PROM+ : ค่ายเพลงฮิปฮอปที่พร้อมทำอะไรบวกๆ และถ้าใครอยากบวกก็มาดิค้าบ

Highlights

  • PROM+ คือค่ายฮิปฮอปใหม่ถอดด้ามภายใต้เครือเลิฟ อิส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ค่ายเพลงนี้ขับเคลื่อนโดย อุ๋ย–นที เอกวิจิตร aka อุ๋ย Buddha Bless เป็นหลัก
  • ความตั้งใจของ PROM+ คือการสื่อสารเพลงแรปออกไปในแง่มุมบวกผ่านภาษาที่สวยงาม ไม่ฟุ่มเฟือยคำหยาบและต้องให้อะไรดีๆ กับคนฟัง
  • ปัจจุบันพร้อมบวกมีศิลปินในค่ายไม่มาก ประกอบไปด้วยตัวของอุ๋ยเอง, โจ–กิตติกานต์ แซ่หลี aka ทศกัณฐ์ และปิยวัฒน์ เชิดเพชรรัตน์ aka นายนะ

สำหรับคนที่รักเพลงแรป กระแสในวงการตอนนี้คงทำให้ใครหลายคนยิ้มแก้มปริ

จากที่เคยเป็นวัฒนธรรมย่อยในวงการดนตรี ปัจจุบันคงไม่มีใครปฏิเสธความสำเร็จของเพลงแรป และผลพวงจากความนิยมที่ตามมานี้เองทำให้วัฒนธรรมฮิปฮอปค่อยๆ แผ่ขยายจากจุดเดิมไปไกลมาก โอกาสและพื้นที่ใหม่ๆ ค่อยๆ เกิดขึ้นตามมาจนส่งผลให้ผู้เล่นในสนามนี้เยอะขึ้นตามไปด้วย ตั้งแต่ศิลปิน คนเบื้องหลัง ไปจนถึงระดับใหญ่อย่างค่ายเพลง

PROM+

ค่าย PROM+ คือค่ายเพลงฮิปฮอปน้องใหม่ในเครือเลิฟ อิส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์

ถ้านับสิริรวมอายุของค่าย ต้องบอกว่าพวกเขายังมีอายุไม่ถึงขวบปีดี แต่ถึงแม้จะมีอายุไม่มาก ผลงานเพลงจากค่ายก็ปรากฏออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังกันเรื่อยๆ ซึ่งเพลงล่าสุดอย่าง ตัวท๊อปเท่านั้น และ อย่าพูดเลย  ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในแง่เสียงตอบรับและคำชม

ถึงจะเรียกตัวเองว่าเป็นค่าย แต่หากดูรายชื่อของผู้เล่นที่ปรากฏ เราจะเห็นรายชื่อเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เราจึงเชิญ 3 ผู้เล่นจาก PROM+ มานั่งสนทนากันในวันนี้

อุ๋ย–นที เอกวิจิตร aka อุ๋ย Buddha Bless, โต้ง–สุรนันต์ ชุ่มธาราธร aka โต้ง Buddha Bless และ โจ–กิตติกานต์ แซ่หลี aka ทศกัณฐ์ แรปเปอร์ทั้งสามคือหนึ่งในพลังหลักในการขับเคลื่อนค่ายเพลงฮิปฮอปนี้ในปัจจุบัน

กับวงการเพลงแรปที่กำลังบูมสุดๆ และในยุคนี้ที่แรปเปอร์ทุกคนสามารถทำเพลงของตัวเองได้ น่าสนใจว่าทำไมค่าย PROM+ ถึงเกิดขึ้น แรปเปอร์ที่ทำงานกับค่ายต่างจากทำด้วยตัวเองอย่างไร และท่ามกลางผู้เล่นในสนามที่เยอะขนาดนี้ พวกเขาวางตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองไว้ตรงไหน

ไม่รู้เหมือนกันว่าคำตอบจากพวกเขาจะออกมาเป็นบวกหรือลบ

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้พวกเขาพร้อมบวกกับเราแล้ว

PROM+

PROM+

PROM+

จากจุดเริ่มต้นที่ศูนย์ กลายมาเป็น PROM+ ได้อย่างไร

อุ๋ย : เท้าความว่าผมกับพี่บอย (บอย โกสิยพงษ์) เราโอเคกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมเคยเรียนเขียนเพลงกับพี่บอย ว่างๆ ก็ชอบมานั่งเล่นตอนพี่บอยทำงาน ผมแฮปปี้กับพี่บอยทั้งในเรื่องผลงาน ทัศนคติ และความคิด ทีนี้พี่บอยเขาชวนผมมา 2-3 ปี ว่าเขาอยากทำค่ายฮิปฮอป แต่ตอนนั้นผมยังไม่พร้อม จนมาเมื่อปีที่แล้วนี่เองที่พี่บอยมาชวนอีกทีพร้อมกับพี่จี๊ป (เทพอาจ กวินอนันต์ ผู้ร่วมถือหุ้นและหนึ่งในผู้บริหารเลิฟ อิส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์) เราลองคุยดูก็พบว่าน่าสนใจ และตอนนี้เราก็พร้อมมากขึ้น เลยตัดสินใจตกลงทำร่วมกัน

โต้ง : ผมตามน้ำมาครับ ตามอุ๋ยมา (หัวเราะ)

โจ : (หัวเราะ) ส่วนผมกับนายนะ (ปิยวัฒน์ เชิดเพชรรัตน์ ศิลปินอีกคนจากค่าย PROM+) มาจากทางรายการ Show Me the Money เรารู้จักพี่อุ๋ย พี่โต้ง จากรายการนั้นเพราะอยู่ทีมเดียวกันมา 6-7 เดือน พอจบรายการพี่อุ๋ยก็ถามเราว่าลองมาทำงานร่วมกันไหม พอดีกับที่เรารู้สึกว่าอยากทำให้การเป็นแรปเปอร์เป็นอาชีพได้ เพราะก่อนหน้านี้ก็แค่ทำเพลงไปเรื่อย มันพอมีที่ทางแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเลี้ยงดูเราได้ ยิ่งมาเจอพี่บอยแล้วเขาเป็นกันเองและสนุกมาก ดังนั้นผมเลยมองว่าโอกาสตรงนี้น่าสนใจ เราก็อยากลองดูว่าวิธีการ ขั้นตอน และวิธีคิดของค่ายเพลงเป็นยังไง ผมก็เลยขอมาด้วย (หัวเราะ)

ทำไมถึงต้อง PROM+

อุ๋ย : ตอนแรกเสนอไปว่าชื่อ ‘คิดบวก’ แต่พี่บอยเขาบอกว่าถ้าคิดบวกแล้วสะกดเป็นภาษาอังกฤษ KID มันดูเหมือนเด็ก ก็เลยกลายเป็น PROM+ มันมีสองความหมาย คือเราพร้อมจะทำอะไรบวกๆ กับพร้อมที่จะเข้าไปบวก (หัวเราะ)

PROM+

พอมีคำว่า ‘ค่าย’ มันต้องมีคอนเซปต์หรือแนวทางเพลงที่ต้องไปในทางเดียวกันหรือเปล่า

อุ๋ย : ไม่มีเลยครับ (ตอบทันที) เราไม่มีการวางอะไรทั้งนั้น ผมคิดว่าแค่เมื่อ 3 ปีที่แล้วเรายังไม่เหมือนเดิมเลย ตัวเราเองคงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้นเราคงไม่สร้างกรอบไว้บังคับใคร แต่อย่างนายนะกับโจคือผมเห็นเขามาตั้งแต่ประกวดแล้ว เรามั่นใจในสไตล์และทัศนคติของพวกเขาที่ไม่ได้ฉีกจากเรามาก ดังนั้นผมเลยค่อนข้างให้อิสระกับทุกคน

โจ : จริง พวกเราเหลือแค่ทำบีตกันเองแล้วนะพี่ (หัวเราะ)

อุ๋ย : เออใช่ บอกไปสิว่ากูไปแก้อะไรของมึงบ้างไหม

โจ : (หัวเราะ) แทบจะไม่ได้แก้เลย จริงๆ ตอนแรกเราก็กังวลเหมือนกัน ผมบอกพี่อุ๋ยไปว่าผมอาจไม่ใช่แบบที่ทุกคนเคยเห็นนะ เพราะมันมีสิ่งที่ผมอยากทำอยู่ ก่อนหน้านั้นเรามาสายดุดัน เราแข่งแรปแบตเทิล แต่พอมาอยู่นี่เราอยากหวานจ๋า กลายเป็นว่าพี่ๆ เขาโอเคมาก เราได้ทำงานเองแทบร้อยเปอร์เซ็นต์ มันดีตรงที่ว่าเราได้อินกับเพลงของเราเต็มที่ ไม่ใช่ทำเพราะต้อง

การทำงานภายใต้ค่ายใหญ่ต่างกับการทำเพลงของตัวเองก่อนหน้านี้ไหม

อุ๋ย : แทบไม่ต่างเลยครับ ผมให้อิสระน้องมากขนาดนี้เพราะผมก็ได้รับอิสระจากพี่บอย พี่จี๊ป มาเหมือนกัน มันเป็นอีกข้อหนึ่งที่ผมเลือกมาทำ เพราะพวกเขาบอกผมว่าพี่ไม่ต้องการเพลงขาย พี่ต้องการเพลงดี ตอนนั้นฟังแล้วแบบโห มาถูกคนแล้วครับพี่ (หัวเราะ) ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจนะ คิดว่าพี่บอยสุดโต่งไป แต่พอได้คุยกับพี่บอยก็เข้าใจเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว พี่บอยอธิบายว่าเพลงดีที่เขาหมายถึงคือเพลงที่เราร้องแล้วรู้สึกภูมิใจ ไม่ว่าจะเพลงรัก ปรัชญา หรืออะไรก็แล้วแต่ จงภูมิใจกับมันมากๆ ในขั้นต้นต้องทำสิ่งนี้ให้ได้ก่อน

แต่ในความเป็นจริง เราทำได้จริงๆ เหรอ

อุ๋ย : ยากเหมือนกัน ตอนแรกเราเกรงใจและต้องปรับทัศนคติพอสมควร แต่ผมก็พยายามทำให้มันไปด้วยกันได้ อยากทำเพลงที่กูร้องแล้วกูภูมิใจ ถึงจะไม่ดังแต่กูก็ภูมิใจ เพราะพี่เขาให้โอกาสเราขนาดนั้นแล้ว เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้คำว่าดีของเรา มันแข็งแรงพอไหมในเชิงธุรกิจ

โจ : ส่วนตัวผมก็เหมือนกัน ไม่มีใครเคยลงทุนในตัวเราขนาดนี้ ดังนั้นเราก็กดดันในการตอบแทนและสร้างผลประโยชน์ให้กับองค์กร เคยเหมือนกันที่นั่งคิดว่าทำเพลงยังไงถึงจะขายได้ แต่ก็จั๊กจี้ตัวเองเพราะมันไม่เป็นตัวเรามากๆ แต่พอได้คุยกับพี่อุ๋ย พี่บอยก็ดีขึ้น เรากลับไปจุดเดิมที่ว่าเราเขียนเพลงเพราะเราอยากเขียน ตอนนี้ก็เลยสบายขึ้นแล้ว

PROM+

ฟังดูสวนทางเหมือนกัน เพราะว่ากันตามตรง เพลงฮิปฮอปในตอนนี้ส่วนหนึ่งก็วัดความสำเร็จจากความขายได้หรือยอดวิว

อุ๋ย : โห ถ้าพูดเรื่องนี้ก็ดราม่าแน่นอน คนก็อาจจะบอกว่า แหม ทำมาเป็นพูดว่าทำเพลงให้ดี อิจฉาคนที่ได้ยอดเยอะล่ะสิ แต่สุดท้ายแล้วผมว่ามันเป็นเรื่องของรสนิยมนะ ถึงเราจะบอกว่าเราอยากทำเพลงดี แต่ก็ต้องถามต่อว่าดีแบบไหนล่ะ อะไรมาวัดค่าของความดี แต่ละคนอาจใช้มาตรวัดไม่เหมือนกันก็ได้ ดังนั้นถ้าเถียงกันเรื่องนี้ก็ไม่จบหรอก ผมคิดให้เป็นเรื่องของรสนิยมดีกว่า

โต้ง : สำหรับผมบางทียอดวิวก็ไม่ได้วัดคุณภาพเพลงขนาดนั้นด้วย แพลตฟอร์มอะไรก็แล้วแต่เขาก็มีคนช่วงอายุหนึ่งที่นิยมใช้ มันเป็นช่วงของเขา รสนิยมของเขา โอเค ถามว่ายอดวิวมีผลกับความรู้สึกไหม มันก็มี แต่ก็พูดยากเนอะ ไหนจะเรื่องของอัลกอริทึมอีก

อุ๋ย : ใช่ๆ ล่าสุดหลานผม 5 ขวบเปิดดูแคสต์เกมในยูทูบ ดูไปอยู่ดีๆ ก็มีเพลงฮิปฮอปไทยขึ้นมา บางเพลงโคตรหยาบเลย ผมรู้เพราะได้ยินหลานผมร้อง ผมหันไปมองเลยนะว่า เฮ้ย ร้องได้ไง

โจ : เพลง Buddha Bless เหรอพี่

อุ๋ย :ไม่ใช่! (หัวเราะ)

สุดท้ายเลยกลับไปจุดที่ว่าเราทำเพลงที่เราชอบก่อนดีกว่า

โจ : ใช่ครับ โอเค เรามีพี่อุ๋ยแนะนำเรื่องหีบห่อกับพี่โต้งที่ดูเรื่อง performance บนเวที แต่กับเรื่องเพลง ผมก็เต็มที่ ผมแค่อยากทำเพลงที่เราร้องแล้วไม่กระดากปาก เนื้อเพลงที่เขียนก็เกิดจากที่เราชอบและต้องการให้เป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกอย่างต้องเกิดจากการที่ผมเชื่อและชอบในเพลงนั้นแล้วถึงจะยินดีแบ่งปันให้คนฟัง ผมอยากทำเพลงให้เหมือนกับตอนแรกที่เราชอบฮิปฮอป คือเรานั่งฟังทุกคำเลยแล้วรู้สึกชอบว่ะ ผมเลยรู้สึกว่าถ้าทำถึงจุดนั้นได้ ยอดวิวก็คงไม่สำคัญเหมือนกัน แต่คิดๆ ไปก็อาจจะสำคัญเนอะ เรื่องงาน เรื่องเงิน (หัวเราะ)

โต้ง : ก็ทำในสิ่งที่ควบคุมได้ อะไรที่นอกเหนือจากการควบคุม เราก็ปล่อยไป ประมาณนั้น

PROM+

ถ้าให้ถอยออกมามองภาพใหญ่ รู้สึกอย่างไรบ้างกับการเห็นวงการฮิปฮอปที่เรารักเติบโตขนาดนี้

โจ : เท่าที่ผมทำมา แทบไม่นึกว่าฮิปฮอปจะมีวันนี้ด้วยซ้ำไป

อุ๋ย : เออเนอะ เอาจริงๆ ผมดีใจนะที่ตอนนี้มันเป็นแบบนี้ เพราะถ้าย้อนกลับไปตอนที่เราทำ Buddha Bless เราทำจากการที่เราชอบแค่นั้นเลยจริงๆ แต่พอทุกคนทำแบบนั้นสุดท้ายมันก็เลยเกิดจังหวะดีๆ จากหลายๆ อย่าง ต่างคนก็ต่างทำจนมันบูมขึ้นมา

โต้ง : มันโตน่ะดีแล้ว เราดีใจมาก ถ้านึกถึงตอนที่เป็นวัยรุ่นแล้วเราเห็นฮิปฮอปโตขนาดนี้ ผมคงโคตรดีใจ เรารอวันที่คนทำมาหากินจากมันได้มานานมาก ผมรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาของมันนะ แต่เราคงต้องรอดูระยะยาว ผมยังจำภาพยุคที่เพลงเรกเก้สกาบูมได้ประมาณ 2 ปี แล้วก็หายไปจนเหลือแค่วงที่เขาจริงจังกันจริงๆ เราก็ไม่อยากให้ฮิปฮอปเป็นแบบนั้น

การเป็นศิลปินฮิปฮอปในตอนนี้ต่างกับสมัยก่อนอย่างไร

โต้ง : ไม่ต่างกันมากนะ สมัยก่อนผมกับอุ๋ยก็เหมือนเด็กฮิปฮอปสมัยนี้ เราทำเพลง ฟังเพลง ออกไปเที่ยวกลางคืน เกาะกลุ่มกันกับเพื่อนเหมือนน้องสมัยนี้แหละ แต่โจและนายนะเขาต่างจากคนอื่น เขาไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ออกไปรวมกลุ่ม ดังนั้นจากประสบการณ์เรา เราก็มีแนะนำน้องบ้างให้ออกไปเพื่อหาคอนเนกชั่น ลองออกไปฟังเพลงให้เยอะขึ้น ส่วนเรื่องการทำงาน เราได้สิทธิในการเลือกอะไรมากขึ้นเพราะการเป็นพี่ใหญ่ แต่เราก็พยายามหาวิธีการทำงานให้อยู่ในระบบที่มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งสุดท้ายเราก็ให้สิทธิน้องตัดสินใจด้วยรสนิยมของตัวเองอยู่ดี

PROM+

สุดท้าย PROM+ มีเป้าหมายอะไรที่อยากทำได้ในช่วงที่ฮิปฮอปกำลังบูมแบบนี้ไหม

อุ๋ย : เราก็อยากทำเพลงที่เราภูมิใจนั่นแหละ หรืออาจจะทำอะไรอย่างอื่นที่มากกว่านี้ก็ได้นะ เช่น คอนเสิร์ตที่มีแต่เพลงแรปอะไรแบบนั้น แต่ก็ต้องดูโอกาสในอนาคตด้วย

คำถามสุดท้าย ในเมื่อโลกนี้มีสองด้าน ทำไม PROM+ ถึงต้องพูดแค่เรื่องบวกๆ

อุ๋ย : (คิด) พูดง่ายๆ คือผมมีหลานแล้วอย่างที่บอกไป ผมแค่รู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งหลานผมร้องเพลงในยูทูบที่มีคำว่า ค_ย ขึ้นมา และนั่นเป็นเพลงผมเอง ผมคงรู้สึกอะไรในใจเหมือนกัน ไม่ได้บอกว่าห้ามหยาบนะ คำหยาบถ้าใช้ถูกที่ถูกเวลามันให้น้ำหนักที่ต่างกันได้จริงๆ แต่อย่างเพลงที่เล่าว่าเย็_กันท่านั้นท่านี้  ถ้าทำออกมาจริงๆ ผมคงไม่กล้าร้องออกมาให้ลูกฟังน่ะ หรือลูกโตมาแล้วบอกว่า อ๋อ นี่เป็นเพลงที่น่าภูมิใจของพ่อเราอะไรแบบนี้ ซึ่ง (คิด) โอเค ผมเคยทำเพลงแบบนี้มาก่อน แต่นั่นมันอดีต เราคิดไม่เหมือนตอนนี้ ตอนนี้เราคิดอีกแบบแและเราเลือกได้ เราก็ไม่อยากทำแบบนั้น ดังนั้นทำอะไรบวกๆ ให้มันมีสิ่งดีๆ ส่งออกไปจากงานที่เราทำดีกว่า

เออ อันนี้อาจจะเป็นคอนเซปต์ของค่ายก็ได้แฮะ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!