ทู-สิราษฎร์ อินทรโชติ : นักแสดงผู้เก็บซ่อนความโปกฮาใต้โฉมหน้านิปปอนบอย

แวบแรกที่เห็นใบหน้าและร่างสูงโปร่ง เราอาจเผลอเข้าใจผิดว่า ทู-สิราษฎร์
อินทรโชติ
เป็นชาวต่างชาติ ทรงผมยาว, โครงหน้าชัดสไตล์โจ
โอดะกิริ และเสื้อผ้าสีเรียบมินิมอล
สร้างบรรยากาศเท่ขรึมแบบฉบับนิปปอนบอยให้นักแสดงจากภาพยนตร์โฆษณา The Only One จาก The 1 Card, เอ็มวีเพลง ตัวปลอม ของลุลา และ POTATO และผลงานไวรัล
Rompboy ชิ้นล่าสุดฝีมือผู้กำกับเต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์
ที่ทำให้เราแอบเหลือบดูต้นคอที่ถูกรองเท้าผ้าใบประทับไปเต็มๆ จนขึ้นรอยแดงใน 39 (ไม่เหลือรอยแล้ว
สบายใจได้)

บทสนทนายามบ่ายของเราเริ่มต้นด้วยจังหวะเรียบร้อยปนประหม่า
แต่หลังการพูดคุยไปไม่ถึง 10 นาที ทูก็เริ่มเปิดเผยตัวตนสนุกสนานจริงใจภายใต้บุคลิกเงียบนิ่งพร้อมแบ่งปันหลายฉากในหนังชีวิตเรื่องยาวให้เราได้รับชม

ทูเริ่มสนใจวงการหนังตั้งแต่เมื่อไหร่

ประมาณ ม.6 แต่ก่อนหน้านั้นผมอยากเรียนวิศวะ
เพราะแต่ก่อนเวลาเราทำอะไรแล้วมีคนชมว่าเราเก่งสิ่งนั้น
เราก็อยากตั้งใจให้เขาชมต่อไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนผมสอบคณิตศาสตร์ได้ดี พอแม่ชม ครูชม
ผมก็อยากเรียนวิศวะ แต่พอขึ้น ม.5 ผมไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนกับโครงการ AFS ที่แอฟริกาใต้
เขาพูดภาษาอังกฤษกัน แต่สำเนียงจะฟังยากหน่อย ผมได้มีโอกาสเรียนวาดสีน้ำมัน
ตอนนั้นผมชอบงานศิลปะ เหมือนเดิมเลย พอทำได้ มีคนชม อาจจะไม่ได้ชมจริงจังก็ได้
แต่ผมก็สนใจ ต้องทำให้ดีเพราะอยากให้คนชมอีก ตอนทำมันสนุกกว่านั่งคิดเลข
ได้อยู่กับตัวเองและได้คิด

ผมเริ่มชอบงานศิลปะ เริ่มหาอะไรอ่าน จนสนใจอยากเรียนอย่างอื่น
ตอนนั้นเล็งสถาปัตย์ ลาดกระบังไว้ แต่สุดท้ายก็หันมาชอบฟิล์มซะงั้น
เลยเปลี่ยนมาเข้านิเทศ จุฬาฯ ผมชอบดูหนัง
ถ่ายรูป ทำหนัง ชอบกำกับ

ทำไมถึงหันมาชอบฟิล์มล่ะ

มันมีหลายปัจจัย ตอนแรกคือผมชอบดูหนังมาก
พอเริ่มสนใจศิลปะก็มองหนังเป็นศิลปะมากขึ้น
ดูหนังที่ไม่ใช่หนังฮอลลีวู้ดมากขึ้นตั้งแต่ตอนอยู่แอฟริกาใต้

มีประเทศให้ไปแลกเปลี่ยนตั้งมากมาย ทำไมตอนนั้นถึงเลือกไปแอฟริกาใต้

ตอนนั้นผมเลือกประเทศตามเพื่อน แต่สุดท้ายได้ไปคนเดียว
มันได้ประสบการณ์การอยู่คนเดียว ไม่เหมือนที่อื่น จริงๆ
ไปประเทศไหนก็ได้ประมาณนี้เหมือนกัน แต่แอฟริกาใต้มัน exotic พิเศษ
ร้อนก็ร้อน หนาวก็หนาว ที่ที่ผมอยู่เป็นสลัมของคนผิวดำ ทุกอย่างมันดิบไปหมด
ทุกคนมีบ้านชั้นเดียวเล็กๆ แต่เขาจะบ้ารถมากๆ ขับบีเอ็ม ขับเบนซ์ บางคนก็ออดี้
และบ้าลำโพง แปลกมาก บ้านไม่มีอะไรเลย แต่รถหรู ลำโพงดี เหมือนเป็นปาร์ตี้ของเขา
บ้านเป็นแค่ที่นอน ไว้หลบฝน แต่สิ่งรอบกายที่บันเทิงต้องจัดเต็ม
มันต่างจากคนไทยพอสมควรที่บ้านต้องใหญ่ ของเขาบ้านไม่ต้องใหญ่ก็ได้ แค่อยู่ด้วยกันก็พอ
มีความสุขแล้ว

ผมอยู่ที่ Mvezo บ้านเกิดของเนลสัน แมนเดลา
บ้านผมอยู่ห่างจากเขาไปประมาณ 3 ซอย เผอิญบ้านผมเป็นบ้านที่จนพอดี
โฮสต์ดีนะ แต่บางครั้งก็ไม่ค่อยได้กินข้าว เลยหิว เลยบอกผู้ดูแลขอย้ายไปอยู่บ้านที่มีอะไรกิน
ตอนหลังย้ายไปอยู่บ้านเพื่อนที่โรงเรียน ก็ดีนะ อยู่แล้วอบอุ่น สบายใจ ผมอยู่โรงเรียนเดิมตลอด
ได้เรียนสีน้ำมันที่นั่น ทั้งโรงเรียนมีคนผิวขาวอยู่ 4 คน มีคนเอเชีย
2 คน คือผมกับอีกคนนึงที่เกิดที่โน่น แต่กลุ่มผมสนิทกันหมด ทั้งกลุ่มมี all races ทุกชาติพันธุ์
ไม่เหยียดผิวกัน

กลับมาที่เรื่องงาน ทูเริ่มต้นเข้าวงการบันเทิงได้ยังไง

จุดเริ่มต้นคือผมไปกินเหล้ากับรุ่นพี่ชื่อพี่เค
เป็นผู้ช่วยผู้กำกับของพี่พงศ์ (ฐิติพงศ์ เกิดทองทวี) ที่
Hello Filmmaker ผมบอกเขาว่าอยากเล่นเอ็มวีเพราะชอบงานของเฮลโลฟิล์มเมคเกอร์ อีก 2 วันเขาก็โทรมาบอกว่ามีเอ็มวีให้เล่น เลยไปเล่น
ชื่อเพลง ถามใจ ของ Smile Lies พี่พงศ์เห็นว่าเล่นได้
เลยชวนไปทำงาน The 1 Card ก็บูมเพราะฝีมือพี่พงศ์

ทูเคยเรียนการแสดงมาก่อนรึเปล่า

เคยเรียนกับครูเงาะ ตอน ม.3 มั้ง ตอนนั้นแม่อยากให้เป็นดารา
แต่ผมไม่อยากเป็น (หัวเราะ) แม่พาไปลงคอร์สพิเศษด้านการแสดง น่าจะเรียนประมาณ 10 ครั้งมั้ง
แล้วก็เลิกไปเพราะไม่ได้คิดจะทำการแสดง

เรียนตอน ม.3 แต่ได้มาเล่นตอนอยู่มหาวิทยาลัย
ไม่ลืมสิ่งที่เรียนมาแล้วบ้างเหรอ

ไม่ลืมนะ ผมความจำดี (หัวเราะ) ผมเรียนตอนอายุ 13 – 14 แต่ได้เล่นเอ็มวีตอนอายุ 21 จำได้ว่าครูเงาะบอกว่า “ไอ้ทูน่ะเล่นดี
มันฟังจริงๆ” แค่นี้ ผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแอ็กติ้งเลย แต่จำคำชมนั้นได้
เวลาเล่นก็พยายามจะฟังสิ่งที่เขาพูด มากกว่าจำว่าบทเราต้องพูดว่าอะไร

เพราะฉะนั้นงานที่ออกมาเลยประสบความสำเร็จ

เป็นเพราะการทำงานร่วมกันกับผู้กำกับมากกว่า
ถ้าเรา sync กับผู้กำกับได้ก็โอเค
ถ้าผู้กำกับเขาอยากให้เราตามบทเป๊ะๆ ผมว่าผมทำไม่ได้ พี่พงศ์ก็ชมผมนะ บอกว่า “มึงเล่นเหมือนไม่รู้ว่าการแสดงคืออะไร”
ไม่รู้ว่าเป็นคำชมรึเปล่า แต่ผมชอบนะ ผมชอบคำชมนี้มากเลย มันเป็นการเล่นที่สดดี

พอเล่นเอ็มวีเพลง ตัวปลอม
ก็ทำกับพี่พงศ์อีก ทีนี้เริ่มมีคนรู้จักเยอะขึ้น พอจำหน้าได้เขาก็มอง
แต่ส่วนใหญ่ไม่เรียกชื่อ จะเรียกว่า ‘ตัวปลอม
ตัวปลอมป่าวเนี่ย’
ผมก็บอก อ๋อ ตัวจริงครับ (หัวเราะ) ช่วงแรกก็งงๆ แล้วก็รับงานถ่ายภาพนิ่งบ้าง
ไปแคสต์งานบ้าง ซึ่งหลังๆ ก็ไม่ค่อยได้ละ เขาบอกว่าหน้าช้ำ ผมก็ว่าช้ำได้ไง
เพิ่งเล่นไป 2
งานเอง หน้าช้ำแล้วเหรอ เศร้าอะ หลังจากนั้นผมก็ไปรู้จักกับพี่บู้ Slur เขาก็ให้ไปถ่ายรอมป์บอยแล้วเอาไปเล่นหนังสั้นโฆษณาของพี่เต๋อ
พออยู่ในมือพี่เต๋อผมก็ชื่นใจ

เพราะว่า

ปั้นคนได้สุพรรณหงส์มา 3 – 4 คนแล้ว

แสดงว่าจะปั้นเราได้ด้วย

เฮ้ย พี่อย่าพูดอย่างงี้ แต่ผมว่าได้ (หัวเราะ)
คือการกำกับพี่เต๋อช่วยได้มากเลย ผมอยากเป็นผู้กำกับอยู่แล้ว
ผมไปศึกษาพี่เต๋อว่ากำกับยังไง เพราะตัวบทมันเล่นยากมาก ไม่มั่นใจในการเล่น 39 เลย แต่พี่เต๋อบอกละเอียด ความรู้สึกตรงนี้เป็นอย่างงี้
เรื่องมันแค่อยู่ในร้านรองเท้า แต่พี่เต๋อเล่าหมดว่าเราคุยกับเมย์ตอนไหน
เราคุยในฐานะอะไร เหมือนเล่าเป็นหนังเรื่องยาว แล้วให้เราเล่นในซีนเดียว
ผมก็รู้สึกว่าเข้าใจอะไรๆ มาก พี่เต๋อเขียนบทมาถึงแค่ที่พี่เบน (เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี) บอก “มึงรู้ได้ไงวะ”
แล้วก่อนเทกสุดท้าย พี่เต๋อก็ไม่ยอมคัตสักที เหมือนบอกให้พี่เบนเล่นต่อ พี่เบนเล่นส่งมาผมก็ค่อยๆ
ส่งกลับ จนยาวถึงปารองเท้าเนี่ยแหละ

พอพี่เต๋อเล่าเรื่องทั้งเรื่องมาแล้ว
การที่เราจะต่อจากซีนตรงนี้นิดนึงมันก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น เราได้ improvise นานอยู่ แล้วพี่เต๋อมาซอยให้
เหลือคำเท่านี้ตรงนี้ เป็นการกำกับที่ดี ผมก็เคยใช้อยู่ครั้งนึงตอนทำหนังกับเพื่อน
เล่าเรื่องให้หมดเลยแล้วให้นักแสดงเขียนบท เวิร์กมาก
แต่พอผมเอามาตัดแล้วมันไม่เวิร์ก (หัวเราะ) ผมก็เลยไม่ได้เอาไปส่งอาจารย์ แต่ชอบวิธีนี้มากเลย

หลังจากนี้ทูอยากทำอะไรต่อ

อยากกำกับเนี่ยแหละ

ไม่อยากเป็นนักแสดงหน้ากล้องเหรอ

อยากเพราะเงินดี ได้รู้จักนางเอกสวยๆ มากขึ้น
(หัวเราะ) เพื่อที่ผมจะได้ชวนไปเล่นงานตัวเองไง ผมอยากกำกับ
แต่ถ้ามีใครมาชวนไปเล่นอะไรอีกก็ไปนะ คนเราทำอะไรหลายอย่างได้นี่
แต่สุดท้ายผมก็อยากกำกรับ อยู่ในวงดนตรีไทย (ทำท่ากำกรับ)

…เมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงแอร์ดังนะ

ผมว่าตลกดีออก ผมชอบเล่นมุกแต่ผมแค่เกร็ง จริงๆ
แล้วผมเป็นคนตลกมากเลยนะ พอๆ กับน้าค่อมเลย เป้าหมายต่อไป ผมอยากไปรายการ บริษัทฮาไม่จำกัด
ที่มีน้าค่อม ตั๊ก บริบูรณ์ แล้วก็บอล เชิญยิ้ม กับแจ๊ส ชวนชื่น
ผมจะไปเล่นมุกอย่างเดียวเลย ช่วยติดต่อผมไปออกรายการด้วย ขอร้อง อยากออกจริงๆ

ไหนเล่นมุกน้าค่อมให้ดูหน่อย

(ทำเสียงน้าค่อม) มันจ้าซะเหลือเกิน
แสงมันเข้าไปในดวงตา

ถ้าตาผมบอด ผมจะข้ามได้ยังไง ถนนตั้ง 8 เลน ทั้งรถบัส รถเก๋ง รถสิบล้อ รถไถ จักรยาน มอ’ไซค์ ไม่ได้แดกกูหรอก
นี่ยังไม่รวมเกาะกลางด้วยนะ

แต่พี่เต๋อเขียนเรื่องนี้ไปแล้ว เดี๋ยวทุกคนจะคิดว่าผมมีน้าค่อมเป็นไอดอล

ซึ่งไม่จริงเหรอ

ซึ่งจริง แต่ช่วยบอกด้วยว่าไอดอลผมคือเป็นเอก
รัตนเรือง คนละด้านกับน้าค่อมเลย ตลกร้าย แต่ผมชอบมาก แบบ เรื่องตลก 69

สรุปเราเป็นคนแบบไหนกันแน่

คนเราก็ไม่ได้มีด้านเดียวนะ พี่ต้อม เป็นเอก
เขาก็คงมีมุมรีแลกซ์ แต่มุมที่เขากำกับ ผมชอบ เป็นไอดอลด้านกำกับ
แต่ผมก็ไม่ได้มีชีวิตกำกับ 24 ชั่วโมง
มีเวลาเฮฮาเล่นมุกน้าค่อมบ้าง ส่วนน้าค่อมเขาคงไม่ได้ตลกตลอด 24 ชั่วโมง เขาคงมีเวลาเครียดของเขาบ้าง

ถ้าผมเห็นใครเป็นไอดอล
คือผมชื่นชมมุมนึงของเขาเท่านั้นเอง จะว่าผมอยากเป็นพี่ต้อม เป็นเอก ก็ไม่ใช่
ผมนับถือการกำกับของเขา หรือพี่เต๋อ ผมก็ชอบงานเขา ชอบการทดลองการกำกับ
แต่ไม่ใช่ว่าเห็นใครเป็นไอดอลแล้วต้องทำตามเขาทุกอย่าง
ผมแค่เก็บความรู้ที่ชอบมาใช้ เหมือนที่มีคนเคยพูดไว้ steal like an artist

แล้วน้าค่อมพูดว่าอะไร

ถึงยังไงผมก็ไม่ข้ามสะพานลอย
นักเลงเขาไม่ข้ามหัวกัน นี่คือ quote น้าค่อมครับ
(หัวเราะ)

ภาพ ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ขอบคุณสถานที่ร้าน Bungkumhouse Records

AUTHOR