“คำว่า ‘Creative’ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นแล้วต้องตะโกนออกมาว่า เจ๋งหรือว้าวในวินาทีแรก กลับกันงานที่สามารถแก้ปัญหาและตอบโจทย์ให้ลูกค้าอย่างน่าสนใจได้ในตัวต่างหาก คืองานที่มีความ Creative”
นิยามความคิดสร้างสรรค์ของหัวเรือใหญ่ ‘ปร้าก-พุฒิกร แสะอะหมัด’ และ ‘แพร-รวิสรา เมฆะสุวรรณโรจน์’ Creative Director ของ RATS Bangkok เอเจนซีการตลาดที่มองว่า การทำงานความคิดสร้างสรรค์ไม่มีขอบเขตมากำหนด รวมถึงมันสามารถพัฒนาและต่อยอดให้ตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่ายได้ และถ้าให้เขาสรุปรวบเป็นคำๆ เดียวมันคือคำว่า
‘Unconventional’ ที่แปลว่า
ไม่ธรรมดา ไม่มีกรอบและคาดเดาไม่ได้
นี่คือสไตล์ของพวกเขา เพราะการทำงานในสายเอเจนซี มันเป็นงานที่ต้องระเบิดความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างและเป็นตัวเองอย่างลงตัวกัน
ผลงานสุดครีเอทีฟแต่ละชิ้นที่ต้องสร้างสรรค์ออกมาให้ตรงกับแนวคิดดังกล่าว คงจะไม่สามารถสรุปได้ในย่อหน้าเดียว เราจะพาไปดูเบื้องหลังการทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ธรรมดาต้องผ่านกระบวนการคิด และมีสิ่งสำคัญอะไรให้พวกเขามีไอเดียที่แตกต่างรวมถึงมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ชวนไปแคร็กกระบวนการคิดสร้างสรรค์ของ RATS Bangkok กัน

- ครีเอทีฟแบบหนูๆ ที่ทำงานให้ง่ายแบบหมูๆ
เห็นชื่อ RATS Bangkok แปลตรงตัวเป็นหนูตัวเล็กๆ แบบนี้ แต่ความตั้งใจกับฝีมือคนทำไม่ได้จิ๋วอย่างที่คิด เพราะทุกคนต่างมีประสบการณ์ด้านครีเอทีฟมาอย่างเชี่ยวชาญ จนเข้าใจระบบการทำงานอย่างคล่องแคล่วและเอาตัวรอดได้ทุกโจทย์เปรียบเหมือน ‘หนู’
“สำหรับ RATS Bangkok เราคิดว่าตัวเองเหมือนหนูท่อ ดูลุยๆ ชอบแทะๆ เสาะหาทางออกเก่ง คือเรารู้สึกว่าหนูเป็นสัตว์ที่ฉลาด มีสกิลการเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันต่างๆ ได้ค่อนข้างสูง เราเลยเปรียบตัวเองเป็นครีเอทีฟที่เหมือนกับหนู มันมีสัญชาตญาณในการนำพาตัวเองและลูกค้าไปสู่ปลายทางของเขาวงกตได้” ทั้งสองอธิบายที่มาที่ไปของชื่อบริษัท
แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเคยทำบริษัทเอเจนซีขนาดใหญ่ในการสะสมประสบการณ์ พอมีโอกาสได้ทำเอเจนซีขนาดเล็กก็พบว่า มันมีข้อดีในการทำงานครีเอทีฟที่เปิดกว้างและหลากหลายมากกว่าเดิม
“เราเคยอยู่เอเจนซีใหญ่มาก่อน แล้วมีช่วงหนึ่งของอายุที่เรามาตั้งคำถามกันว่า เราจะไปไหนกันต่อดี จะทำอะไรกันต่อ พอดีกับช่วงนั้นมีคนเข้ามาทาบทามให้เราลองเปิดบริษัท เลยตัดสินใจเลือกที่จะลอง” ปร้ากย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้น
“สาเหตุที่สนใจอยากลองเพราะเราเชื่อว่าบริษัทเล็กๆ สามารถแก้ปัญหาเล็กๆ ที่เอเจนซีใหญ่ๆ ติดอยู่ได้ เพราะด้วยขนาดองค์กรที่เล็กกว่า ความคล่องตัวในการทำงานก็จะมีมากกว่าเป็นธรรมดา” แพรเสริม
ในที่นี้ยังหมายรวมไปถึงเรื่องความหลากหลายของงาน สไตล์งาน และความต่อเนื่องในการทำงานของคนในทีมที่สามารถผลัดกันรับไม้ต่อได้แบบไม่ติดขัด ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อคนน้อยกว่าก็จะเห็นภาพตรงกันได้ง่าย ทำให้จุดแข็งของ RATS Bangkok คือคนที่พร้อมทำงานร่วมกันและวัฒนธรรมองค์กรที่เข้าใจคนทำงาน
รวมถึงแพชชันในด้านต่างๆ ของคนในทีม ที่สามารถเปลี่ยนเป็นไอเดียแปลกใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ในหลายๆ ด้าน ทั้งสองทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่า เอเจนซีไม่ได้ทำแค่งานโฆษณาหรือแค่ Communication แต่ยังทำด้าน Branding, Experience Design หรือแม้กระทั่งคิดคอนเซปต์ให้กับสถานที่ คอนเสิร์ต อีเวนต์ บาร์และแบรนด์เครื่องสำอางค์เปิดใหม่ก็เคยลองทำมาแล้วทั้งนั้น

- เปลี่ยนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
เมื่อการทำงานด้านครีเอทีฟที่ต้องเสนอไอเดียใหม่อยู่ตลอดเวลา และเป็นจุดตั้งต้นสำคัญในการทำงานภาพรวมให้เป็นไปตามไดเรกชันที่กำหนด ในมุมของอาชีพนักครีเอทีฟมีหน้าที่สำคัญอย่างไรในกระบวนการทำงานให้ราบรื่น
“หากให้เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ถ้ามองเป็นวงออร์เคสตรา เราว่าครีเอทีฟคือคนเล่นซิมโฟนีไม่ใช่คอนดักเตอร์ แต่เป็นเหมือนนักดนตรีทุกคนในซิมโฟนีนั้น ที่ต้องเล่นเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นไปในทางเดียวกัน รู้เท่ากันว่าเพื่อนกําลังทําอะไร แล้วเมื่อไหร่ที่มีคนหนึ่งหลุด ทุกคนต้องพากันไปต่อได้ เพราะอย่างที่บอกทุกงานมันมีปัญหาให้เราได้แก้ตลอด ขณะเดียวกันในบางเพลงก็อาจจําเป็นต้องมี Supplier มาช่วยเติม เพื่อบรรเลงพร้อมๆ กัน ไปจนจบเพลงหรือจบโปรเจกต์นั่นแหละ” แพรอธิบายให้เห็นภาพพร้อมยกตัวอย่าง
แต่ก่อนจะนำครีเอทีฟมาต่อยอดสู่ชิ้นงาน ขั้นตอนสำคัญอย่างแรกคงไม่พ้น การตีโจทย์ให้แตกตั้งแต่เริ่ม เหมือนอย่างที่แพรและปร้ากบอกว่า “เราต้องเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของลูกค้า เข้าใจสินค้า เข้าใจธุรกิจของเขา เราถึงจะคิดงานออกมาได้อย่างตรงจุดและตรงความต้องการ งานแต่ละชิ้น รวมถึงจะใช้เวลาคุยกันในทีมค่อนข้างเยอะ เพราะทุกขั้นตอนมีรายละเอียด ถ้าเริ่มต้นไม่ดีข้างหลังก็จะพัง เพราะฉะนั้นขั้นตอนแรกสําคัญที่สุดแล้ว ตั้งแต่แก้โจทย์ไปจนถึงตอนพัฒนาไอเดีย”

ระหว่างที่แพรและปร้ากอธิบายกระบวนการต่างๆ ก็ยกตัวอย่างผลงานครีเอทีฟจาก Corona แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีข้อจำกัดในการเผยแพร่ภาพผลิตภัณฑ์โดยตรง แต่ต้องการสร้างภาพจำให้ลูกค้าจดจำไอคอนิกของแบรนด์ได้ และต้องทำให้ Corona เข้าถึงคนเมืองมากขึ้น ทางทีมจึงนำจุดเด่นของแบรนด์มาแคร็กให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย ด้วยการหาข้อมูลจากผู้ใช้จริงที่ซ่อนอยู่ในแครักเตอร์แบรนด์ที่พูดกับคนเมืองได้ จนค้นพบคีย์เวิร์ดที่ว่า “This is Living” ชีวิตดีๆ ที่ทุกคนก็สัมผัสได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
ความเจ๋งของผลงานครั้งนี้คือ ทางทีมได้ไอเดียว่า ถึงเราไม่สามารถเห็นขวดเบียร์ได้ แต่เราสามารถแสดงถึงโมเมนต์ชีวิตดีๆ ที่แบรนด์อยากนำเสนอ โดยการเชิญชวนชาวเมืองให้ปรับมุมมองใหม่ๆ แล้วออกมาใช้ชีวิตดีๆ กับ Corona จึงหยิบไอเดียนี้มาดีไซน์และตีโจทย์ โดยเล่าผ่านวิวอาทิตย์ตกที่หลบมุมอยู่ตามซอกตึก ผ่านบ้านช่อง ตอม่อทางด่วน เมื่อมองดีๆ ก็จะเห็นโมเมนต์พระอาทิตย์ตกสุดชิลพร้อม Behavior ของคนเมืองที่ออกมาใช้ชีวิตดีๆ ตามสถานที่ต่างๆ ซ่อนอยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย ซึ่งนับว่าผลงานครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งงานที่ท้าทาย เพราะอย่างที่เรารู้กันว่าการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ไม่สามารถถ่ายให้เห็นขวดแบบตรงได้ แต่ RATS Bangkok เลือกที่จะบิดมุมเก่าและเล่ามุมใหม่ให้คนจดจำโมเมนต์นั้นได้

- Work from Anywhere, Rare Idea
แต่กว่าที่งานหนึ่งชิ้นจะออกมาได้อย่างที่คิด เราชวนถามต่อว่า มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อกระบวนการงานสร้างสรรค์ไหม พวกเขาตอบอย่างหนักแน่นว่า ‘สภาพแวดล้อม’ ในการทำงานก็ส่งผลต่อการคิดไอเดียเช่นกัน ทั้งสองคนเลยมักจะบอกกับคนในทีมเสมอว่าการใช้ชีวิตก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าการทำงาน และเมื่อไหร่ที่คิดงานก็ให้หยิบ insight จากประสบการณ์ที่ออกไปใช้ชีวิต
“เราเชื่อว่างานโฆษณา มันจะดีไม่ได้เลย ถ้าคนทำงานไม่ออกไปใช้ชีวิตหรือเข้าใจชีวิตคน เพราะสิ่งต่างๆ ในชีวิตนั่นแหละที่จะย้อนกลับเข้ามาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน ยิ่งการที่คนในทีมเรามีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่หลากหลาย มันยิ่งเป็นต้นทุนที่ดี ในการนำไปต่อยอดด้านการคิดหรือหาไอเดียที่ตอบโจทย์ลูกค้า”
ด้วยความที่ RATS Bangkok เลือกทีมจากคนที่มีแพชชันในการใช้ชีวิต ครีเอทีฟในทีมส่วนใหญ่เลยจะสนุกกับการคิดและทำคอนเทนต์ที่ตัวเองสนใจเป็นทุนเดิม การทำงานแบบ Work from Anywhere จึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและการคิดไอเดียมากกว่า หากจะเน้นผลลัพธ์และประสิทธิภาพจากงานเป็นสำคัญ
“เราไม่อยากพูดคําว่า Work Life Balance หรอก เพราะมันอาจไม่มีอยู่จริง สุดท้ายชีวิตก็คือการทำงาน แต่การที่เราทํางานจากที่ไหนก็ได้มันคือการบาลานซ์ความสุขอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตนะ แล้วคุณภาพของงานก็จะดีตามมาด้วย จากการไปพบประสบการณ์ใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ และสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เรามีไอเดียสดใหม่อยู่เสมอ”
“ความจริงแล้วงานมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตนั่นแหละ การใช้ชีวิตมันเลยเหมือน Work กับ Life ที่แยกออกจากกันไม่ได้ เราเลยมองว่าคุณจะไป Work From ที่ไหนก็ได้ บางครั้งที่เราจบโปรเจกต์ใหญ่ๆ เราก็วางแผนไปนั่งทำงานที่ทะเลกันทั้งทีม ซึ่งเราว่าการมีคัลเจอร์แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน”
พูดได้ว่าพวกเขาให้ความสำคัญทั้งรูปแบบการทำงาน สภาพแวดล้อม และการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อคนทำงาน ทั้งยังเชื่อว่าบรรยากาศในการทํางานที่สนุกสาน จะสามารถทําให้คนในทีมคิดงานที่ดีออกมาได้

มองภาพต่อไปของ RATS Bangkok ไว้อย่างไรบ้าง – เราโยนคำถามทิ้งท้าย
“เราอยากขยายทีมให้ใหญ่ขึ้นแต่ยังมีความสนุกในการทำงานเหมือนเดิม อยากให้ลูกค้าเลือกเราเพราะชอบผลงานหรือเห็นงานเราแล้วรู้สึกไว้ใจให้เราทำ ถ้าได้ทำงานที่หลากหลายมากขึ้นก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะอย่างที่บอกว่าความครีเอทีฟหรือการเป็นเอเจนซีมันไม่ได้มีกรอบอยู่แค่การทำโฆษณาแค่นั้น”
“มาตรฐานของงานของเราคือ หนึ่งต้องมีความน่าสนใจ เห็นแล้วต้องน่ามอง สองต้องเป็นชิ้นงานที่ทำงานในตัวเองด้วย สามารถสื่อสารได้อย่างตรงจุด สื่อสารกับคนถูกประเภทจริงๆ ถ้างานไหนที่ทั้งเรา ลูกค้า โปรดักต์ และคอนซูมเมอร์แฮปปี้ คืองานที่ดีสําหรับเรานะ”
“ถามว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้มีความสุขไหม มันมีความสุขมากนะ แค่ลูกค้าบอกว่าชอบงานของเรา แค่ขายงานผ่านเพราะงานดีลูกค้าแฮปปี้เราก็ยิ้มแล้ว หรือเวลาเห็นงานตัวเองไปอยู่บนบิลบอร์ด แล้วมีคนจำได้ว่าเป็นงานจาก RATS Bangkok มันก็ภูมิใจมากแล้ว” ทั้งคู่ช่วยกันตอบพร้อมรอยยิ้ม
