได้ 

Rick Owens

หากพิจารณาจากผลงานต่างๆ ที่ผ่านมาของโอเวนส์ ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายและเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ไม่แปลกเลยที่โอเวนส์จะเป็นหนึ่งในแฟชั่นดีไซเนอร์ที่มีแฟนๆ ติดตามมากที่สุดในโลก โดยที่แม้ว่าชื่อของเขาจะวนเวียนอยู่ในวงการแฟชั่นมาหลายปี แต่โอเวนส์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนปรนพลังในการดีไซน์ลงแต่อย่างใด เขายังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปกับการย้อนมองกลับไปยังผลงานเก่าๆ ตีความและค้นหาแง่มุมใหม่ๆ ที่จะยกระดับแบรนด์ของเขาให้ดียิ่งขึ้นไป ภายใต้ความทุ่มเทระดับนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม Rick Owens ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีสาวกติดตามมากมายและยังคงความร้อนแรงอยู่ได้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลงเลย

Rick Owens

AUTHOR