“สิ่งสำคัญตอนนี้คืออยู่ตรงนี้ให้นานที่สุด” ชีวิตที่กลับบ้านบ่อยขึ้นของ อะตอม ชนกันต์

Highlights

  • อะตอม–ชนกันต์ รัตนอุดม คือหนุ่มนักดนตรีวัย 28 ปีที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางของตัวเองอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ PLEASE ซิงเกิลแรกที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ตามด้วย ทางของฝุ่น และ อ้าว ไม่ว่าจะปล่อยออกมากี่เพลงก็ถูกใจคนฟังยุคนี้
  • ก่อนจะถึงคอนเสิร์ตใหญ่ที่จัดขึ้นในเดือนเมษายนนี้ เราชวนอะตอมมานั่งทบทวนการเดินทางในวงการดนตรีตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
  • อะตอมในวันนี้เข้าใจความพอดีของความรักมากขึ้น พร้อมๆ กับความสำคัญของการบาลานซ์เวลาในชีวิต รวมทั้งการให้เวลากับคนที่บ้าน

จากเพลงเปิดตัวอย่าง PLEASE ตามด้วยเพลงที่ไม่ว่าใครก็ฮัมท่อนฮุกได้ตั้งแต่ แผลเป็น, ทางของฝุ่น, อ้าว และ Good Morning Teacher คำเรียกว่า ‘ศิลปินที่ประสบความสำเร็จ’ คงใช้กับศิลปินหนุ่มเจ้าของบทเพลงทั้งหมดนี้อย่าง อะตอม–ชนกันต์ รัตนอุดม ได้อย่างไม่ประดักประเดิดเลยสักนิด

เลข 5 คือจำนวนขวบปีที่ผู้ชายคนนี้โลดแล่นอยู่ในวงการดนตรี จากนักเขียนเพลงเลือดใหม่อายุยี่สิบต้นๆ วันนี้เขาเติบโตเป็นชายหนุ่มที่นิ่งขึ้น เท่ขึ้น ทั้งสไตล์การแต่งตัว และการเขียนเพลงก็มีชั้นเชิงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวัยที่เปลี่ยนไป

ถ้าเรียงไทม์ไลน์ของหนุ่มคนนี้อย่างละเอียด จังหวะชีวิตของเขาอาจไม่ได้สุดเหวี่ยงเหมือนใคร แต่เส้นทางก็ไม่ได้เดินง่ายกว่าใครเหมือนกัน

ก่อนเป็นศิลปินเต็มตัว อะตอมใช้เวลาถึง 4 ปีหลังจากเซ็นสัญญาเฝ้ารอวันที่จะได้ปล่อยเพลงที่ตัวเองรักมากที่สุดอย่างใจจดใจจ่อ ระหว่างนั้นก็ออกแรงทัวร์คอนเสิร์ตกับศิลปินรุ่นพี่ที่เขาเคารพ เก็บหอมรอมริบประสบการณ์ เติบโตแบบเรื่อยๆ เร็วบ้าง ช้าบ้าง สลับกันไปเหมือนกับความสุขและความทุกข์ที่เขาเรียนรู้จากการมีความรัก

สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จากอะตอมคือ การโตอย่างแข็งแรงอาจไม่จำเป็นต้องเคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนักหน่วง เจ็บปวด หรือทอดสายตามองหาแต่สิ่งที่อยู่ไกลตัว แต่คือการโตอย่างเข้าใจตัวเองและความเป็นปัจจุบันของทุกเวลาต่างหาก

ย้อนกลับไปตอนเป็นเด็ก คุณเป็นเด็กแบบไหน

ตอนเด็กเราเป็นเด็กที่ป่วนเหมือนกันนะ คือไม่ได้เกเรไปต่อยตีกับใคร แต่จะชอบโกหกพ่อแม่ว่าทำการบ้านเสร็จตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้ว ตอนอยู่โรงเรียนก็โกหกครูว่าลืมการบ้านอยู่ที่บ้าน สรุปคือเรายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเลย สุดท้ายก็โดนจับได้ โดนบ่อยเลยเมื่อก่อน (หัวเราะ) แต่พอถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่การเรียนสำคัญกับเรามากๆ เราก็รับผิดชอบตัวเองดีขึ้นนะ เราโชคดีที่บ้านเราไม่ได้ตีกรอบเรามาก คือถ้ารับผิดชอบเรื่องเรียนได้ดีแล้วอยากทำอย่างอื่น เช่น ไปเล่น ไปเรียนศิลปะ เขาก็ซัพพอร์ตหมด

 

อย่างการเลือกเรียนกฎหมายนี่เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเองหรือเปล่า

เราอยากเรียน อาจเป็นเพราะพ่อแม่เรียนทางนี้มาทั้งคู่ด้วยมั้ง คือเราเห็นเขาทำงานมาตั้งแต่เด็กเลยอยากลองดู เรามีพี่สาวที่โตกว่าเรา 1 ปี ก็พากันไปติว ขวนขวายหาความรู้ตั้งใจอ่านหนังสือ จน ม.6 เราสอบเข้านิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ได้ เข้าไปด้วยความตั้งใจ ไม่ได้เข้าไปด้วยความรู้สึกว่าโดนพ่อแม่บังคับหรือว่าอะไรเลยนะ 

แล้วหักเหมาสนใจเรื่องการทำเพลงได้ยังไง

เพลงเป็นอะไรที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เด็กแล้ว เริ่มจากเป็นงานอดิเรกเหมือนเด็กทั่วไป ที่บางคนเล่นกีฬา บางคนเล่นดนตรี เราเริ่มเขียนเพลง สนใจในการอัดเพลงมาตั้งแต่ ม.ต้น

 

เล่าบรรยากาศตอนอัดเดโมเพลงแรกให้ฟังหน่อยได้ไหม

ตอนนั้นน่าจะเป็นยุคที่ทุกคนต้องเล่น Hi5 แล้วแต่ละคนจะมีกรอบเพลย์ลิสต์ที่แปะไว้ใน Hi5 ของตัวเอง เราเริ่มจากการอัดเดโมเพื่อสร้างเพลย์ลิสต์ของตัวเองขึ้นมา อัดด้วยเครื่อง MP3 จีนแดงอันหนึ่งที่แม่ซื้อให้ ต่อไวร์เลสเล็กๆ อีกอันหนึ่ง นั่งอัดกีตาร์ อัดเสียงร้อง เริ่มเอาไปลง แบ่งให้เพื่อนฟังบ้าง คนนู้นคนนี้บอกดีนะๆ สุดท้ายก็แบบ เออ เราก็ใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า แต่เนื้อหาเพลงมันเด็กมากเลย ความรัก ปั๊ปปี้เลิฟ อกหักบ้าง จีบเขาบ้าง ปะปนกันไป

ถือว่าเป็นเด็กที่เจอตัวเองเร็วเหมือนกันนะ

ใช่ ยุคที่เราเริ่มเล่นกีตาร์และร้องเพลงเป็นยุคที่วงป๊อป-ร็อกโด่งดังมากๆ Bodyslam, Big Ass, Clash เราเริ่มจากตรงนี้แล้วก็ขยับขยายหาที่ทางที่ตัวเองชอบต่อ ทั้งนี้ทั้งนั้นภาพการเป็นศิลปินหรือนักร้องก็ยังห่างไกลจากเรามาก ส่วนหนึ่งมันเป็นความฝันลึกๆ ของเรา แต่มันเห็นเป็นรูปธรรมได้ยากมาก จากคนเป็นล้านๆ กว่าคนสักคนจะฝ่าฟันมาเป็นนักร้องได้ไม่ง่ายเลย เรื่องเรียนยังไงก็ต้องเป็นเรื่องหลักของเรา

แต่พอถึงตอนปี 2-3 เราอ่านหนังสือเยอะมาก โหดมาก เริ่มรู้ว่าจริงๆ ตัวเองไม่อยากทำงานกฎหมายแล้ว ระหว่างเรียนก็เขียนเพลง ทำเดโม มาเรื่อยๆ ก็เอาเดโมเซตที่เขียนช่วงนั้นส่งมาที่นี่ (ค่าย White Music) พยายามหาความรู้ ไปอยู่ในที่ที่มีดนตรี ส่วนหนึ่งอาจจะด้วยความโชคดีที่มีคนให้โอกาสระหว่างทางค่อนข้างเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือความขวนขวายของเราแหละ คือเราคิดมาตลอดว่าอะไรที่เราชอบเราต้องลุยให้เต็มที่ พอวันหนึ่งมีโอกาสเข้ามาก็ตัดสินใจไม่ยากเลย

เชื่อไหมว่าตัวเองมีพรสวรรค์

มันมีทุกคนแหละ แต่ว่าอยู่ที่ใครจะหาเจอแล้วใช้พลังนั้นถูกจุดรึเปล่า คือบางคนเขารู้ว่าทำอะไรเก่งแต่เขาไม่ชอบมันก็มีนะ ซึ่งก็ว่ากันไม่ได้หรอก หลายๆ คนคงมีเหตุผลของตัวเองในการเลือกทำสิ่งอื่นที่ตัวเองไม่ชอบ หรือไม่เลือกสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี พอสองอย่างมันไม่ได้ไปด้วยกัน สิ่งที่เขาทำได้ดีก็ไม่ออกดอกออกผล เราอาจจะโชคดีที่เราชอบในสิ่งที่ทำได้ดี หลายๆ อย่างก็เลยดูก้าวกระโดด

 

แทบทุกเพลงพูดเรื่องความรัก อย่าง CYANTIST อัลบั้มที่แล้วเป็นมุมมองของผู้ชายที่กำลังเรียนรู้ กึ่งๆ ทุกข์กับมันอยู่ วันนี้เพลงของคุณยังเป็นแบบนั้นอยู่ไหม

คงหนีเดิมๆ ยาก เราถนัดเขียนเพลงรัก เราเชื่อว่าเรื่องความสัมพันธ์มีอะไรให้เล่าเยอะ ซึ่งเพลงบนโลกนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น เพลงที่คนอินหรือสัมผัสหัวใจเขาได้คงหนีไม่พ้นเรื่องส่วนตัวเรื่องนี้นี่แหละ เพราะบางทีถ้าให้พูดกันตรงๆ เขาอาจจะพูดออกมาไม่ได้ แต่เพลงรักมันทำหน้าที่บอกเล่าความรู้สึกที่อยู่ในใจคนได้

เราเป็นคนที่เขียนเพลงรักมาตั้งแต่เริ่ม ยุคนี้เราก็ยังคงเป็นแบบนั้น แต่คงเป็นมุมมองความรักที่โตขึ้น ไม่ได้ผูกตัวเองติดกับมันมาก ไม่ได้ฟูมฟาย แล้วก็มองมันอย่างเข้าใจ ปล่อยวางได้มากขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ (หัวเราะ)

เคยผูกตัวเองติดกับความรักขนาดไหน

เราว่าเราเป็นเหมือนกับหลายๆ คนตอนอายุ 18-20 หรือช่วงที่มีแฟนเราจะตัวติดกันมาก รู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ถ้าเธอหายไปฉันต้องหาเธอให้เจอ รู้สึกจะเป็นจะตาย มันมีทุกคนแหละ ด้วยความที่ตัวตนเราเองยังไม่แข็งแรง เหมือนปูนิ่มที่กระดองกำลังค่อยๆ แข็งขึ้น เป็นช่วงที่รู้สึกอ่อนแอ ต้องการใครสักคนอยู่ข้างๆ จับไว้แน่นๆ ให้รู้ว่ามันยังโอเคอยู่ สุดท้ายแล้วพอผ่านช่วงเวลามา พอกระดองแข็งขึ้น มันก็จะทำอะไรเราไม่ได้ แล้วก็ได้รู้สึกว่าจริงๆ เราก็อยู่คนเดียวได้ แต่ตอนนี้เราไม่ได้อยู่คนเดียวนะ (ยิ้ม)

 

วินาทีนี้ความรักที่พอดีสำหรับคุณคืออะไร

คือความเข้าใจ ความรักของเราในตอนนี้ต้องเป็นเพื่อนเราให้ได้ก่อน คืออะไรที่เราทำกับเพื่อนได้ก็ต้องทำกับคุณได้ ถ้าคุยเรื่องเลวที่สุดของเราให้เพื่อนฟังได้ แต่เราคุยเรื่องที่เลวที่สุดให้แฟนเราฟังไม่ได้ ต้องมานั่งปิดบังกันอีกก็ไม่เอา ไม่งั้นการที่คุณเข้ามาในชีวิตเราก็ไม่มีประโยชน์ คือคนที่เข้ามาต้องเป็นพาร์ตเนอร์ในชีวิตเรา แชร์ทุกด้านทั้งด้านที่ดีที่สุดและแย่ที่สุด คุยกันได้ อยู่กันได้ด้วยความเข้าใจแค่นี้จริงๆ

อย่างอีพี MOON คือหนึ่งในสัญญาณของการเติบโตของมุมมองความรักหรือเปล่า

เราว่าอีพีนี้สิ่งที่โตมากคือดนตรี โตเกินเราด้วยซ้ำ แต่ว่ามันก็เป็นตัวเรามากเช่นเดียวกัน คือเป็นแนวดนตรีที่เราชอบ ได้ทำกับโปรดิวเซอร์ที่เราชอบ เหมือนเป็นงานศิลปะสนองนี้ดตัวเองส่วนใหญ่ ฟังก์ชั่นของมันอาจไม่ใช่เพลงที่เข้าถึงคนได้ง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่เพลงป๊อปที่ทำงานเหมือน อ้าว คนละแบบเลย เนื้อหาก็โตขึ้น CYANTIST คือความกวนประสาท ความเจ็บปวดแบบวัยรุ่น เวลากลับไปฟังเพลงเก่าๆ ของตัวเองจะรู้สึกว่า มึงเวิ่นเว้อเนอะ (หัวเราะ) พรั่งพรูเหลือเกิน ชีวิตจะเศร้าอะไรขนาดนั้น แต่สุดท้ายแล้วชีวิตตอนนั้นก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนนี้เราผ่านมันมาหมดแล้ว ก็แค่ทิ้งเรื่องนั้นไว้ในเพลง

 

อยากกลับไปแก้ไหม

ไม่แก้สิ ถ้ากลับไปแก้ก็ไม่ได้อัลบั้มนี้สิ (หัวเราะ) จริงๆ ถ้ามันย้อนเวลากลับไปได้แล้วไปแก้อะไรได้สักอย่าง เราไม่อยากแก้ เรากลัวทุกอย่างไม่เป็นเหมือนวันนี้ คือแก้จุดเดียวไทม์ไลน์ชีวิตเราอาจจะเปลี่ยน ฉีกไปเป็นอีกอย่าง ไปไหนแล้วไม่รู้ตอนนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นโดยมีเหตุผลแหละ ว่าเราต้องเจอแบบนั้นมาเพื่อให้แข็งแรงขึ้น เติบโตขึ้น และกลายเป็นเราทุกวันนี้

ตอนปล่อยเพลงแรกไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนะนอกจากโล่ง เพราะเรารอมานานจนรู้สึกเฉยไปเลย กว่าจะได้ปล่อยคือต้องรอถึง 4 ปีหลังจากที่เซ็นสัญญา ในใจก็คือเข้ามาแล้วทำไมไม่ปล่อยเพลงเราออกไปสักทีวะ เพลงก็มี อะไรก็พร้อม ไอ้เด็กอายุ 19 คนนั้นคิดว่าตัวเองเก่ง ปล่อยเพลงออกไปขายดีแน่ๆ สุดท้ายเราเพิ่งมารู้ตัวเองทีหลังว่าเรายังไม่พร้อมจริงๆ ด้วย ทั้งสไตล์การแต่งตัว สไตล์ดนตรี ความชัดเจนด้านการทำเพลง เพอร์ฟอร์มทุกอย่างก็ไม่ลงตัว

แล้วช่วงที่รอคุณเอาเวลาไปทำอะไรบ้าง

ไปอยู่กับพี่บอล อพาร์ตเมนต์คุณป้า (กันต์ รุจิณรงค์) ลองอัดเพลงให้คนอื่น เอาเดโมตัวเองไปทำ และไปทัวร์คอนเสิร์ตกับวงพี่บุรินทร์ (บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์) พอวันหนึ่งที่เพลงลูกรักอย่าง PLEASE ปล่อยออกมาตอนปี 2558 เราก็มีประสบการณ์ประมาณหนึ่งแล้ว เรารู้ว่าเล่นสดเป็นยังไง วิธีการเข้าห้องอัดเป็นยังไง วิธีการทำเพลงเป็นยังไง ทุกอย่างง่ายขึ้นสำหรับเราเยอะ เราโชคดีที่ไปเจอพี่ๆ ที่ให้การต้อนรับอย่างดี สอนเรา บอกเราทุกอย่าง กลายเป็นช่วง 3-4 ปีที่เราคิดถึงมากๆ 

 

ทำไมถึงรักเพลงนี้มากขนาดนั้น

มันเป็นเพลงแรกในทุกเดโมที่เราทำ เวลาเราไปอัดเพลง ไปเรียงแทร็ก เราจะเรียง PLEASE เป็นเพลงแรกเสมอ เราชอบเพราะมันเป็นเพลงที่จริงมากๆ สำหรับเรา แล้วก็เป็นเพลงที่แทบไม่ได้แก้อะไรเลยตั้งแต่เขียนออกมาในปี 2553 หลังจากนั้นไม่เคยแตะอะไรอีกเลยจนถึงวันที่ปล่อยมัน

 

ในฐานะที่อยู่ในซีนดนตรีแมส อยากทำเพลงที่ปล่อยของสุดๆ ไม่แคร์คนฟังอะไรแบบนั้นบ้างไหม

มันก็มีแหละ ต้องเข้าใจอย่างนี้ว่าในช่วงที่หาเพลง ฟังเพลง เราเป็นคนที่โตมากับดนตรีในซีนแมสมากๆ ด้วย แล้วก็โตมากับซีนอินดี้มากๆ เหมือนกัน ตั้งแต่เข้ามาในวงการเพลงยุคแรกของเราก็ผสมๆ กันอยู่ เป็นเพลงแมสที่คนฟังอินดี้ไม่ได้อี๋ขนาดนั้น ด้วยกลิ่นความโซลอะไรที่เราใส่ไป แล้วคนฟังแมสก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะฉะนั้นเพลงเราจะอยู่กลางๆ เป็นจุดยืนที่เราใช้มาตลอด แล้วค่อยพัฒนาให้ชัดเจนขึ้นทีหลัง ซึ่งสุดท้ายมันคือตัวตนเรา คนฟังเพลงฟังออกว่าเป็นเพลงของเรา แม้บางเพลงที่ไม่ได้ร้องเองคนก็ยังฟังออกว่าเราเขียน นี่คือสิ่งสำคัญที่เราต้องรักษาไว้

ดูเหมือนว่ารุ่นพี่ในวงการสอนคุณมาเยอะมาก มีเรื่องไหนบ้างที่คุณต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง

เราว่าเป็นเรื่องการดีลกับคนฟัง ตอนที่อยู่บนเวทีกับพี่บุรินทร์เราเป็นนักร้องแบ็กอัพ คนที่ชนกับคนฟังจริงๆ คือพี่บุรินทร์ใช่ไหม แต่มีช่วงหลังๆ ที่เราโดนลากออกไปร้องเพลงลูกทุ่ง (เพลง คิดถึงพี่ไหม ที่อยู่ในอีพี) เป็นซีนของเราทุกคืนเลย ก็เลยเริ่มเจอกับคนฟังด้วยตัวเอง พอเจอเองก็ต้องชนเอง เรียนรู้วิธีการเอาคนดูให้อยู่ วิธีพูดคุย การใช้น้ำเสียง อายคอนแทกต์ การส่งเมสเซจให้คนฟังรับรู้สิ่งที่เราสื่อว่าเพลงนี้เศร้า เพลงนี้สนุก มันมีเลเวลที่ต่างกัน การบิลด์คนดูก็เริ่มได้เจอตอนนั้น พอต้องทัวร์คอนเสิร์ตที่เป็นของตัวเอง เราว่ายิ่งชั่วโมงบินเยอะก็จะยิ่งรู้ว่าต้องทำอะไร 

 

โชว์ของอะตอมขึ้นชื่อว่าเอาคนดูอยู่ แอบถามได้ไหมว่ามีบ้างไหมที่เอาไม่อยู่

ไม่รู้เรียกว่าเอาไม่อยู่ได้ไหม เคยมีครั้งหนึ่งที่ลงไปเล่นในผับที่ภาคใต้ คือแต่ละโชว์จะมีซีนที่เราเลือกเดินไปหาคนฟังใช่ไหม ทีนี้เราเห็นแล้วว่าต้นโชว์มันนิ่งๆ เห็นโต๊ะหนึ่งก้มหน้าเล่นเกมในมือถือทั้งโต๊ะเลย เราเลยคิดว่าไปหาโต๊ะนี้แล้วกัน พอเดินลงเวทีไปปั๊บเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองแป๊บหนึ่งเว้ย แล้วก็ก้มหน้าเล่นเกมต่อ อะ โอเค เสียเซลฟ์นิดหน่อย คือเรารู้สึกว่าต้องทำงานของเราให้ดี งั้นเล่นให้จบตามมารยาทแล้วกัน สุดท้ายเราว่ามันเป็นเรื่องที่โทษใครไม่ได้นะ เขาไม่เอนจอยดนตรีแบบที่เราเล่นก็ไม่เป็นไร คนเราก็มีทั้งวันที่ดีและวันที่ไม่ดี เราก็ไม่ต้องเก็บมาคิดส่วนตัว

เราว่านักดนตรีหรือนักร้องที่ดีต้องคิดมากเรื่องการออกแบบโชว์นะ คือถ้าใครบอกคิดไม่มาก ในระยะยาวเราว่าน่าเป็นห่วง เพราะนี่คืออาชีพเรา งานเรา ถ้าไม่คิด ไม่ใส่ใจกับมัน ก็เหมือนกับว่าเราทำงานลวกๆ ออกมา

ได้ยินว่าเคยเป็นมนุษย์ปาร์ตี้หนักเหมือนกัน แต่เรื่องงานคุณก็จัดการได้ดีเสมอ คุณบาลานซ์มันยังไง

(หัวเราะ) เราเคยจัดการเวลาชีวิตไม่เป็น ใช้ชีวิตแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง งานเราเดินทางไปต่างจังหวัด ร้องเพลง 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นถ้าเลือกกลับห้องไปนอนมันก็นอนได้เว้ย แต่เราไม่กลับไง ใครลากไปไหนก็ไป สุดท้ายแล้วกลายเป็นคนที่มีชีวิตแค่การทำงานกับการเที่ยวเล่น ส่วนอื่นไม่มีเลย แล้วพอวันหนึ่งสุขภาพเราเริ่มประท้วงแล้ว เรารู้สึกตอนโชว์ที่บางทีมันไม่ไหว เหนื่อยมาก ปีที่ผ่านมาก็เลยหันกลับมาดูแลตัวเอง รับงานน้อยลงด้วยความตั้งใจ ออกกำลังกาย เที่ยวกับเพื่อนน้อยลง กลับบ้านไปหาครอบครัวเยอะขึ้น

แต่ก่อนเราแทบไม่ได้กลับบ้านเลย ใช้ชีวิตอยู่กับการทัวร์คอนเสิร์ต กับแสงสี เข้าบ้าน 2 เดือนครั้ง มีวันหนึ่งกลับบ้านไปทุกอย่างในบ้านมันดูเก่า พ่อแม่เราดูแก่ขึ้นเยอะเลย หมาที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กตัวมันอ้วน หน้ามันหงอกมาก ทั้งๆ ที่เวลาผ่านไปไม่นาน แต่ผ่านไปไม่นานของเราคือ 2 ปีเลยนะ เรารู้สึกว่าไม่ได้แล้วว่ะ ถ้ารู้ตัวอีกทีเขาไม่อยู่แล้วทำยังไง เราต้องบาลานซ์เวลาชีวิตจริงจังแล้ว พอได้กลับไปใช้เวลากับครอบครัวหลังจากไม่ได้ใช้มานานมาก ความสุขที่เกิดขึ้นเป็นความสุขที่ที่อื่นให้เราไม่ได้เหมือนกับที่ที่บ้านให้เรา เนี่ย ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นเลย (หัวเราะ)

ปีนี้ตั้งใจจะเรียนรู้อะไรใหม่ไหม

ปีนี้ตั้งใจจะเล่นคีย์บอร์ด เล่นเปียโนให้เป็น ปกติเขียนเพลงจากกีตาร์เสียส่วนใหญ่ เรารู้สึกว่าคีย์บอร์ดน่าจะเปิดทางให้เราเจอเมโลดี้หรือภาพของการเขียนเพลงที่กว้างขึ้น ก่อนหน้านี้ก็เคยลองเขียนกับคนที่เล่นเป็นอยู่แต่ไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่ เลยคิดว่าปีนี้ต้องเล่นให้ได้สักทาง อาจจะหาครูสักคนมาสอน

 

อยู่ในวงการมาครึ่งทศวรรษแล้ว อยากให้เส้นทางต่อจากนี้มีหน้าตาแบบไหน

เราเป็นคนที่เชื่อว่าการมีภาพใหญ่ที่ปลายทางไว้มันก็ดี แต่ความเป็นจริงแล้วภาพนั้นมันเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ บางทีดูเป็นเป้าหมายที่ไกลและจับต้องไม่ได้ เลยเลือกวางเป้าหมายสั้นๆ ดีกว่า พอเวลามันเดินไปถึงตอนนั้นเราจะเห็นเอง พูดง่ายๆ คือทำในรอบปีที่กำลังจะถึงให้ดีที่สุด แล้วในรอบสิบปีมันจะดีเอง 

สิ่งสำคัญของเราตอนนี้คือการโฟกัสกับคอนเสิร์ตใหญ่ และเราอยากอยู่ตรงนี้ให้นานที่สุด ได้ทำเพลงที่ได้เป็นตัวเอง ทำงานศิลปะที่ตัวเองเห็นว่าสวยงาม และเป็นที่ยอมรับของคนฟังที่อยู่กับเรา


สำหรับแฟนๆ วันเสาร์ที่ 25 เมษายนนี้ อย่าลืมแวะไปให้กำลังใจอะตอมที่ ‘Atom HOUSE of HEARTS’ คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกที่เจ้าตัวภูมิใจนำเสนอ ซื้อบัตรได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (31 มกราคม 2563) ที่เว็บไซต์ thaiticketmajor.com หรือจุดจำหน่ายบัตร Thaiticketmajor ทุกสาขา

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน