บทเพลงล่าสุดและชีวิตรอบรถตู้ของ โอ๊ต ปราโมทย์ คนขับปากเสียแห่ง Paloy’s Diary

ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งย่านทาวน์ อิน ทาวน์ โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน นั่งลงตรงหน้าเรา แล้วเริ่มตอบคำถามสัมภาษณ์ (ช่วงต้นๆ) ด้วยคำพูดสุภาพเรียบร้อย

 

แม้รู้ว่านี่คือเรื่องปกติเมื่อศิลปินมาพบสื่อมวลชน
แต่เราก็อดนึกขำในใจไม่ได้ เพราะติดภาพเขาในฐานะคนขับปากจัดแห่ง Paloy’s Diary รายการอายุเพิ่งครบขวบที่พิธีกร
3 คน คือ โอ๊ต, พิชญ์ กาไชย และ พลอย หอวัง
จะชวนเหล่าคนดังขึ้นรถมาพูดคุย ร้องเพลงอย่างเมามัน ตลก
และอัดแน่นด้วยคำหยาบอันเซ็นเซอร์ เป็นรายการฮอตฮิตชนิดหลายคลิปมียอดวิวพุ่งทะลุไปถึงหลายล้าน และจะว่าไปแล้ว
เราก็จดจำเขาในฐานะนี้มากกว่านักร้อง
เพราะโอ๊ตซึ่งโด่งดังจากการเป็นเจ้าพ่อเพลงละคร เช่น ‘ที่รัก’ เพลงประกอบละครเรื่อง
เกมร้าย เกมรัก
ห่างหายจากการปล่อยเพลงใหม่นานถึง 2 ปี เรียกว่าบางคนอาจจะรู้จักโอ๊ตจาก Paloy’s Diary โดยแทบไม่รู้ว่านักร้องคนนี้เคยร้องเพลงอะไรมาบ้างก็ได้

แต่ข่าวดีคือวันนี้โอ๊ตกลับสู่เส้นทางดนตรีแล้ว
ด้วย ‘เมื่อวาน’ ซิงเกิลใหม่เอี่ยมโชว์ศักยภาพที่ออกกับค่าย White Music รวมถึงยังมีผลงานใหม่ในเส้นทางอื่น เช่น การขึ้นแท่นพระเอกของ ‘โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง’ หนังเรื่องแรกจากค่าย T
Moment ที่กำลังจะเข้าฉายในเดือนมีนาคม เราจึงชวนเขาพูดคุยถึงผลงานใหม่
และแน่นอน ชีวิตรอบรายการ Paloy’s Diary ที่บรรดาวัยรุ่นถูกอกถูกใจ

ขออภัยที่บทสัมภาษณ์นี้แทบไม่มีคำหยาบ
แต่รับประกันว่าความคิดของโอ๊ตสนุก น่าประทับใจ ไม่แพ้มุกห่ามๆ
บนรถตู้คันนั้นของเขาหรอก

 

ทำไมห่างหายจากการปล่อยเพลงใหม่ตั้ง
2 ปี
ก็ผมไม่มีงาน ลำบาก ต้องไปขอทานอยู่ตามสะพานลอย
(หัวเราะ) คือช่วงที่หายไป ที่ค่ายก็มีเรื่องการสลับสับเปลี่ยนต่างๆ พี่ฟองเบียร์ลาออก
แล้วเราก็อยู่ในช่วงหมดสัญญาด้วย เลยกลายเป็นช่องว่าง ตอนนั้นชีวิตงงๆ คิดว่าเราจะตัดสินชีวิตยังไงดี
จะออกหรือจะอยู่ต่อ แล้วก็ทำอย่างอื่นเยอะ เป็นพิธีกร ทำงานเบื้องหลัง
เป็นโปรดิวเซอร์ให้คนอื่น คือจริงๆ ก็มีอะไรทำอยู่ตลอด แค่ไม่ได้ปล่อยเพลงใหม่

เพลงใหม่ล่าสุดของคุณพิเศษยังไง
ต้องบอกก่อนว่า
เพราะเราหายไปนานและเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เป็นของโอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน จริงๆ ไม่ได้ไปข้องเกี่ยวกับละคร
ไม่ได้ร้องร่วมกับคนอื่น มันทำให้เรายิ่งตื่นเต้น
ยิ่งคาดหวัง เราเลยตั้งใจทำงานกับมันมาก

ความพิเศษของเพลงนี้คือ
เราทำงานเบื้องหลังมาตลอด เลยมีโอกาสได้คุยกับพี่อาร์ม-รัฐการ น้อยประสิทธิ์
ผู้บริหารค่าย White Music ว่าเราอยากทำงานกับพี่ต้น-สุวัธชัย สุทธิรัตน์ ที่ทำเพลงให้ดา เอ็นโดรฟิน
นิวจิ๋ว อยากให้พี่เอก-เผ่าพันธุ์ อมตะ เป็นคนเขียนเนื้อ เขาเลยให้เราได้ทำงานกับพี่สองคนนี้
รู้สึกว่าเป็นความสุดยอดที่ได้ทำงานกับคนเก่งๆ
ที่เรานับถือ อยากทำงานด้วย แล้วเนื่องจากสนิทกันก็เลยเข้าขากันอยู่แล้ว เนื้อเพลงนี่แทบไม่ต้องแก้เลย
เราก็บอกเขาว่า ผมเป็นคนตลกนะ แต่ที่จริงแล้วผมก็เป็นคนอ่อนไหว ไม่ลืมอดีต เขาก็เลยเขียนเพลง
เมื่อวาน ขึ้นมา พูดถึงความรักที่จบไปนานแล้ว แต่เราเอามันออกจากตัวไม่ได้ เหมือนแผลเป็นที่หายแล้วก็จริง
แต่พอกลับมาเห็นแล้วจะรู้สึกว่ายังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแผลนี้ได้เสมอ แล้วเราก็เลือกปล่อยออกมาในช่วงวาเลนไทน์
เพราะคิดว่าวาเลนไทน์เป็นเทศกาลของความรัก แต่ที่จริงมีคนอีกเยอะที่โสดอยู่ เฮิร์ตอยู่
เพลงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้คนรู้สึกว่าลองเสพอะไรเศร้าๆ ดูบ้าง

=””

หลายคนน่าจะจำคุณในด้านตลกจาก Paloy’s Diary ไปแล้ว
กลัวเขาฟังเพลงรักแบบนี้ไม่อินไหม
ก็มีคิดนิดนึงเหมือนกันว่าคนจะเชื่อมั้ย แต่เราก็ไม่ได้กลัวเพราะรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วคนจะแยกแยะได้
เมื่อเราไปถ่ายรายการ ไปแสดง เป็นพิธีกร นั่นคืออีกส่วนนึง แต่เมื่อไหร่ที่เราร้องเพลง
เราพยายามสื่อสารกับคนดูตลอด เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาสก็อยากให้มาฟังเราร้องเพลง ฟังว่าเราก็สื่อสารได้นะว่ารู้สึกยังไง
ไม่ใช่เอาด้านตลกเข้าหาอย่างเดียว

 

ถามจริงๆ ว่าตอนตัดสินใจเผยด้านตลก
ปากเสียของตัวเองให้คนดูในรายการนี้ คุณมีลังเลมั้ย
เราไม่เคยกลัวที่จะแสดงความเป็นตัวเอง
เพราะรายการ Paloy’s Diary จริงๆ
แล้วมันไม่ใช่รายการ วันที่เราเริ่มคุยกัน มันคือคลิปไวรัล
และถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เป็นรายการ
เพราะมันไม่มีสคริปต์ ไม่มีตารางการถ่ายทำ ตารางฉายที่แน่นอน รายการเราคือการถามกันว่าเฮ้ย
ว่างรึเปล่าวะ อ้าว ว่าง ขึ้นรถ มาขับรถ ด่ากัน คุยกันว่าเป็นยังไงบ้าง
มีงานอะไรใหม่ นั่นคือขั้นตอนของรายการ คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนได้เห็นว่า
มันไม่ใช่รายการแต่เป็นไวรัลคลิปที่ให้คนดูแล้วสนุก ตลก
ซึ่งเราไม่ได้กลัวที่จะเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นออกมา เพราะว่าพอลงรถแล้ว
เวลาอยู่กับเพื่อนเราก็เป็นแบบนั้นไง เวลากินเหล้ากับเพื่อน ไม่มีหรอกที่จะพูดว่า
คุณพิชญ์ครับ ขออนุญาตเติมเหล้าให้ซักแก้ว แต่แค่กลัวว่าคนที่ไม่เข้าใจจะด่าหรือเปล่าว่าเราหยาบคาย
พูดอย่างนั้นบนรถ แต่จริงๆ แล้วเราเป็นคนแบบนั้น ก็ยังตกใจว่าคนดันชอบในสิ่งที่เราเป็น

เรารู้สึกว่ารายการนี้ทำให้คนอินได้
เพราะเขาดูแล้วจะขำเนื่องจากมันคือเรื่องจริง สุดท้ายก็ผู้ชาย ก็มนุษย์เหมือนกัน
มีรัก โลภ โกรธ หลง แต่แค่พอเป็นดารา เป็นศิลปิน การมาพูดเรื่องพวกนี้
บางคนก็รู้สึกกระดากปาก ไม่อยากเอามาพูด แต่สุดท้ายแล้ว คลิปที่เราทำก็คือหนึ่งช่องทางที่ทำให้คนอื่นได้รู้ว่า
จริงๆ แล้วศิลปิน ดาราทุกคนที่มาขึ้นรถ แม่งก็คือคนธรรมดานี่แหละ อย่างพี่เป๊ก วง Zeal ที่ทุกคนคิดว่าคูลมาก
น่ารักมาก นั่นคือจุดต่ำตมของวงการ (หัวเราะ)
ซึ่งคนในวงการทุกคนรู้ว่าพี่เป๊กเป็นคนอย่างนั้น
และทุกคนในวงการรักพี่เป๊กเพราะเขาเป็นคนแบบนี้
เราก็แค่ทำให้คนอื่นได้เห็น ซึ่งตอนนี้กลายเป็นว่าดาราอยากมากันนะ
ต่อคิวกันเยอะมาก ที่เซอร์ไพรส์มากคือ ล่าสุดเราไปงานที่พารากอน เจอพี่กาละแมร์เดินเข้ามาบอกว่า
ชอบรายการมาก เอาพี่ไปขึ้นรถบ้าง พี่ทำงานในวงการสื่อมานานเป็นสิบปี
ไม่เคยได้พูดคำหยาบในสื่อเลย พี่อยากโชว์ความดาร์กออกมา แต่สุดท้ายแล้ว เราคิดว่าเอาเราเป็นไอดอลได้
เอามุกเราไปเล่นได้ แต่ต้องมีกาลเทศะในการพูด ว่าคำพูดเหล่านี้ควรพูดกับใคร
เมื่อไหร่ มันถึงจะสนุก ถ้าพูดผิดกาลเทศะ คุณจะกลายเป็นคนที่สังคมประณามทันทีนะ

คิดว่าทำไมรายการที่แค่ชวนคนดังมาคุยกันบนรถถึงยืนระยะมาได้เป็นปี
อาจจะเป็นเพราะเด็กวัยรุ่นชอบดู
อย่างที่บอกว่าคนคงรู้สึกว่ามันจริง ดิบดี ไม่นานนี้เรายังนั่งคุยกับพลอย กับพิชญ์ว่า วันที่เราทำกันวันแรกไม่เคยคิดเลยนะว่ารายการจะเป็นกระแสจนอยู่มาถึงหนึ่งปีได้
ตอนแรกเราคิดว่าทำ 10 คลิป ไม่เวิร์ก
เลิก เพราะรายการเราอินดี้มาก จากคลิปซันนี่มาถึงตอนนี้จะสองสัปดาห์แล้วนะ ตอนใหม่ยังไม่ได้ฉายเลย
ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ชอบและติดตาม แต่เราก็ยังคุยกันว่า สุดท้ายก็ต้องทำใจว่ารายการนี้เป็นวาไรตี้
มันมา วันนึงก็จะไป ฉะนั้นวันที่มันอยู่ วันที่สนุกขึ้นมาแล้ว มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะรักษาความสนุกให้อยู่นานๆ
ให้คนไม่เบื่อได้ยังไง

แล้วได้คำตอบมั้ย
จริงๆ แล้วไม่มีสูตรตายตัวนะ คือเราไม่ใช่ครีเอทีฟที่จะคิดได้ว่า
เฮ้ย ทำรายการยังไงให้สนุกต่อ ต่อยอดมันยังไง ทุกวันนี้เราแค่รู้สึกว่า รายการสนุกเพราะได้เจอเพื่อน
รู้สึกว่าเราอยู่กับเพื่อน แล้วทุกครั้งที่เจอเพื่อน เราก็เป็นอย่างนี้ไง เลยคิดว่าการรักษาความสนุกก็คือ รักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนทั้ง
3 คนไว้ให้แน่นที่สุด
ซึ่งกลายเป็นว่าตอนนี้พวกเราเป็นเหมือนสามเหลี่ยมที่ยึดกันไว้ แขกเป็นส่วนเติมช่องตรงกลางของสามเหลี่ยมให้เต็มเท่านั้นเอง
ทุกวันนี้เราแค่คิดว่าจะเอาใครขึ้นรถแล้วสนุก เอาคนนี้มาขึ้นรถแล้วด่าอะไรได้วะ
แต่ที่จริงรายการแข็งแรงด้วยตัวเรา 3 คนอยู่แล้ว
เหมือนคาแรกเตอร์การ์ตูน ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะชัดขนาดนี้เพราะไม่ได้วางบทบาทกันเลย
แต่กลายเป็นว่าคาแรกเตอร์พวกเราชัดมาก เราใส่หมวก ตัวอ้วน ปากหมา ไอ้พิชญ์หล่อ
เนี้ยบ คอยส่งมุกอย่างเดียว ไอ้พลอยเป็นผู้หญิงโก๊ะ แฟชั่นนิสต้า นั่งอยู่ข้างหลัง
ไม่รู้อะไรซักอย่าง ส่งอะไรไปก็เหมือนหลุมหายฟึ่บอย่างเดียว เล่นอะไรก็งงหมด
งงจนบางทีผมบอกไอ้พลอยลงไปเถอะ มันกลายเป็นเหมือนคาแรกเตอร์การ์ตูนที่ชัดมาก
คนเลยจำไปแล้วว่าเราไปไหนด้วยกัน

รถตู้ของ Paloy’s Diary คันนี้นำคุณไปสู่อะไรบ้าง
ที่จริงช่วง 2 ปีที่เราไม่ได้ทำงานเพลง
ก็มีบางช่วงที่ไม่มีงานเลย ก่อนที่เราจะมาทำ Paloy’s Diary ก็คุยกับพลอย กับพิชญ์ว่า
จะไม่ต่อสัญญาแล้ว สิ้นปีแรกก่อนจะปล่อยรายการนี้ ถ้าไม่มีอะไรดีขึ้น
เราจะออกจากวงการ เพราะคิดว่าอายุ 30 แล้ว ยังดูแลตัวเองไม่ได้เลย ถ้ามีครอบครัวจะดูแลได้ยังไง
เพราะฉะนั้นเลิกดีกว่า กลับไปทำธุรกิจของที่บ้านดีกว่า บางทีความฝันมันกินไม่ได้ไง
แต่พอถึงวันที่มีคลิป Paloy’s Diary มันทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น เริ่มรู้สึกว่าโอกาสมาแล้ว
เราควรทำให้ดีที่สุด สิ่งที่ได้อย่างแรกเลยคือเรื่องเพลง
มันทำให้เรารู้สึกว่าอยากกลับมาร้องเพลง เพราะตอนนี้คนก็รู้จักเรามากขึ้น ก็ควรใช้โอกาสนี้ทำให้เขากลับมาคิดว่า
ที่จริงเราเป็นนักร้องนะ อยากให้กลับมาจำได้ว่าเราก็ยังมีมุมอื่นที่ทำได้ นอกจากนี้
เราก็มีภาพยนตร์ 2 เรื่อง มีซีรีส์ แล้วก็มีจัดรายการวิทยุที่คลื่น EFM กลายเป็นว่าได้ทำทุกอย่างครบภายในปีเดียว เรารู้สึกว่าคุ้มแล้ว
รายการพาเราได้ถึงจุดนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ที่จริงเราทำ Paloy’s Diary แล้วไม่ได้เงิน แต่บางอย่างก็ต้องแลกมา
มันจะไปเติบโตที่อื่น เหมือนลงแรงกันตรงนี้เยอะๆ ถึงเวลาที่ไปดูผลผลิต มันอาจเกิดที่สวนข้างๆ
ซึ่งยังเป็นพื้นที่เราอยู่ก็ได้

และสุดท้ายแล้ว
ต้องบอกว่าเราเป็นคนโชคดีที่ได้เพื่อนดี มาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะเพื่อนนะ ก่อนที่ทุกคนจะรู้จักเราในวงกว้าง
ในวงแคบส่วนของศิลปิน ทุกคนพยายามสนับสนุนเรา เพราะมันรู้ว่าเราเป็นคนยังไง มีอะไร
เราก็ยังบอกเพื่อนทุกคนเลยว่า จริงๆ แล้วกูมาถึงจุดนี้ได้ต้องขอบคุณพวกมึงเลยนะ

เล่าถึงหนังเรื่องล่าสุดที่กำลังจะฉายเดือนหน้าหน่อย
อยู่ดีๆ
เราก็ได้เป็นพระเอกเฉยเลย ตลกมั้ย (หัวเราะ) คือหนังเรื่องนี้ชื่อ โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง เป็นเรื่องของตำรวจอ้วน 4 คนที่ต้องจับผู้ร้ายและลดน้ำหนักไปในเวลาเดียวกัน ผู้กำกับเห็นเราในรายการแล้วชอบ
เราก็เลยไปแคสต์ ปรากฏผู้กำกับชอบมาก
เรามารู้วันปิดกล้องเพราะผู้กำกับมาพูดบนเวทีว่า ผมชอบพี่โอ๊ตมาก
ตอนวันที่พี่มาแคสต์ก็รู้สึกว่าพี่ใช่กับคาแรกเตอร์ที่เขียนมาก ผมเลยเอาพี่เป็นแกน
แล้วเอาอีกสามคนที่อยู่ในแก๊งมาผสมให้เข้ากัน สนุกมาก
ก่อนถ่ายเราไปเรียนทั้งการแสดง เรียนยิงปืน ต่อสู้ คิวบู๊
วันที่ถ่ายเสร็จรู้สึกว่าเหนื่อยมาก
แต่ภูมิใจกับสิ่งที่ออกมา อยากให้คนได้ดูกันเร็วๆ

 

ในเรื่องอนาคต คุณมองไปข้างหน้าไกลแค่ไหน
เราแค่คิดว่าทุกวันนี้กินอิ่ม
หลับดี ตื่นดี อารมณ์ดี แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว บางทีเรามองไปข้างหน้าแล้วจะทุกข์
เพราะไม่รู้ว่าว่าจะมีเมียมั้ย จะมีลูกมั้ย ลูกจะโตเป็นยังไง เราว่าอยู่กับทุกวันนี้ให้มีความสุข
ค่อยๆ มองไปทีละปี วางแผนว่าปีนี้อยากทำอะไร อยากให้โตในจุดไหนมากขึ้นก็โฟกัสตรงนั้นมากขึ้น
มองเหมือนเป็นบริษัทที่มองผลประกอบการเป็นไตรมาส เฮ้ย ไตรมาสนี้ อันนี้ดรอปไปหน่อย
เฮ้ย อันนี้เราควรจะเติมตรงนี้หน่อยมั้ย แค่นี้ก็พอแล้ว

ภาพ ธีรพันธ์ ลีลาวรรณสุข

AUTHOR