เริ่มจากคำที่ใช่แล้วค่อยใส่เมโลดี้ วิธีคิดเพลงแบบเล่นคำของปณต Getsunova

Highlights

  • ปณต คุณประเสริฐ มือกีตาร์ประจำวง Getsunova ที่รับหน้าที่เขียนเนื้อเพลงให้วงตั้งแต่วันแรกที่พวกเขารวมตัวกัน จำนวนเพลงฮิตนับไม่ถ้วนของวงดนตรีวงนี้ยืนยันกับเราได้ว่า ฝีไม้ลายมือการเขียนเพลงของชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
  • ที่น่าสนใจคือชายคนนี้ไม่ได้ตั้งชื่อเพลงของวงตัวเองเพื่อความเท่หรือเพื่อสะดุดหูคนฟัง สำหรับเขาชื่อเพลงเหล่านี้คือเข็มทิศของเพลงที่เขาตั้งอกตั้งใจเขียนต่างหาก ด้วยเหตุผลนี้ วิธีการเขียนเพลงของปณตมักเริ่มต้นจากการมีชุดคำที่ทำให้เขาตื่นเต้นก่อนแล้วค่อยหาวิธีเล่าเรื่องที่เข้าได้ดีกับคำคำนั้น แล้วค่อยประกอบเมโลดี้และเนื้อร้องจนกลายออกมาเป็นบทเพลง
  • แม้ว่าสถานะของสมาชิกแต่ละคนใน Getsunova จะชวนให้เราคิดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องหาเงินจากการเป็นศิลปินก็ได้ แต่ปณตกลับปฏิเสธและบอกเราว่า เป้าหมายของการทำเพลงของเขาทุกวันนี้คือการหาเงิน

กาลครั้งหนึ่ง ตลอดกาล, ไกลแค่ไหน คือ ใกล้, แตกต่างเหมือนกัน, เหตุผลที่ไม่มีเหตุผล, โดดเดี่ยวด้วยกัน, รู้ดีว่าไม่ดี, ชีวิตที่มีชีวิต, ความเงียบดังที่สุด, ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึก

ชื่อเพลงที่เต็มไปด้วยชุดคำขัดแย้งด้านบนนี้คือชื่อเพลงฮิตของวง Getsunova หากใครที่ติดตามวงอย่างจริงจัง Getsunova ไม่ใช่วงดนตรีที่โด่งดังได้ด้วยการใช้ทางลัด พวกเขาไม่ได้โด่งดังและเป็นที่จับตามองในปีแรกๆ ที่ก้าวเข้าสู่วงการเฉกเช่นวงดนตรีอื่นๆ จนกระทั่ง ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ที่พวกเขาปล่อยออกมาเมื่อ 6 ปีก่อนกลายเป็นซิงเกิลแจ้งเกิด และพาพวกเขาเดินมาสู่วงดนตรีแนวหน้าอย่างที่เราเห็นในวันนี้

เนื้อเพลงแทบทั้งหมดของวง Getsunova เป็นฝีมือของ ปณต คุณประเสริฐ มือกีตาร์ประจำวงที่รับบทบาทคนเขียนเนื้อเพลงให้วงตั้งแต่วันแรกที่พวกเขารวมตัวกันทำวงดนตรี ใครจะเชื่อว่าจุดเริ่มต้นของมือกีตาร์ที่เขียนเพลงฮิตเก่งคนนี้เป็นการเริ่มต้นด้วยคำว่า จับพลัดจับผลู บวกกับความใจร้อนที่อยากให้เพลงของวงตัวเองเสร็จไว

สิ่งที่เราเชื่อคือ ความสำเร็จที่พวกเขาได้รับนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะไม่ว่ากี่เพลงต่อกี่เพลงที่ Getsunova ปล่อยออกมา ตั้งแต่อัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกอย่าง The First Album รวมทั้งซิงเกิลที่พวกเขาทยอยปล่อยออกมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ แทบไม่มีเพลงไหนที่ไม่ดัง

หากให้คุยกับนักดนตรีรุ่นใหม่สักคนในเวลานี้ เพลงทั้งหมดของ Getsunova คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถมองข้ามนักแต่งเพลงฝีมือน่าจับตาอย่างปณตไปได้

เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าคุณเริ่มเขียนเพลงตั้งแต่ตอนไหน

ตอนเริ่มเล่นดนตรี ในหัวเราไม่ได้อยากเป็นคนเขียนเนื้อร้อง ทำนอง อะไรเลยนะ ความฝันตอนเด็กคืออยากเป็นมือกีตาร์ที่ได้เล่นโซโล่เท่ๆ ไม่ได้อยากยุ่งกับเพลง พอเรารวมตัวกันเป็นวง Getsunova ปุ๊บ พี่เนม (ปราการ ไรวา) นาฑี (นาฑี โอสถานุเคราะห์) ไปร์ท (คมฆเดช แสงวัฒนาโรจน์) ไม่มีใครเก่งเรื่องคอมพ์เลย (หัวเราะ) แล้วช่วงเรียนที่อังกฤษดันลงวิชาดนตรีได้ แล้วเขาสอนให้ใช้คอมพ์พอดี เราเลยกลายเป็นคนเดียวที่ทำเพลงในคอมพ์เป็นทั้งที่จริงๆ ไม่ได้อยากทำเลยนะ

ยุคก่อนเราพยายามแบ่งงานกันทำ แต่ตอนนั้นสมาชิกวงอยู่กันคนละที่ เราเลยต้องทำเพลงกันผ่านอินเทอร์เน็ต ตอนที่โยนให้แต่ละคนทำก็จะมีความช้าของแต่ละคนเข้ามาอีก เช่น เราส่งเมโลดี้ไปให้พี่เนมนานแล้ว แต่เนื้อร้องไม่ได้สักที พอมาถึงคิวเรา เราอยากให้งานมันเสร็จ หลังๆ ก็เลยเขียนเองก็ได้วะ เป็นจุดผันตัวจากมือกีตาร์มาแต่งเพลง

ตอนที่เขียนเราแทบไม่รู้วิธีการที่ถูกต้องอะไรเลยนะ คือฮัมๆ เมโลดี้ไป นึกคำร้องไป ไม่เคยรู้เลยว่าการเขียนเนื้อร้องภาษาไทยจะต้องมีที่มาของเนื้อหา มีวิธีการเล่ายังไง หรือแม้แต่การคิดทำนองก็ไม่รู้ มีอะไรแวบเข้ามาในหัวเราก็จับใส่ แค่นั้นเลย นี่คือช่วงแรกๆ ที่เริ่มเขียนและปล่อยเพลงออกมา ผมว่าหลายๆ คนน่าจะเคยฟังผ่านๆ เช่น ซิงเกิลแรกอย่าง กล่อม หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เรียนรู้มาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเราในยุคหลังๆ

กว่าจะเป็นปณตในยุคหลัง คุณพัฒนาตัวเองยังไงบ้าง

ต้องเล่าก่อนว่าตอนแรกเราไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องไปเรียนการเขียนเพลงเพิ่มเติม เราคิดว่าเราเป็นคนดนตรี เป็น artist ทำได้อยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่พอมาถึงจุดที่ Getsunova ปล่อยเพลงผ่านไป 6 ซิงเกิล เราไม่มีเพลงดังสักเพลงเลยทั้งๆ ที่เป็นวงดนตรีในค่ายใหญ่ คือถ้าเป็นวงอื่นเขาคงเลิกไปแล้ว เราเลยเริ่มกลับมามองตัวเองแล้วว่า เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่าวะ ตอนนั้นเลยตกลงกันว่าอยากปล่อยซิงเกิลที่ 7 ดูอีกครั้ง ถ้ามันไม่เวิร์กอีกก็ค่อยเลิก

สมาชิกวงแต่ละคนก็แยกย้ายไปร่ำเรียน รีบูตตัวเองกันไหม พี่เนมก็ไปฝึกร้อง ผมก็เรียนวิธีแต่งเพลง ทำเมโลดี้ ช่วงนั้นผมอยู่กับพี่พล (คชภัค ผลธนโชติ) พี่ยักษ์ (อนันต์ ดาบเพ็ชรธิกรณ์) เขาพาผมไปเรียนกับอาจารย์ระดับเทพทั้งหลายในแกรมมี่ เพลงป๊อป เพลงลูกทุ่ง ผมไปหมดเลย

เราก็เลยได้รู้ว่าการเขียนเพลงมันคือการเล่าเรื่อง มันมีวิธีการที่ดีและไม่ดี พอกลับมามองเพลงเก่าๆ ก็เห็นข้อผิดพลาดเต็มไปหมด อันนี้เป็นจุดเปลี่ยนทำให้เราอยากโตขึ้นในด้านการเขียนเพลง เราอยากมีเพลงที่ประสบความสำเร็จสักเพลง เราทำแบบนั้นเป็นปีจนได้เพลงที่เปลี่ยนชีวิตพวกเราสุดๆ อย่าง ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ออกมา

ในวงการมีวงดนตรีมากมายที่ให้นักแต่งเพลงเขียนเพลงให้ ทำไมพวกคุณไม่ใช้วิธีนี้

จริงๆ มีมุมนั้นอยู่นะ ดอกไม้ปลอม เป็นเพลงที่เราขอให้พี่ฟองเบียร์ (ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม) มาเขียน ส่วนตัวเราเองก็ได้เรียนรู้การเขียนจากคนอื่นไปด้วย เราเองก็ดีขึ้น วงก็โตขึ้น แต่เรื่องหนึ่งที่เราประสบคือ ถ้าให้นักแต่งเพลงมาเขียน บางคนเขางานเยอะ ต้องใช้เวลาในการรอเหมือนกัน บางทีเขียนมาแล้วตรงใจบ้างไม่ตรงใจบ้าง ประจวบเหมาะกับจังหวะที่ ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ มันเวิร์กพอดี เราเลยรับหน้าที่เขียนต่อมาเรื่อยๆ

เพลงส่วนใหญ่ของ Getsunova เป็นเพลงรักที่ไม่สมหวัง ทำไมถึงชอบพูดเรื่องนี้

เหมือนเราเซตคาแร็กเตอร์วง ยังไงมันต้อง base on คาแร็กเตอร์คนร้องเพราะว่าเขาเป็นกระบอกเสียงที่ร้องเพลงออกไป อย่างพี่เนมในมุมที่เราเจอคือเป็นคนนิ่งๆ ดูจากคาแร็กเตอร์เขาแล้ว ให้ร้องเพลงแฮปปี้หรือเพลงสมหวัง เราฟังเรายังไม่เชื่อเลย คนฟังคงไม่เชื่อด้วยแน่ๆ (หัวเราะ) แล้วพี่เนมเป็นคนที่ดูเป็นพระรองมาตลอด เราเลยรู้สึกว่าเขาจะพูดเรื่องความเศร้ากับความเหงาเข้าปากมาก โทนเสียงของเขามันสื่อสารกับมู้ดนี้ได้พอดีกว่า

มีวิธีการหาวัตถุดิบที่เอามาใช้แต่งเพลงยังไง

ส่วนใหญ่เราชอบอ่านเรื่องสั้น เพราะมันมาแค่สองหน้าจบ มีอินโทร เนื้อความ สรุป เรื่องที่ใช้พื้นที่เล่าน้อยๆ พวกนี้มีประโยชน์กับเราค่อนข้างเยอะ ถ้าลองสังเกตเรื่องสั้นส่วนใหญ่เขาก็เอาเรื่องเก่าๆ นี่แหละมาเล่าซ้ำเดิมแต่ทำให้มันสนุกขึ้นด้วยวิธีการเล่า เหมือนกันกับเพลง สุดท้ายเพลงที่คนฟังกันมันก็เป็นเรื่องเดิมๆ อย่างเรื่องความรัก ก่อนรักเป็นยังไง พอได้รักแล้วยังไงต่อ แฮปปี้ สักพักก็มีปัญหา มีปัญหาก็เลิกกัน จากกันแล้วก็กลับมาคิดถึงกัน มาเจอรักครั้งใหม่ก็วนลูปไป ความสนุกของการได้เป็นคนเขียนเพลงคือเราจะเล่าในสไตล์ของเรายังไงให้ต่างจากคนอื่น

เราเป็นคนไม่อ่านหนังสือเลยนะ ช่วงที่เรียนเขียนเพลงเรารู้สึกว่าเราต้องอ่านเพื่อที่จะเจอคำมากขึ้น จากเด็กที่ไม่เข้าร้านหนังสือเลยกลายเป็นว่าไปร้านหนังสือทุกอาทิตย์ แล้วชอบซื้อหนังสือที่เป็น best seller เท่านั้นด้วยนะ คืออย่างน้อยก็มั่นใจว่าคำในหนังสือนั้นจะต้องเป็นคำที่คนอยากได้ยินแน่ๆ (หัวเราะ)

มีหนังสือหรือเรื่องสั้นไหนที่ส่งผลต่อการทำงานของคุณมากๆ บ้าง

เล่มที่ส่งผลต่อเรามากๆ น่าจะเป็น ONCE UPON SOMETIMES ของทรงศีล ทิวสมบุญ illustrator ที่เขียนภาพแล้วเล่าออกมาเป็นนิทาน เป็นเล่มแรกที่เรารู้สึกว่าวิธีเล่าของเขาเวิร์กมากเลย แล้วก็อ่านหนังสือนิ้วกลมยุคแรกๆ แล้วก็มีอีกเล่มหนึ่งที่ชอบมากๆ คือ จริงตนาการ (หยุดนึก) เนี่ย เชื่อไหมว่าผมได้ไอเดียไอ้ความขัดแย้งทั้งหมดนี้มาจากหนังสือเล่มนี้ (หัวเราะ) ทุกชื่อบทเขาจะหยิบคำที่ขัดแย้งกันมาตั้งเป็นชื่อหมดเลย คือมันไม่ใช่การเอาคำมาคู่กันเพื่อให้ดูเท่ แต่เนื้อหาข้างในทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกันแล้วเมคเซนส์ เล่ารู้เรื่องหมดเลย เรารู้สึกว่าอันนี้แหละของดี ทุกวันนี้ก็ยังเอาวิธีการนี้มาใช้กับการทำงานของตัวเองอยู่เลย

หมายถึงว่าทุกเพลงที่คุณแต่งมันเริ่มมาจากชุดคำขัดแย้งอะไรแบบนั้นหรือเปล่า

เป็นแบบนั้นเกือบทุกเพลงนะ เราชอบจดคำแปลกๆ ที่ชอบไว้บนไวท์บอร์ด วิธีการของเราอาจจะแปลกนิดหน่อย คือเราจะพยายามหาวิธีเล่าเรื่องที่มันเข้ากับชื่อเพลงที่เราคิดได้ ถ้ามันเล่าแล้วเมคเซนส์ หรือดูไม่เขินเกินไป ถึงจะหยิบมันขึ้นมาเขียนเป็นเพลงจริงๆ จังๆ

คิดยังไงที่ช่วงก่อนหน้านี้ วิธีการตั้งชื่อเพลงของคุณถูกเป็นที่พูดถึงมากมายในอินเทอร์เน็ต

แปลกใจเหมือนกันนะว่าทำไมเขาถึงหยิบไปเล่นกันได้ ส่วนตัวเรารู้สึกว่าเราทำแบบนี้มานานแล้วนะ แต่สงสัยมันคงจะเยอะมากเกินไปแล้วจริงๆ (หัวเราะ) ลึกๆ เราแอบกดดันนิดหน่อย กลัวคนจะจดจำแค่ว่าเพลงของเราต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น หรือคนจะต้องคาดหวังว่าเพลงต่อไปของเราจะต้องขัดแย้ง แต่จริงๆ วงเราก็ไม่ได้ซีเรียสมากครับ เข้าไปอ่านคอมเมนต์ก็สนุกดี

เราเป็นพวกที่ถ้าไม่ได้คำอะไรแปลกๆ หรือคำที่แตกต่างจากเพลงที่เคยเขียนไป เราจะไม่ตื่นเต้นและไม่อยากทำมันเลย (หัวเราะ) ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียนะ ตอนนี้เรากลายเป็นคนที่ชอบวิ่งหาคำแปลกๆ แล้วก็เอาคำพวกนี้มาเล่นก่อน ให้เราแต่งเพลงที่เล่าคำว่า ‘ฉันคิดถึงเธอ’ ง่ายๆ แบบนี้เราไปไม่ถูกเหมือนกัน

อย่าง ดวงจันทร์กลางวัน เพลงที่เราปล่อยออกมาได้พักใหญ่ๆ เพลงนี้เราแต่งเนื้อร้องทั้งหมด โดยที่ได้คำว่าดวงจันทร์มาก่อน เราก็เอาคำนี้มาเล่นกับกีตาร์โปร่งให้น้องวี (วิโอเลต วอเทียร์) หาวิธีร้องที่เขาคิดว่าเพราะที่สุด ช่วยกันคิดเมโลดี้ แล้วก็เอาแต่ละแบบที่เราเห็นพ้องกันว่าดีมารวมกันจนเกิดเป็นเพลงนี้ขึ้นมา

ตามหลักดนตรีเมโลดี้จะมาก่อนเนื้อร้องเสมอ แต่สำหรับเรามันมักมาพร้อมกัน หรือบางทีเมโลดี้กับเนื้อมันจะมาทีละนิด สลับกันไปมา ไม่ได้มาทีเดียวทั้งก้อน อย่างตอน ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ เราร้องท่อนนี้วนเป็นเดือนๆ เลยเพื่อหาว่าคำนี้มันอยู่บนเมโลดี้ไหนแล้วเพราะที่สุด พอเจอแล้วเราค่อยแต่งเนื้อร้องต่อไปบนเมโลดี้นี้ต่ออีกทีหนึ่ง เหมือนต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้น

อีกอย่างคือเราค่อนข้างต่างจากนักแต่งเพลงคนอื่นๆ ที่ชอบเอาเรื่องราวของตัวเองมาแต่งเพลง เราไม่ค่อยใช้เรื่องของตัวเองเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าเพลงมันจะออกมาไม่เป็นกลาง สมมติว่าเราอกหักอยู่แล้วเขียนเพลงอกหักขึ้นมา เราจะรู้สึกว่าเพลงเพลงนี้มันเพราะเป็นพิเศษ เราอาจจะอินกับมันเกินไปในหลายๆ ครั้ง พอให้คนอื่นฟัง เขาอาจรู้สึกว่ามันเพราะ แต่มันอาจจะไม่ใช่เพลงที่เพราะแบบสิบคะแนนเต็มก็ได้ หรือถ้าแย่กว่านั้นคือเราอาจจะผูกมัดกับเพลงนั้นมากเกินไป เวลาใครอยากแก้อะไรเราจะรู้สึกหวงมันนิดหนึ่ง

ลึกๆ คุณกลัวคนอื่นไม่ชอบเพลงที่ตัวเองแต่ง ถูกไหม

เราอยากทำเพลงให้คนฟังแล้วชอบ ในกระบวนการคิดคือเราต้องทำให้เพลงนี้ไปถึงทุกคน ไม่ว่าจะวัยไหน เข้ากับคนได้ไม่ว่าเขาจะอยู่ในมู้ดไหน เราจะคิดตลอดเลย ยอมรับว่าในยุคแรกๆ ทำเพลงตามใจตัวเองเหมือนกัน แต่ผลคือเพลงมันไม่สำเร็จอย่างที่เห็น แทบไม่มีผลลัพธ์เป็นชิ้นเป็นอันหรือเงินกลับมา สำหรับตอนนั้น เราโอเคที่จะพูดว่า Getsunova ไม่ได้เป็นวงที่ต้องการเงินขนาดนั้นเพื่อทำงานตรงนี้

ตอนย้ายมา DuckBar เราปล่อยเพลง ดอกไม้ปลอม ออกไปเพื่อสนองนี้ดตัวเองล้วนๆ เลย วันหนึ่งพี่หัวหน้าค่ายเดินมาตบหลังแล้วพูดว่า “พี่ว่าพี่ต้องขอหาเงินแล้วอะ” จากคำพูดนั้นมันเหมือนอยู่ๆ หลอดไฟมันสว่างขึ้นมา เราฉุกคิดกันว่า 4-5 ปีที่ผ่านมาเราเห็นแก่ตัว มีคนเหนื่อยกับเราเยอะมาก ค่ายเขาไว้วางใจเราแต่เราดันแต่งเพลงเพื่อให้ตัวเองสนุกกันแค่นั้นเหรอ เพราะงั้นถ้าเรายังทำกันต่อ คงไม่ใช่แค่การทำตามใจตัวเองแล้ว เราอยากทำให้คนที่ทำงานกับเรารู้สึกภูมิใจกับงานของเราไปด้วย นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้พูดได้อย่างไม่อายว่าเพลงที่เราทำมันต้องแมส ทุกคนต้องชอบ และต้องมีรายได้กลับมาเลี้ยงคนอื่นๆ

ในยุคที่คนหาเพลงฟังกันได้แบบไม่ต้องเสียเงินแล้ว ถ้าคนฟังยอมจ่ายเงินเพื่อเพลงของเรา แปลว่างานของเราดีจนทำให้พวกเขารักเรามากพอ การที่ผมได้เงินจากคนซื้อซีดี ซื้อตั๋วคอนเสิร์ตเพื่อมาฟังเราเล่นเนี่ย เราถือว่าเราชนะแล้วนะ เพราะงั้นเวลาหลายคนถามว่าเราทำเพลงไปเพื่ออะไร จริงๆ ก็เพื่อเงินนี่แหละครับ (หัวเราะ)

Getsunova มีวิธีการทำงานและเคาะเพลงแต่ละเพลงยังไงบ้าง

พวกเราจะกำหนดเป้าหมายร่วมกันว่าเพลงต่อไปที่เราจะปล่อยเราอยากได้อะไร ในแต่ละเพลงที่ปล่อยมันมีฟังก์ชั่นที่ต่างกัน ถ้ารอบนี้อยากได้เพลงฮิต ทุกคนก็จะโยนไอเดียกันว่าเพลงฮิตต้องเป็นยังไง สำหรับเรา เราคิดว่าเพลงฮิตจะต้องเป็นเพลงช้าที่พูดเรื่องเศร้า มีคำโดนๆ อะไรแบบนั้น ถ้าเรามีไอเดียชัดเจนและทุกคนเข้าใจตรงกัน ความขัดแย้งมันก็จะน้อยลง งานที่แต่ละคนทำก็ออกมาในทิศทางเดียวกัน

เนื้อเพลงส่วนใหญ่เราจะเขียนคนเดียวในห้องก่อน หลังจากนั้นค่อยเรียกพี่เนมมาลองร้องก่อนส่งต่อให้คนอื่นฟัง เราเชื่อว่าถ้านักร้องไม่ชอบคำที่ตัวเองร้อง มันไม่ดีต่อเขาและวงในระยะยาวแน่ๆ ถ้าพี่เนมทักหรือเอะใจคำไหนเราจะรีบโละกันที่บ้านเลย เราว่ามันเป็นวิธีคิดที่นักเขียนเพลงควรมี ถ้านักร้องเขาไม่ชอบ เราไปฝืนเขาก็คงจะยาก เหมือนตอนเล่นกีตาร์แล้วถูกโยนให้เล่นแบบที่ตัวเองไม่ชอบ เป็นเราเราก็ไม่อยากเล่นเหมือนกัน

คิดยังไงกับการที่ศิลปินสมัยนี้ทำงานทีละซิงเกิล ไม่ได้ทำทีเดียวทั้งอัลบั้มเหมือนสมัยก่อน

ทุกวันนี้เทรนด์ดนตรีเปลี่ยนเร็วมาก ทุกสองเดือนเราเห็นการเปลี่ยนแปลงของวงการได้เลยด้วยซ้ำ เรามองว่าเป็นข้อดีที่เราสามารถผันตัวตามยุคสมัยได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันการคิดเพลงทีละอัลบั้ม ข้อดีของมันคือเราจะมีเพลงที่ไม่ซ้ำกันออกมาเลยทำให้เพลงในอัลบั้มมันค่อนข้างหลากหลาย เช่น มีเพลงเร็วเป็นเพลงเปิด ต่อด้วยเพลงกลางๆ เพลงช้า แล้วก็เข้าโหมดเพลงอะคูสติกแล้วค่อยกลับมาเป็นเพลงสนุกๆ ใหม่ แถมโปรดักชั่นก็ง่ายคือเข้าห้องอัดทีเดียวได้งานชิ้นใหญ่เลย

เราชอบทำทีละซิงเกิลนะ เพราะเรารู้สึกว่ามันแก้เกมระหว่างทางได้ เราเลยหยิบเอาวิธีคิดแบบเก่านี้มาบาลานซ์ใช้กับวงตัวเอง เวลาคิดซิงเกิลเราจะพยายามนึกถึงฟังก์ชั่นเพลงในอัลบั้มพวกนั้น ถ้าเราขาดเพลงในฟังก์ชั่นไหนเราจะทำเพลงแบบนั้น ก็ทำให้เพลงเราหลากหลายขึ้นได้ในขณะที่เรายังทำเพลงแบบปล่อยทีละซิงเกิลๆ

กลัวไหมว่าคนจะมองว่าวงเราไดเรกชั่นไม่ชัดเจน

ผมไม่กลัวเรื่องนี้เลย เพราะว่าทุกวันนี้คนฟังเพลงเป็นซิงเกิล เผลอๆ เปิดอัลบั้มมาก็เลือกฟังแค่เพลงที่ตัวเองรู้จักแล้วก็กดข้ามเพลงอื่นๆ ไป (หัวเราะ) การปล่อยเพลงเป็นซิงเกิลทำให้รู้สึกไม่เสียของดี แต่ว่าเรื่องไดเรกชั่น สมัยนี้คนชอบทดลองอะไรหลากหลาย ถ้าเขาชอบก็ชอบ ถ้าเขาไม่ชอบมันพลิกรอบหน้าได้เร็วกว่า ยังมีโอกาสแก้เกมได้ คือถ้าเขาไม่ชอบไดเรกชั่นทั้งอัลบั้มขึ้นมา โห ก่ายหน้าผากเหมือนกันนะว่าทำยังไงต่อ

อย่างช่วงที่ปล่อยเพลง พัง..(ลำพัง) มันเป็นเพลงที่เราทำตามโจทย์ที่ตั้งไว้ แต่ผมเฮิร์ตนิดหน่อยที่เพลงมันทำงานได้ไม่ดีพอ แต่ละงานที่เราไปเล่นคนดูร้องตามไม่ได้เลยนะ เราเลยต้องแก้เกมด้วยการทำให้คนได้ยินเพลงมากขึ้นก็เลยจับมันมาเรียบเรียงใหม่แล้วชวนลีเดีย (ลีเดีย ศรัณย์รัชต์) มาร้องด้วย จนสุดท้ายเพลงนี้รอด คนร้องตามได้ อุ่นใจแล้ว (หัวเราะ)

ดูเหมือนว่าคุณจะไปได้ดีกับการเป็นนักแต่งเพลง ความฝันที่อยากโซโล่กีตาร์เท่ๆ เป็นยังไงบ้างแล้ว

จากเด็กๆ ที่อยากเป็นนักกีตาร์ ตอนนี้แต่งเพลงน่าจะถูกทางมากกว่า (หัวเราะ) ทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองแต่งเพลงได้ดีกว่าเล่นกีตาร์ เราชอบมันเพราะมันทำให้เราได้คิดอะไรใหม่ๆ ตลอด จำได้ว่ามีช่วงหนึ่งเราวางกีตาร์ทิ้งไว้ ตื่นเช้ามาเปิดหนังสืออ่าน หยิบกระดาษมาเขียนโน่นเขียนนี่จนลืมซ้อมกีตาร์ ทุกครั้งที่เข้าห้องอัด ใจเราไม่ได้อยู่ที่กีตาร์เลยนะ มันไปอยู่กับตอนอัดร้อง อยากได้ยินเนื้อร้องเราออกมาจากปากพี่เนมตลอดเลย (ยิ้ม)


บทเพลงจากปลายปากกาของปณตที่เจ้าตัวอยากแชร์ให้เราฟัง

01 สวัสดีครับ – ลีเดีย ศรัณย์รัชต์

ลีเดียเล่าเรื่องมาก่อนแล้วเราค่อยเขียนเนื้อเพลงตามโจทย์ที่เขาอยากได้ เพลงนี้หลุดกรอบการทำงานของเรามากเลยเพราะเราไม่เคยเขียนเพลงที่ใช้คำผู้หญิงๆ มาก่อน ในมุมเรา เรารู้สึกว่าคำที่ผู้หญิงพูดมันแสดงความรู้สึกได้มากกว่าผู้ชาย พอจะเสียใจก็เสียใจได้มากกว่า หรือเพลงรักก็สามารถพูดคำที่มันอ้อนได้มากกว่า เพราะบางทีอาจจะเขินปากผู้ชาย ตอนนั่งนึกคำน่ารักๆ เพื่อเขียนเพลงนี้สนุกมากเลยครับ


02 ทางตัน – ลีเดีย ศรัณย์รัชต์

เป็นอีกเพลงที่เราเขียนให้ลีเดีย เพลงนี้คุยกับลีเดียว่าอยากให้มีเพลงเศร้าสักเพลงเพื่อโชว์พลังเสียงของเขา คือเรารู้สึกว่าลุคของลีเดียคือผู้หญิงแกร่ง เขาเป็นทั้งคุณแม่และแชมป์ในรายการ The Mask Singer เขาทำให้เรารู้สึกถึงผู้หญิงที่มีความกล้า เพลงนี้เลยเล่าเรื่องผู้หญิงที่กล้าตัดสินว่านี่คือทางตันของความสัมพันธ์และเดินออกจากความสัมพันธ์นั้นอย่างไม่ฟูมฟาย


03 คนไร้ตัวตน – เหวยเหวย ฮัน

เหวยเหวย ฮัน เป็นศิลปินคนใหม่ของค่าย White Music ครับ น้องเคยเป็นคอรัสให้ Getsunova ในเพลง คนไม่จำเป็น เราอยากให้เพลงนี้เป็นเหมือนเพลงที่เราเขียนเพื่อขอบคุณน้องที่มาร้องเพลงให้พวกเรา

ไอเดียเพลง คนไร้ตัวตน เราได้มาจากตัวตนของน้องครับ จริงๆ แล้วเหวยเหวยร้องเพลงกับวงกลางคืนหลายวง แถมยังร้องได้ทุกแนวทั้งเพลงไทยและฝรั่ง คือเขาทำทุกอย่างเก่งไปหมด แต่สุดท้ายลึกๆ เขาก็ถามตัวเองเหมือนกันว่า ถ้าต้องทำเพลงของตัวเอง แล้วตัวตนจริงๆ ของเขาคืออะไรกันแน่


04 ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึก – Getsunova

ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึก เป็นเพลงที่พี่เนมอินมากเพราะเป็นเพลงแต่งงานของพี่เนมครับ ในเนื้อเพลงจะมีโควตคำที่พี่เนมตั้งใจอยากใส่ในเพลง ที่มาส่วนใหญ่ก็เลยมาจากเขา เราช่วยหยิบนั่นหยิบนี่มาตกแต่งให้เพลงมันสมบูรณ์มากขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นในเพลงเลยเต็มไปด้วยสิ่งที่เราไม่ทำและไม่เคยรู้สึกมาก่อน เช่น พี่เนมไม่เคยร้องเพลงที่สมหวังมาก่อน ไปร์ทไม่เคยตีกลองจังหวะนี้มาก่อน เราไม่เคยใช้เบสซินธ์ในเพลงของเรามาก่อน ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึก เลยเป็นเพลงให้ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึกจริงทั้งกับตัววงและคนฟัง ที่สำคัญเป็นหนึ่งในเพลงแฮปปี้ไม่กี่เพลงที่ Getsunova ทำ เลยอยากให้ทุกคนลองฟังครับ


05 ความเงียบดังที่สุด – Getsunova

เพลงนี้เป็นเพลงที่เราชอบมากที่สุด คำว่า ความเงียบดังที่สุด เป็นคำที่เราเขียนไว้บนกระดานมานานมากแล้ว กว่าจะเขียนเพลงนี้จบเราใช้เวลาเป็นปีเลย อยากให้ทุกคนได้ฟังครับ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

นิติพงษ์ การดี

ช่างภาพเจ้าของเพจ Rename. ที่ลงงานปีละครั้ง และมีความคิดว่า ถ้าได้กินกาแฟในตอนเช้าหนึ่งแก้ว ถือว่าวันนั้นเป็นวันที่ดี