โอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์ : นักแสดงหนุ่มน้อยหน้าขรึมผู้โอบกอดทุกโอกาสในการท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง

นาทีนี้คงไม่มีอะไรฮอตไปกว่าซีรีส์ I HATE YOU I LOVE YOU ซึ่งกำลังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ชวนให้แฟนๆ
สืบเสาะเบาะแสแคปภาพมาวิเคราะห์กันทุกฉากทุกตอน ซีรีส์ความยาว 5 ตอนจบเรื่องนี้ได้รวมเอานักแสดงหน้าใหม่ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีจาก ฮอร์โมนส์
วัยว้าวุ่น
มาประชันกันในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และโอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์ ก็เป็นอีกหนึ่งนักแสดงหลักที่น่าจับตามองในบทของ ‘ไอ่’ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่านี่คือบทบาทที่ท้าทายที่สุดบทหนึ่งในชีวิต
ด้วยเหตุผลที่เจ้าตัวบอกอย่างติดตลกว่า “เอาจริงๆ
ในซีรีส์ทั้งเรื่องผมน่าจะพูดไม่เกิน 20 ประโยค”

หลายคนอาจเคยรู้จักเขาผ่านบทของ ‘ภูมิ’ เด็กหนุ่มผู้ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปในภาพยนตร์อินดี้ที่ไปกวาดรางวัลมาแล้วทั่วโลกอย่าง
อนธการ หรือ ‘ซัน’ รุ่นพี่ติสต์แตกใน มาลี
เพื่อนรัก..พลังพิสดาร
แต่ตัวตนที่แท้จริงของโอบจะลึกลับเหมือนตัวละครที่เขาแสดงหรือไม่
ต้องลองนั่งคุยกันก่อนจึงจะรู้

เห็นโอบบ่นว่าซ้อมวอลเลย์บอลเจ็บมือไปหมด
บอกได้ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่บ้างตอนนี้
ตอนนี้ผมกำลังศึกษาอยู่คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 ครับ นอกจากผลงานซีรีส์เรื่อง I HATE YOU I LOVE YOU ก็มีการเตรียมตัวสำหรับ Project
S
ซีรีส์เกี่ยวกับกีฬาซึ่งแถลงข่าวไปเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอน
Pre-Production ครับ แต่ต้องไปเก็บตัวซ้อมวอลเลย์บอลแบบจริงจังเหมือนจะไปแข่งทีมชาติเลย
ปีหน้าก็จะมีซีรีส์ของช่อง GMM TV ด้วยชื่อเรื่องว่า Secret
Seven
เพิ่งถ่ายโปสเตอร์เมื่อสองสามวันก่อนนี่เอง

จุดหักเหจุดไหนในชีวิตที่ทำให้เรามาอยู่ตรงจุดนี้ในทุกวันนี้
บ้านผมมีลูกสามคน พี่สาว น้องสาวของผมจะหนักไปทางดนตรี
เล่นเปียโน ส่วนผมเป็นเด็กลุยๆ ว่ายน้ำ เตะบอล ที่ผ่านมา ผมเล่นกีฬา เล่นแทบจะทุกอย่างเลย
ตอนอายุ 10 ขวบ ภราดร ศรีชาพันธุ์กำลังดังสุดๆ ผมก็เลยขอพ่อไปเรียนเทนนิส
ซ้อมตั้งแต่ 10 โมงถึง 4 โมงเย็น อยู่ที่คอร์ตเทนนิสอย่างเดียว ตีไปตีมาจนเมื่ออายุ
14 ปีก็ติด 1 ใน 100 ของประเทศไทย แต่พอโตขึ้นมาอยู่ ม.4 แม่จับไปเรียนพิเศษ
ทำให้ห่างหายจากการตีเทนนิสไป กลายเป็นเด็กเนิร์ดที่วันๆ
ใช้ชีวิตอยู่แต่ในตึกวรรณสรณ์ เพราะผมเสียใจมากที่สอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาไม่ติด
ก็เลยบอกแม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
ตอนไปเรียนพิเศษก็ได้เจอพี่คนหนึ่งเข้ามาชักชวนให้ไปแคสต์งานโฆษณา

จากตรงนั้นก็เลยได้เริ่มงานในวงการบันเทิง
ใช่ครับ เป็นความบังเอิญมากที่ผมไปเจอพี่คนหนึ่งบนสถานีรถไฟฟ้า
เขาเล่าว่ากำลังทำโฆษณาตัวหนึ่งอยู่ คิดว่าบุคลิกเราตรงกับตัวละครในโฆษณาเขา จึงขอเบอร์ติดต่อไว้
ความรู้สึกตอนนั้นกลัวโดนหลอกมากกว่าตื่นเต้นที่จะได้เป็นดาราอีก (หัวเราะ)
แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ เราเลือกที่จะให้โอกาสตัวเอง
แต่ก็เพลย์เซฟด้วยการไปกับพ่อกับแม่นะ แคสต์โฆษณาผ่านพ้นไป
วันหนึ่งเขาก็โทรมาบอกว่ามิวสิกวิดีโอเพลง ‘สุดท้ายก็ต้องยอม – FiFi Blake’ ยังขาดพระเอกอยู่ ซึ่งผู้กำกับเอ็มวีได้ดูเทปออดิชันโฆษณาของเรา แล้วสนใจก็เลยได้ถ่ายเอ็มวีก่อนโฆษณา

ย้อนกลับไปนิดนึง เมื่อกี้เล่าว่าถนัดกีฬามาตั้งแต่เด็ก
ทำไมตัดสินใจเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์
ผมโชคดีที่ได้เรียนพิเศษกับอาจารย์ปิง ดาว้องก์ ทำให้ได้รู้จักวิชาเศรษฐศาสตร์
คิดว่ามันน่าสนุกดี ตอนแอดมิชชันก็เลย เลือกเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นอันดับที่ 3
จำได้ว่าผมขาดไปร้อยคะแนนเองก็จะได้คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ธรรมศาสตร์ ซึ่งเลือกไว้เป็นอันดับที่
2 แล้ว แต่พอรู้ว่าติดคณะเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ได้เสียใจอะไรเพราะสิ่งที่เราเลือกก็เป็นสิ่งที่เราสนใจทั้งหมด

พอได้มาเรียนจริงๆ แล้วเป็นยังไง
ไม่สนุกเลย (หัวเราะ) ผมจริงจังกับการเรียนนะ
แต่ปีแรกทรมานมาก ด้วยเวลา ด้วยภาระรับผิดชอบอื่นๆ ทำให้ค่อนข้างลำบาก จากการเรียนมัธยมที่ผมเรียนๆ
เล่นๆ ซึ่งพอมาเรียนมหาวิทยาลัยแล้วมันต้องอ่านหนังสือจริงจังมากขึ้น เตรียมตัวสอบเหมือนต้องแอดมิชชันทุกเทอม
ก็เลยทำให้ยังปรับตัวไม่ทัน อยากจะลองสอบใหม่อีกครั้ง แต่ลองดูแล้วไม่ติด
เราก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันไป ปรับตัวให้ได้ โชคดีที่ผมได้เพื่อนดี
เวลาขาดเรียนเพื่อนจะอัดเสียงในห้องเรียนไว้ให้ แต่ที่สุดแล้วมันขึ้นกับตัวเอง ว่าเราทุ่มเทกับมันแค่ไหนด้วย

ตลอดสี่ปีของการเรียนสิ่งที่เราไม่ได้ชอบเปลี่ยนอะไรเราไปบ้าง
ทำให้ได้รู้ว่าเศรษฐศาสตร์มันเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น
และที่สำคัญคือเราได้เรียนรู้ ได้เติบโตขึ้น จากการจัดการชีวิตตัวเอง
บริหารชีวิตตัวเอง เรียนรู้อะไรมากมายจากการอยู่ร่วมกับสิ่งที่เราไม่ได้ชอบ แต่เราแค่สนใจมันแค่นั้นเอง

ถ้าเศรษฐศาสตร์เป็นแค่สิ่งที่เราสนใจ
แล้วอะไรเป็นสิ่งที่เราชอบล่ะ
สิ่งที่ผมชอบ
ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่ตอนสมัครแอดมิชชันรอบสองอยากเข้านิเทศศาสตร์มาก
อยากทำหนัง อยากเรียนรู้เบื้องหลังมากขึ้น อาจเป็นเพราะเราได้มาลองทำงานจริงๆ ด้วย
แต่ว่าผมก็กลัวว่ามันจะเป็นสิ่งที่สนใจอีกอย่างหนึ่ง อาจจะไม่ได้ชอบจริง ๆ อีกก็ได้

แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรคือสิ่งที่เราชอบ
การที่จะค้นพบสิ่งที่เราชอบจริงๆ มันยากนะ มันคงต้องใช้เวลา
ผมถามใครหลายคนก็บอกว่าเขาก็เป็นเหมือนกัน
ไม่ได้เรียนจบมัธยมมาแล้วก็รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองชอบคืออะไร
เพื่อนหลายคนก็บอกว่าสิ่งที่เรียนอยู่ก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น ตอนนั้นพอผมซิ่วไม่ติดก็เลยลงเรียนวิชาโทวารสารศาสตร์แทน
เพื่อจะได้ดูว่าตัวเองชอบจริงหรือว่าแค่สนใจ ซึ่งผมพบว่ามันสนุกครับ
ผมได้เรียนวิชาถ่ายภาพแล้วชอบนะ เสียดายที่หากไม่ได้ดร็อปไปทำ ‘STAR
THEQUE’ GTH 11 ปีแสงคอนเสิร์ต ก็ยังอยากเรียนวิชานี้ต่อ

หลังจากได้ลองทำงานในวงการบันเทิงอยู่หลายปี
ตอนนี้รู้สึกอินกับการแสดงแค่ไหน
มันสนุก มันท้าทายที่การรับบทเป็นตัวละครต่างๆ
ของผมไม่เคยเหมือนกันเลยสักเรื่อง มันดีมากตรงนี้ ที่เราได้มีโอกาสได้เล่นบทที่แตกต่างกันมากเหมือนกัน

ตัวละครตัวไหนเล่นยากที่สุด
ถ้าให้คิดตอนนี้ก็ต้องเป็น ภูมิ ใน อนธการ เพราะตัวละครภูมิเราต้องตีความอะไรหลายๆ
อย่างเอง ต้องผ่านประสบการณ์อะไรมากมาย แล้วต้องเล่นบทชายรักชายด้วย การเล่าแต่ละอย่างมันซับซ้อนเพราะต้องมาดูว่าผู้กำกับตีความแบบไหน
นักแสดงตีความอย่างไร คนดูตีความไปไกลแค่ไหน

การแสดงเป็น ไอ่ ใน I HATE
YOU I LOVE YOU
พิเศษกว่าเรื่องอื่นๆ ยังไง
การรับบทเป็น ไอ่ ยากตรงที่การแสดง เพราะเรื่องนี้แทบไม่ได้พูดเลย
แล้วด้วยความที่พี่ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ เป็นคนกำกับ ให้โจทย์มาว่าเราต้องแสดงออกผ่านสายตา
สีหน้า ท่าทาง เพราะไอ่เป็นคนนิ่งๆ พูดน้อยมาก หากร่างกายไม่ได้สื่ออะไรออกมาเลยก็จะดูเป็นคนอึนๆ
ไม่น่าค้นหา ซีรีส์เรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของคน 5 คน
ในช่วงเวลา 5 วันก่อนเกิดเหตุบางอย่าง แต่ละตอนจะเล่าว่าตัวละครแต่ละตัวทำอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง
ซึ่งเรื่องนี้จะไม่สนุกเลยถ้านักแสดงแต่ละคนทำการบ้านมาไม่ดี เพราะเราต้องรู้ดีที่สุดว่าก่อน
5 วันนี้ตัวละครมีลักษณะนิสัยอย่างไร ปกติเวลาถ่ายทำจะมีพี่ Co-director
มาช่วยทำอารมณ์ให้ แต่ว่าเรื่องนี้ผมอยากลองดูด้วยตัวเอง มันเป็นซีนสำคัญของเรื่องที่เล่นยากที่สุดในบทของไอ่
ผมดีใจและภูมิใจมากที่ตัวเองทำได้ โดยที่พี่เขาไม่ต้องมาช่วยและพี่ย้งไม่ติอะไรเลย

คิดว่าเพราะอะไรถึงทำได้
ผมว่ามันเป็นเรื่องความใส่ใจ ความทุ่มเท
ความอินในตัวละคร แล้วก็ข้อจำกัดในการแสดงออกของตัวละครด้วย เรื่องนี้เวิร์กช็อปแค่ครั้งเดียว
แล้วก็มีการอ่านบทเข้าคู่เลย ทำให้ผมต้องทำการบ้านหนักมาก
ต้องวิเคราะห์ตัวละครเยอะมาก แล้วก็เรื่องนี้ถ่ายด้วยเวลาจำกัด
ส่วนใหญ่ถ่ายกลางคืน ถ้าเราเล่นไม่ดีพอจะยิ่งดึงเวลาให้ยาวออกไปเรื่อยๆ จนต้องตัดบางซีนก็ต้องไปถ่ายวันอื่น
งบก็ยิ่งมากขึ้น เราก็เลยทำการบ้านมาหนักมาก

ประเมินผลงานการแสดงของตัวเองมากน้อยแค่ไหน
ผมพยายามประเมินการทำงานจากมาตรฐานของตัวเอง
ไม่อยากให้มันตกลงกว่าเดิม แต่พอพูดถึงตัวละครแต่ละตัว มันเอามาตรฐานเดิมมาเทียบกันไม่ได้
ผมว่าขึ้นอยู่กับความพอใจของเราและผู้กำกับ ผมจะคาดหวังไว้ประมาณหนึ่ง
ได้แค่นี้ก็พอใจแล้ว แต่หากสมมติว่าทำได้มากกว่านั้นอีกก็ถือว่าเป็นกำไร ส่วนเรื่อง I HATE YOU I LOVE YOU ผมถือว่าพอใจมาก เพราะผมไม่เคยรับบทที่ต้องแสดงออกผ่านทางสีหน้าแววตาอะไรมากขนาดนี้มาก่อน
ผมอยากรับบทแบบนี้มานานแล้ว รู้ว่ามันยากและท้าทายมาก
พอได้บทแบบนี้มาก็ตั้งใจว่าจะเอาให้อยู่ให้ได้

อะไรทำให้รู้สึกว่าต้องท้าทายตัวเองขนาดนั้น
ตอนเล่นซีรีส์เรื่อง ‘อยู่ที่เรา‘ ผมโดนพี่ย้งคอมเมนต์หนักมาก
ช่วงแรกๆ ผมจูนกับเขาไม่ติด ด้วยวิธีการทำงานด้วย เขาสั่งให้เราเปลี่ยนทันทีแต่เราทำไม่ได้ต้องผ่านไปสองสามเทคก่อน
แต่มันไม่ได้ เราต้องให้สิ่งที่เขาต้องการให้ได้ เวลาถูกกดดันผมจะค่อนข้างนอยด์นิดหนึ่ง
ซึ่งการที่จะหลุดออกไปจากความรู้สึกตรงนี้ได้เราต้องไม่คิดอะไรเลย
ได้ยินอะไรก็รับรู้ไว้ เขาคอมเมนต์มาก็รับรู้ไว้ โอเค ฟังสิ่งที่เราต้องปรับ
อะไรที่ฟังแล้วทำร้ายจิตใจก็ปล่อยไป ผมว่าการที่เขาไม่กดดันเลยก็จะทำให้เราสบายๆ
มันจะทำให้งานออกมาไม่ดี ผมชอบความกดดันนะ มันจะทำให้เราอยากผลักดันตัวเองไปด้วย

คาดหวังกับอาชีพการแสดงมากแค่ไหน
เอาจริงๆ ผมสนุกกับอาชีพการแสดงที่ทำอยู่ตอนนี้มาก แต่ก็รู้ว่ามันเป็นอาชีพที่มีอายุการทำงานจำกัด
ผมอยากจะมีธุรกิจอะไรบางอย่างที่มั่นคงเป็นหลักไว้ ที่คิดไว้คืออยากเปิดร้านไอศครีม
เพราะผมชอบกินไอศครีมมาก ตอนไปถ่ายทำ Frozen Hormones ที่ญี่ปุ่นผมกินสามเวลาหลังอาหารเลย
ชอบกินมาตั้งแต่เด็กๆ กินแล้วมันมีความสุข

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR