แด่ผู้แหลกสลาย : ต่อให้เจ็บปวดรวดร้าวเพียงใดก็ยังมี Reasons to Stay Alive เสมอ

บนข้อมือซ้ายของฉันมีรอยสักเล็กๆ เป็นสัญลักษณ์ ; (semicolon) Reasons to Stay Alive

เมื่อราวๆ 7 ปีก่อนฉันตัดสินใจจารึกมันไว้บนร่างกายเพื่อเฉลิมฉลองให้กับชีวิต หรือถ้าพูดให้เจาะจงขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองที่ตัวเองลาขาดจากโรคซึมเศร้าที่กัดกินจิตใจและร่างกายมาเนิ่นนาน

ในเชิงไวยากรณ์ ; หมายถึงประโยคที่ยังไม่จบ ประโยคที่ยังมีตัวอักษรและถ้อยคำรอขยายความต่อ

ในเชิงชีวิต ; หมายถึงชีวิตที่ยังไม่จบ ชีวิตที่ยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวและผู้คนให้พานพบ ชีวิตที่ยังไปต่อ 

แม้ว่าหลังจากวันที่ได้รอยสักนี้มาฉันจะกลับไปเป็นโรคซึมเศร้าอีกหลายครั้ง แต่ฉันก็ยินดีที่มีรอยสักนี้ไว้เตือนใจ วันใดที่รู้สึกว่าชีวิตดำเนินมาถึงจุดจบ–จุดฟูลสต็อป ฉันจะเพ่งมองสัญลักษณ์เล็กๆ บนข้อมือแล้วไล่เรียงเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ในใจ

Reasons to Stay Alive

คงจะอาจหาญไปหน่อยหากฉันเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าฉันเองก็เขียนหนังสือแบบ แด่ผู้แหลกสลาย หรือ Reasons to Stay Alive ได้เหมือนกัน 

แต่ฉันก็คิดเช่นนั้นจริงๆ 

เปล่าเลย ฉันไม่ได้อยากยกตัวไปเทียบเคียง Matt Haig นักเขียนเลื่องชื่อชาวอังกฤษผู้โด่งดังจากฟิกชั่นหลายเล่มอย่าง The Humans, How to Stop Time และเล่มที่เพิ่งมีฉบับแปลไทยไปไม่นานอย่าง The Midnight Library หรือ มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน

ฉันเพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องราวและความรู้สึกของเราช่างคล้ายคลึงกัน ถึงขั้นที่ว่าหากฉันจรดปากกาเขียนเรื่องราวของตัวเองลงบนกระดาษ มันก็คงจะออกมาเป็นอะไรทำนองเดียวกันนี้แหละ

ใน Reasons to Stay Alive แมตต์บอกเล่าประสบการณ์ช่วงที่ตัวเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล เขาเปิดเรื่องโดยพาคนอ่านย้อนกลับไปยังบ่ายวันหนึ่งเมื่อ 14 ปีก่อน แมตต์เรียกวันนั้นว่า “วันที่ผมคนเก่าตาย”​ เพราะเป็นวันที่ความเจ็บปวดที่เปรียบดั่ง ‘ไฟล่องหนที่ลุกไหม้บนศีรษะ’ นั้นรวดร้าวเสียจนเขาอยากจบชีวิต 

แมตต์เดินไปที่หน้าผา แต่ความกลัวรั้งเขาเอาไว้ 

“การฆ่าตัวตายนั้นไม่ง่ายเลย เรื่องแปลกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าคือ แม้ว่าคุณจะต้องการฆ่าตัวตายมากเพียงใด ความกลัวตายก็ไม่ได้ลดน้อยลง จะต่างออกไปก็เพียงความเจ็บปวดจากการมีชีวิตอยู่ซึ่งทบทวี ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าใครฆ่าตัวตาย ขอให้คุณรู้ว่าความตายน่ากลัวสำหรับพวกเขาเช่นกัน”

เชื่อไหมว่าฉันถึงกับต้องหยุดพักเมื่ออ่านมาถึงพารากราฟนี้

แม้ฉันกับแมตต์จะแตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ อายุ เพศ พื้นเพ แต่อย่างที่บอก เรื่องราวและความรู้สึกของเราช่างคล้ายคลึงกันเหลือเกิน ช่วงหนึ่งของชีวิตฉันเคยเห็นภาพตัวเองนอนจมกองเลือดซ้ำๆ

แต่โชคดีหน่อย เพราะความขี้ขลาด ฉันเลยยังอยู่ตรงนี้

“ผมยืนตรงนั้นสักพัก รวบรวมความกล้าตาย แล้วค่อยๆ รวบรวมความกล้าที่จะมีชีวิต” แมตต์เล่าต่อ 

ฉันเชื่อมโยงได้ทันที แม้จะฟังดูย้อนแย้ง​ (หรือบางคนอาจจะว่าขี้เก๊กหรือเปล่า เขียนทำเท่ใช่ไหม) แต่สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอย่างฉัน ประโยคนั้นสมเหตุสมผลทุกประการ เพราะเมื่อเราสบตากับความตาย เมื่อนั้นเราสบตากับชีวิต ทั้งชีวิตที่เป็นมาและชีวิตที่มีสิทธิจะเป็นไป ซึ่งท้ายที่สุดแล้วอาจรวมเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่

“ผมคิดว่าชีวิตเสนอเหตุผลของการดำรงอยู่เสมอถ้าเราตั้งใจฟัง เหตุผลเหล่านั้นอาจมาจากอดีต จากคนที่เลี้ยงเรามา เพื่อน คนรัก หรือจากอนาคต นั่นคือความเป็นไปได้ที่เราจะหยุดคิดอยากตาย เช่นนั้นเองผมจึงอยู่ต่อ”

วันนั้นความกลัวรั้งขาแมตต์เอาไว้ก็จริง แต่เป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ที่ชวนให้เขาหันตัวกลับแล้วทิ้งหน้าผาไว้เบื้องหลัง

ฉันอ่าน Reasons to Stay Alive จบแทบจะภายในวันเดียว ซึ่งต้องยกเครดิตให้แมตต์ผู้บอกเล่าช่วงเวลาที่มืดสุดมืดและลึกสุดลึกในชีวิตได้อย่างสละสลวย มีชั้นเชิง และเปี่ยมด้วยอุปมาอุปไมยราวกับเป็นฟิกชั่นสนุกๆ เล่มหนึ่ง เช่นว่า

ใน ‘บทสนทนาข้ามกาลเวลา’ เขาสมมติให้ตัวเองในอดีตและตัวเองในอนาคตคุยกัน 

ใน ‘สิ่งที่ซึมเศร้าพูดกับคุณ’ เขาสมมติให้โรคนี้มีปากมีเสียง (ซึ่งฉันอ่านแล้วรู้สึกว่า โอ้โห เหมือนกับที่โรคซึมเศร้าของฉันพูดกับฉันเป๊ะเลย)

และบางครั้งแมตต์ก็ทั้งตลก ทั้งประชดประชันอย่างร้ายกาจ เช่นใน ‘สิ่งที่คนมักพูดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า แต่ไม่พูดในสถานการณ์ร้ายแรงถึงตายอื่นๆ’ เขายกตัวอย่างไว้ว่า

 “ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารล่ะ” 

“อา เยื่อหุ้มสมองอักเสบนี่เอง ถ้าจิตใจเข้มแข็ง เดี๋ยวก็หาย”​

เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ยังมีเทคนิคแพรวพราวอีกมากที่แมตต์งัดมาใช้ เช่น การเล่าสลับไทม์ไลน์ การหยอดข้อเท็จจริงและสถิติตามจุดต่างๆ แต่สิ่งที่ฉันชอบที่สุดกลับเป็นสิ่งธรรมดาๆ อย่างการเปิดเปลือยตัวตนโดยปราศจากความเขินอาย จุดนี้แหละที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเจอเพื่อนสนิทที่คลิกกันมากๆ นึกออกไหม เพื่อนสนิทประเภทที่แค่มองตาก็รู้ว่าเราจะพูดอะไร ตัวอักษรของแมตต์ให้ความรู้สึกแบบนั้นแหละ

Reasons to Stay Alive

ตามที่ชื่อ Reasons to Stay Alive บอกใบ้ เพื่อนสนิทเล่มใหม่ของฉันบอกเล่าเส้นทางสู่การค้นพบเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ โดยฉันขอหยิบยกเหตุผลบางข้อที่ฉันสรุปออกมาเองไว้ตามด้านล่างนี้

1. ยังมีคนอีกมากที่เข้าใจคุณ คุณไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวผู้โดดเดี่ยวบนดาวเคราะห์ดวงนี้

อย่างที่ฉันบอกไปแล้ว หนังสือเล่มนี้จะเป็นเพื่อนที่เข้าใจคุณ และนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วยังมีคนอีกมากที่เข้าใจหรือพร้อมทำความเข้าใจโรคล่องหนที่คุณกำลังเผชิญ อย่างที่แมตต์บอกไว้ว่า

“คุณรู้สึกเหมือนอยู่บนดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่คุณกำลังเผชิญ แต่แท้จริงพวกเขาเข้าใจ คุณคิดว่าไม่มีใครเข้าใจเพราะแหล่งอ้างอิงเดียวคือคุณเอง เพราะ คุณ ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน ความหวาดผวาจากความเปลี่ยนแปลงนั้นจึงหลอกหลอนคุณ แต่คนอื่นก็เคยเป็นอย่างนี้เหมือนกัน คุณอยู่ในดินแดนมืดมิดที่มีประชากรหลายล้านคน”

2. ยังมีหนังสือดีๆ อีกหลายเล่มที่คุณไม่ได้อ่าน (รวมถึง Reasons to Stay Alive ด้วย)

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยให้แมตต์ก้าวผ่านช่วงเวลาที่อาการกำเริบหนักมาได้คือหนังสือ ใน Reasons to Stay Alive เขาจึงลิสต์รายชื่อหนังสือน่าอ่านเอาไว้หลายเล่ม เช่น เมืองที่มองไม่เห็น (Invisible Cities) ของ Italo Calvino, The Outsiders ของ S. E. Hinton และ คนนอก (The Stranger) ของ Albert Camus

หากคุณเป็นหนอนหนังสือล่ะก็ อ่านจบแล้วจะได้รายชื่อหนังสือมาอ่านต่ออีกเพียบเลยล่ะ

Reasons to Stay Alive

3. ยังมีคนที่รักและพร้อมอยู่เคียงข้างคุณเสมอ

หน้าแรกๆ ของหนังสือเล่มนี้มีข้อความสั้นๆ ว่า

แด่ แอนเดรีย

ตอนแรกฉันพลิกผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจนัก จนเมื่ออ่านมาเกินครึ่งเล่มฉันถึงได้เข้าใจว่าทำไมหนังสือเล่มนี้อุทิศแด่แอนเดรีย แฟนสาวในขณะนั้น และภรรยาและแม่ของลูก 2 คนของแมตต์ในปัจจุบัน

ถ้าไม่มีแอนเดรีย คงไม่มี Reasons to Stay Alive และหนังสือเล่มอื่นๆ ที่นักอ่านหลงรัก (ไม่มีแบบไม่มีจริงๆ เพราะเธอเป็นคนสนับสนุนให้แมตต์เริ่มต้นเขียนหนังสือ) 

หรือแย่กว่านั้น ถ้าไม่มีแอนเดรีย คงไม่มีแมตต์ เฮก 

แอนเดรียเป็นทั้งคนที่พาแมตต์ไปหาหมอ พาเขากลับบ้านไปหาพ่อแม่ อยู่กับเขาในวันแย่ๆ และพยุงให้เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง 

ความงดงามอย่างหนึ่งคือเมื่ออ่านไปเรื่อยๆ เราจะได้รับรู้บางเหตุการณ์ที่แมตต์บอกตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นอีกนิด กล้าขึ้นอีกหน่อย เพื่อที่แอนเดรียจะไม่ต้องลำบากในการดูแลเขาไปมากกว่านี้ 

“…แต่ผมไม่ได้ติดค้างเธอแค่หนังสือเล่มนั้น ผมติดค้างเธอทั้งชีวิตต่างหาก” แมตต์ว่าอย่างนั้น

สำหรับฉัน ตอนที่ป่วยครั้งแรกฉันไม่มี ‘แอนเดรีย’ ของตัวเองเลย จนครั้งถัดๆ มาถึงได้เจอคนที่เป็นดั่งแอนเดรียผู้คอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ ดังนั้นสำหรับคุณที่อ่านอยู่แล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่มีใคร ไม่ว่ายังไงฉันก็เชียร์ให้อยู่รอก่อน สักวันคุณต้องเจอแอนเดรียของคุณ เชื่อเถอะ

Reasons to Stay Alive
Reasons to Stay Alive

4. ยังมีโมเมนต์เล็กๆ อีกมากที่รอคุณไปสัมผัส

แมตต์มีเหตุผลของการมีชีวิตมากมายหลากหลายข้อ แต่ทั้งหมดมีจุดร่วมอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือพวกมันล้วนเป็นเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ เป็นเหตุการณ์ธรรมดาๆ กิจกรรมเบสิกๆ อย่างเช่นที่แมตต์ลิสต์ออกมาในข้อ 10 ของบท ‘เหตุผลของการมีชีวิต’

“วันหนึ่งคุณจะค้นพบความสุขที่คุ้มค่ากับการทนเจ็บ คุณจะเสียน้ำตาแห่งความสุขให้วงเดอะบีชบอยส์​ จะจ้องหน้าลูกสาวตัวน้อยที่ผล็อยหลับไปบนตัก จะเจอเพื่อนดีๆ จะกินอาหารอร่อยๆ ที่ยังไม่เคยกิน จะมองทิวทัศน์จากที่สูงได้โดยไม่คิดถึงการตกลงไปตาย มีหนังสือดีๆ ที่คุณยังไม่ได้อ่าน หนังที่คุณยังไม่ดูพร้อมข้าวโพดคั่วถังใหญ่พิเศษ คุณจะเต้นรำ หัวเราะ มีเซ็กซ์ ออกไปวิ่งริมแม่น้ำ มีบทสนทนาลึกซึ้งยามดึกแล้วหัวเราะจนปวดท้อง ชีวิตรอคุณอยู่ คุณอาจจะติดอยู่ที่นี่สักพัก แต่โลกไม่ได้หนีไปไหน สู้ต่อเถอะถ้าทนไหว ชีวิตคุ้มค่าเสมอ”

ฉันว่าเหตุผลของฉันก็เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกัน เป็นต้นว่า การได้ไปที่ใหม่ๆ กับคนรัก การพาแมวไปเดินเล่นในทุกๆ วัน การหัวเราะสุดปอดกับคนที่สบายใจจะอยู่ด้วย หรือการได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง 

ดูเหมือนว่าเหตุผลของการมีชีวิตอยู่อาจไม่ใช่ดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า​ แต่เป็นดาวดวงเล็กๆ ที่เมื่ออยู่รวมกันแล้วก็พอจะให้แสงสว่างในวันคืนมืดหม่นได้เหมือนกัน 

5. หากอดทนผ่านพายุนี้ไปได้ คุณจะได้พบตัวเองคนใหม่ที่เท่ไม่เบาเลยล่ะ 

แม้ฉันจะไม่ใช่แฟนตัวยงของ Haruki Murakami และไม่ได้เคยอ่าน Kafka on the Shore แต่มีโควตหนึ่งจากเรื่องนี้ที่ฉันเคยอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตแล้วชอบมากๆ 

“…และเมื่อพายุจบสิ้นลง คุณจะจำไม่ได้ว่าผ่านมันมาได้ยังไง รอดชีวิตมาได้ยังไง จริงๆ แล้วคุณไม่แน่ใจกระทั่งว่าพายุจบสิ้นลงแล้วหรือยัง แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณมั่นใจ เมื่อคุณออกจากพายุนั้นมาแล้ว คุณจะไม่ใช่คนเดิมคนที่เดินเข้าไปในนั้น และนั่นคือคุณค่าของพายุ”

Reasons to Stay Alive อ้างถึงโควตนี้เช่นกัน ซึ่งฉันรู้สึกว่าเข้ากับบริบทของผู้ป่วยโรคจิตเภทได้เป็นอย่างดี สำหรับฉันเอง หลังจากรักๆ เลิกๆ กับโรคซึมเศร้าราวกับแฟนที่เลิกกันไม่ขาดมาหลายปี ก็รู้สึกเช่นกันว่าตัวเองเปลี่ยนไปเยอะ มีทั้งดีและไม่ดี แต่ฉันคิดเข้าข้างตัวเองว่าส่วนที่ดีนั้นเยอะกว่า 

แมตต์เองก็ดูจะเห็นตรงกัน เขาบอกว่า “ผมเกลียดโรคซึมเศร้า ผมกลัวมันด้วย กลัวจับใจเลยล่ะ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมเป็นผม สำหรับผมมันเป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้รู้สึกถึงชีวิต และนั่นคุ้มค่าเสมอ” 

อย่างไรก็ดี ฉัน (และอาจจะแมตต์ด้วย) ไม่ได้จะบอกว่าโรคซึมเศร้าเป็นของขวัญหรอกนะ ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่ได้อยากเป็น และการเจอกับตัวว่าโรคนี้มันโหดร้ายแค่ไหนก็ไม่ได้อยากให้ใครเป็นด้วย การพยายามมองโรคในแง่ดีเป็นเพียงมุมมองเล็กๆ ของคนที่ดันเป็นโรคแล้ว และต้องทำใจเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันไปสักพักจนกว่าจะรักษาหายเท่านั้นแหละ

Reasons to Stay Alive

สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากคุณกำลังเดินฝ่าพายุฝน ขอให้บทความนี้เป็นดั่งมือที่ถือร่มคันเล็กยื่นออกไปหาคุณ​ คุณจะออกมาจากพายุบ้านั่นได้ และออกมาได้อย่างสง่างามเสียด้วย

ขอย้ำอีกครั้งอย่างที่แมตต์บอกไว้ 

“ชีวิตรอคุณอยู่ คุณอาจจะติดอยู่ที่นี่สักพัก แต่โลกไม่ได้หนีไปไหน สู้ต่อเถอะถ้าทนไหว ชีวิตคุ้มค่าเสมอ” นักเขียน Matt Haig

1

สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากคุณกำลังเดินฝ่าพายุฝน ขอให้บทความนี้เป็นดั่งมือที่ถือร่มคันเล็กยื่นออกไปหาคุณ​ คุณจะออกมาจากพายุบ้านั่นได้ และออกมาได้อย่างสง่างามเสียด้วย

สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากคุณกำลังเดินฝ่าพายุฝน ขอให้บทความนี้เป็นดั่งมือที่ถือร่มคันเล็กยื่นออกไปหาคุณ​ คุณจะออกมาจากพายุบ้านั่นได้ และออกมาได้อย่างสง่างามเสียด้วย

2

สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากคุณกำลังเดินฝ่าพายุฝน ขอให้บทความนี้เป็นดั่งมือที่ถือร่มคันเล็กยื่นออกไปหาคุณ​ คุณจะออกมาจากพายุบ้านั่นได้ และออกมาได้อย่างสง่างามเสียด้วย

สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากคุณกำลังเดินฝ่าพายุฝน ขอให้บทความนี้เป็นดั่งมือที่ถือร่มคันเล็กยื่นออกไปหาคุณ​ คุณจะออกมาจากพายุบ้านั่นได้ และออกมาได้อย่างสง่างามเสียด้วย

3

สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากคุณกำลังเดินฝ่าพายุฝน ขอให้บทความนี้เป็นดั่งมือที่ถือร่มคันเล็กยื่นออกไปหาคุณ​ คุณจะออกมาจากพายุบ้านั่นได้ และออกมาได้อย่างสง่างามเสียด้วย

สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากคุณกำลังเดินฝ่าพายุฝน ขอให้บทความนี้เป็นดั่งมือที่ถือร่มคันเล็กยื่นออกไปหาคุณ​ คุณจะออกมาจากพายุบ้านั่นได้ และออกมาได้อย่างสง่างามเสียด้วย

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ณัฐวัฒน์ ตั้งธนกิจโรจน์

ชื่อโทนี่ แต่พวกเขามักจะรู้จักผมในนาม Whereisone