“ความผิดหวังเป็นพาร์ตหนึ่งของชีวิต” อัด อวัช กับทางเดินชีวิตที่ปล่อยให้ไหลไปตามจังหวะ

Highlights

  • อัด–อวัช รัตนปิณฑะ คือนักแสดงในสังกัดนาดาวบางกอก ผู้ฝากผลงานการแสดงมาแล้วมากมาย ทั้ง Hormones วัยว้าวุ่น, เพื่อนเฮี้ยน..โรงเรียนหลอน, น้ำตากามเทพ, I Hate You, I Love You และ โปรเจกต์ เอส เดอะซีรีส์ ตอน SPIKE! เพราะบทบาทที่ได้รับไม่ได้หวือหวาถึงขนาดทำให้ใครหลายคนจดจำเขาได้ ยิ่งเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมสังกัด ไฟฝันที่มีจึงเริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ หลายครั้งทำให้เกิดคำถามว่านี่เราเหมาะกับการแสดงจริงๆ หรือเปล่า
  • หลังผ่านความกดดันที่มี โบยตีตัวเองมาหลายครั้ง ชวนนั่งลงดูหนังว่าด้วยเส้นทางชีวิตที่อัดได้เรียนรู้

“น้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง แค่อยากทำสิ่งที่เรารักทำไมมันถึงยากจัง เหมือนกับว่าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่พอ” คือสิ่งที่ อัด–อวัช รัตนปิณฑะ เอ่ยปากเล่าให้ฟังถึงเส้นทางการแสดงครั้งที่ผ่านๆ มา 

หลังฝากผลงานการแสดงไว้ในซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น ซีซั่น 1 กับบทบาทที่ไม่ได้หวือหวาและอาจทำให้ใครหลายคนจดจำว่าเขาเป็นเพียงเพื่อนพระเอก เขายังคงปรากฏตัวในละครและซีรีส์เรื่องอื่นๆ อยู่เสมอ เป็นนักแสดงอีกคนที่มีผลงานให้เห็นอยู่บ่อยๆ จนทำเอาเราไม่คาดคิดว่าคนอย่างเขาจะมีบางจังหวะของชีวิตที่ทำให้ตัดสินใจหอบความฝันที่หลงเหลืออยู่ใส่กระเป๋า ออกเดินทางค้นหาโอกาสใหม่ๆ ด้วยการขุดรื้อความฝันด้านอื่นๆ อย่างการเป็นนักร้องและการเป็นผู้กำกับขึ้นมาทำ 

หลังผ่านความกดดันที่ถือเป็นประสบการณ์ชีวิต ปีนขึ้นเขาลูกใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า “ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก” คือประโยคที่เขาพูดขึ้นแทบนับครั้งไม่ถ้วนตลอดการพูดคุยกัน 

สรุปแล้วเขาได้เรียนรู้อะไรบ้าง 5 4 3 2 1 แอ็กชั่น! นักแสดงผู้สั่งสมประสบการณ์มากว่า 8 ปี นักร้องนำวง mints และผู้กำกับมือใหม่อย่างเขา พร้อมแล้วที่จะลงเล่นลงเล่าให้ฟังด้วยตัวเอง

เพราะที่บ้านทำธุรกิจร้านอาหารกึ่งลานเบียร์มาก่อนจึงทำให้ผูกพันกับดนตรีและเริ่มสนใจอยากเป็นนักร้อง กับความสนใจด้านการแสดงและการกำกับเริ่มต้นมาจากจุดเดียวกันด้วยหรือเปล่า

อาจจะมีผลนะ ชีวิตวัยเด็กเราเลยเหมือนขลุกอยู่กับเสียงเพลง สำหรับผมดนตรีและภาพยนตร์เหมือนมีส่วนเกี่ยวข้องกันมาเรื่อยๆ แต่ที่ผ่านมาเราไม่ได้แยกชัดเจนว่าเราอยากไปทางไหนร้อยเปอร์เซ็นต์ เรารู้สึกว่ามันเป็นของที่ควบคู่กัน เป็นเรื่องของอารมณ์ การสื่อสาร เราเลยชอบทั้งสองอย่าง 

แต่จุดเริ่มต้นที่ดึงผมเข้าไปชอบโลกของการแสดงหรือภาพยนตร์จริงๆ คือเรื่อง แฟนฉัน จำได้เลยว่าตอนนั้นอายุ 6 ขวบ แม่พาไปดูหนังในโรงเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วเรารู้สึกว่ามันอะเมซิ่งมาก อินมาก ไม่เข้าใจหรอกว่าหนังเรื่องนี้มันบอกอะไรเรา แต่ดูจบแล้วอยากเป็นเพื่อนกับเด็กกลุ่มนี้มาก เหมือนมันรีเลตกับเราโดยไม่รู้ตัว เพลงประกอบเราก็ชอบมาก ดูจบแล้วต้องขอแม่ซื้อเทปเก็บไว้เลย 

พอโตขึ้นความฝันด้านการเป็นนักร้องก็เหมือนจะเกิดบ่อยขึ้น เราติดตามการประกวดร้องเพลงมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมีภาพว่าอยากขึ้นไปร้องเพลงอยู่บนเวทีบ้าง พออายุถึง 15 เลยลองไปออดิชั่น AF7 ดู มี 3 วันก็ไปทั้ง 3 วัน ได้ร้องวันละไม่ถึง 10 วินาที วันแรกไม่ได้ วันที่ 2 ไปใหม่ยังไม่ได้ วันที่ 3 ไปใหม่ สุดท้ายไม่ได้สักวัน ตอนนั้นเรารู้สึกว่าสงสัยกูคงไม่เหมาะกับการเป็นนักร้องมั้ง ความฝันเหมือนถูกเขี่ยออกไป ตอนนั้นเราเริ่มแคสต์โฆษณาแล้วด้วย เลยเหมือนเป็นลูปว่างั้นเราจะไปตั้งใจโฟกัสกับงานแสดง ก็แคสต์งานมาเรื่อยๆ ประมาณ 2 ปีกว่าๆ ถึงได้เริ่มเล่น Hormones ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตนับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

แสดงว่าก็พอจะมีแววด้านการแสดงอยู่บ้าง

ก็คิดว่ามีนะ (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ เราชอบแสดง ดูหนังแล้วชอบมาหัดร้องไห้หน้ากระจก ลองดูว่าเขาทำกันยังไง แต่เราแค่ไม่เคยเผยด้านนี้ให้ใครเห็น ไม่อยากให้ใครรู้ว่าลึกๆ แล้วเราอยากเป็นนักแสดง เพราะเมื่อก่อนมันมีสเตอริโอไทป์ของนักร้องนักแสดงอยู่ ยิ่งเราโดนเรียกว่า ไอ้เตี้ย ไอ้จิ๋วมาตลอด เจอใครก็โดนทักว่าเมื่อไหร่จะสูง เลยทำให้ลึกๆ ไม่มั่นใจว่าเราดีพอที่จะอยู่ในวงการนี้หรือเปล่า เหมือนเราต้องสู้กับสิ่งนี้มาตลอด อยากทำแต่ก็กลัว พอได้เริ่มเล่นโฆษณา ได้เล่น Hormones ก็เริ่มมีความคิดว่า เฮ้ย หรือเราก็ทำได้ หรือมันก็มีที่สำหรับไอ้เตี้ยแบบเรา ก็เลยเริ่มทลายกำแพงตัวเอง ทลายความกลัว ความมั่นใจก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น คำพูดที่เคยมีอิทธิพลกับเราตอนเด็กก็ค่อยๆ ทลายไป

ครั้งแรกที่ได้รู้จักการแสดงแบบจริงๆ รู้สึกยังไง

เหมือนเราได้เจอโลกใหม่ ได้เรียนรู้อารมณ์ ได้รู้จักมนุษย์ในหลายมิติ หลายรูปแบบ ผมเป็นคนสนใจเรื่องความเป็นมนุษย์อยู่แล้วด้วย พอได้ลองมาเล่น Hormones เลยสนใจเรื่องการแสดงมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นมองภาพไว้ว่าเราอยากเป็นนักแสดงชื่อดังนะ แค่รู้สึกว่าชอบทำสิ่งนี้และอยากจะทำ จะทำยังไงได้บ้างให้เส้นทางนี้ดำเนินต่อไปได้ เลยเริ่มจาก Hormones แล้วก็พยายามพัฒนาตัวเองต่อไป เหมือนพอทำไปสักพักเราก็เริ่มมีเป้า เริ่มอยากเป็นนักแสดงที่จะได้เล่นบทที่ได้ใช้ฝีมือ ได้พิสูจน์ความสามารถ

 

เคยบอกไว้ว่าการเกิดมาในยุคที่มีดาวเยอะแยะไปหมดก็ทำให้ท้อแท้เหมือนกัน เปรียบเทียบว่าตัวเองอาจเป็นเพียงเศษดินในหมู่ดาว อะไรทำให้คิดอย่างนั้น

ด้วยข้อจำกัดของ appearance เราไม่ใช่ไทป์สูงยาวเข่าดีที่คนจะเลือกให้เล่นเป็นพระเอก เราเป็นไทป์เฉพาะมากๆ เป็นสายคาแร็กเตอร์ ช่วงที่เริ่มมี Hormones The Next Gen เลยเป็นอะไรที่ทรมานมาก เป็นความรู้สึกที่เศร้าอยู่เหมือนกัน เป็นความเข้าใจที่ไม่เข้าใจ อาจเพราะตอนนั้นเราเด็กด้วยแหละ เรามีไฟ เรามีฝัน เราอยากก้าวไปข้างหน้า แต่เราไม่เคยถอยออกมาดูว่าเราเก่งจริงหรือเปล่า เราเล่นดีจริงเหรอวะ หรือคาแร็กเตอร์เรามันน่าสนใจจริงๆ ไหม เราเลยไม่รู้ว่าเราไม่ดีตรงไหน ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร ทำไมเราถึงไม่ได้รับโอกาสให้ไปเป็นตัวนำ ไม่ได้รับโอกาสให้ทำงานเหมือนคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่เราก็เป็นคนที่ตั้งใจมาตลอด ทำอะไรทำเต็มที่ ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ทั้งๆ ที่หลายๆ คนเข้ามาหลังผมด้วยซ้ำ แต่ทำไมทุกคนกลับมีโอกาสได้เดินไปข้างหน้า มีโอกาสได้ก้าวไปไกลกว่าเรา

มันเลยทั้งน้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง รู้สึกว่าการที่เราแค่อยากจะทำสิ่งในที่เรารักทำไมถึงยากจัง เหมือนกับว่าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่พอ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงอีกในเมื่อเราก็พยายามในทุกๆ ทางอย่างสุดความสามารถแล้ว เหมือนเราก้าวเข้ามาได้หนึ่งก้าวแล้วไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อ ไม่เห็นทางไปของชีวิต เป็นจุดที่ทำให้เรานอยด์แหละ ท้อ สู้กับอะไรประมาณนั้นมานานจนเริ่มคิดว่าหรือกูไม่ทำแล้ววะ เริ่มกลับมาตั้งคำถามเดิมกับตัวเองว่าหรือกูไม่เหมาะกับการเป็นนักแสดง 

เหมือนเราโบยตีตัวเอง เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

ใช่ ผมเป็นสายชอบเปรียบเทียบอยู่แล้วด้วย ตั้งแต่เด็กๆ เราถูกเลี้ยงมาให้ช่วยเหลือตัวเอง คิดเอง ทำเอง อยากได้อะไรต้องหามาเอง เป็นมนุษย์ที่ตั้งใจอะไรแล้วต้องทำให้ได้และต้องทำให้ดี มีความเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ประมาณหนึ่ง เราเลยทรมานไปตามประสาวัยรุ่นว้าวุ่น แต่ตอนนี้ที่โตขึ้นมาหน่อยเรามองเห็นแล้วว่าจริงๆ มันยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก วันนั้นเราอาจจะแค่ไม่เหมาะกับตรงนั้น ความสามารถเราอาจจะยังไม่ถึงจริงๆ หรือคนอื่นเขาอาจจะแค่กลมกล่อมกว่า พร้อมใช้งานกว่า ความสามารถเขาเยอะกว่า มันก็แค่นั้น พอผ่านจุดนั้นมาเราก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าทุกอย่างมันมีเหตุและผล วันนั้นเราแค่ไม่เข้าใจว่ามันต้องทำยังไง เรายังโตไม่พอ มันก็เลยเจ็บปวด เป็นวัยฮอร์โมนที่แท้จริง (หัวเราะ)

 

จัดการกับความรู้สึกนั้นยังไง

ดีลยากมาก ตอนนั้นมีแต่ความรู้สึกผิด รู้สึกแย่ ยิ่งผมไม่ได้เป็นคนมองโลกแง่บวกมากอยู่แล้ว ก็จะยิ่งมองว่าตัวเองแย่ ตัวเองไม่ดีพอ มันเป็นช่วงชีวิตที่ทรมานเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ทำได้แค่จมอยู่กับก้อนความคิดแย่ๆ นั้น จมจนชา จมจนสุดท้ายก็คิดได้ว่าปล่อยไปอย่างนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร นอยด์ไป น้อยใจในโชคชะตาไป สุดท้ายโอกาสก็ไม่ได้เดินมาหาเราอยู่ดี เหมือนทำให้หันกลับมาคิดว่าการที่เรายังไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ก็อาจจะแปลว่าวันนี้ยังไม่เหมาะกับเราก็ได้ ในเมื่อเราสู้มาสุดๆ แล้ว พยายามยังไงก็ไม่ได้ งั้นก็ไม่เป็นไร เราจะไม่รอโอกาสแล้ว จะออกไปสร้างโอกาสให้ตัวเอง ด้วยการลองหันไปทำอย่างอื่นที่เราชอบเหมือนกัน เคยฝันอยากเป็นนักร้อง งั้นก็แค่ลองออกไปทำดู ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้กำกับมาตลอด งั้นเราก็ไปฝึกงานกำกับ ทำงานเบื้องหลัง ออกจากความรู้สึกแย่ๆ เหล่านี้ด้วยการปล่อยให้มันชา ปล่อยให้มันตกตะกอนกับตัวเอง เหมือนเรายอมรับความจริงได้ว่าถ้าวันนี้มันไม่ใช่วันของเรา เราก็แค่ต้องมูฟออนไปสู่สิ่งใหม่ที่มันอาจจะเหมาะกับเรา ไปโฟกัสสิ่งอื่น และจะทำมันให้ดี

เพราะเหตุการณ์นั้นเลยทำให้จากที่มองว่าชีวิตมีเพียงเส้นตรงเส้นเดียว จริงๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายทางเลือก

ใช่ ผมคุยเรื่องนี้กับแม่บ่อยมากเลยนะ เหมือนตอนเด็กๆ เราจะยึดว่าอยากเป็นนักแสดง ชีวิตนี้อยากเป็นแค่นักแสดง แต่แม่ก็จะบอกตลอดว่าสุดท้ายแล้วมันไม่มีทางรู้หรอกว่าเราจะได้เป็นสิ่งนั้นจริงๆ หรือเปล่า ชีวิตมันคือการอยู่กับความเป็นจริง มันคือการมองความเป็นจริงแล้ว adapt ตัวเองไปตามสถานการณ์ อย่าไปยึดติดกับอะไรมาก เพราะยิ่งเรายึดติด เวลาผิดหวังเราก็ยิ่งเจ็บ กว่าจะผ่านตรงนั้นมาได้ก็ไม่ได้ง่าย ผิดหวังไหมมันก็ผิดหวังแหละ เพราะการเป็นนักแสดงก็คือความฝันหนึ่งของเรา แต่พอโตขึ้นมันก็ทำให้รู้ว่าความผิดหวังก็เป็นแค่พาร์ตหนึ่งของชีวิตมากกว่า สุดท้ายแล้วพอเราโตขึ้น เราเปลี่ยนไป ความฝันเกิดขึ้นใหม่ทุกวัน เรามีเป้าหมายใหม่เกิดขึ้น เรื่องนี้มันผิดหวังแหละ แต่พอเปลี่ยนมุมมองได้ ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความผิดหวังที่เกิดประโยชน์กับชีวิต เราผิดหวังก็จริง แต่พอลองมองอีกมุมเราก็เจอข้อดีว่า เฮ้ย นี่แม่งคือค่ายในฝันกูนะเว้ย เราได้อยู่ในค่ายที่ทำหนังที่มีอิทธิพลกับชีวิตเรา มันก็ดีแค่ไหนแล้วที่เราได้มาอยู่จุดนี้ 

มองย้อนกลับไปถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราโตขึ้นจริงๆ ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆ จนบางครั้งเราก็คิดว่าดีเหมือนกันที่เป็นอย่างนี้ เพราะนี่แหละคือชีวิต สิ่งที่เราอยากได้มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ มันทำให้เรามองชีวิตในความเป็นจริง ทำให้เห็นว่าถ้าเส้นทางที่เราคิดไว้มันเป็นไปไม่ได้ เราจะไปทางไหน สุดท้ายแล้วเราก็แค่ต้องมองทุกอย่างบนความเป็นจริง แล้วก็ go with the flow จริงๆ ถ้าวันนี้มันไหลไปทางอื่น เราก็ต้องพร้อมที่จะไปกับมัน แต่ก็ไปด้วยความตั้งใจ ความอยากที่จะทำมันจริงๆ ไม่ได้ฝืนตัวเอง 

ตั้งแต่ช่วง Hormones ซีซั่น 3 ที่ขอมาฝึกงานเบื้องหลังกับนาดาว ตอนที่ได้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับทำโปรเจกต์ HUMAN ERROR จนถึงการก้าวมาเป็นผู้กำกับเต็มตัวใน กักตัว Stories คิดว่าพี่ๆ เห็นอะไรในตัวเราถึงไว้ใจให้ทำ

นั่นน่ะสิ ตอบยากเหมือนกัน (หัวเราะ) อย่างหนึ่งที่ผมอาจจะทำให้เขาเห็นตลอดคือ เราเป็นคนที่ตั้งใจกับทุกเรื่องที่ได้รับมอบหมาย เราทำมันจนสุดความสามารถ กัดไม่ปล่อย แม้ว่ามันจะยากขนาดไหน สุดท้ายเราก็จะหาวิธีการที่จะทำให้เกิดขึ้น เป็นจริงให้ได้ 

 

แล้วอะไรทำให้เรามั่นใจว่าตัวเองจะทำสิ่งเหล่านั้นได้

เราพยายามจะศึกษาเยอะๆ ยิ่งเรารู้ว่าเราใหม่ ไม่เก่ง ก็ต้องพยายามมากขึ้น เราขาดตรงไหนก็ต้องกล้าที่จะถาม ผมอาจจะไม่กลัวโง่มั้ง ไม่รู้ตรงไหนก็แค่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เพราะว่าใหม่ก็คือใหม่ ผมคิดอย่างนี้กับทุกเรื่องเลย mints ก็เหมือนกัน ผมเล่นดนตรีไม่เป็น แต่ในเมื่อเราอยากทำสิ่งนี้ ไม่รู้เราก็แค่ถาม ถ้าเราอยากจะทำมันจริงๆ ยังไงมันก็มีทางให้เราไป เราแค่ต้องพยายามหาหนทางพยายามไปสู่สิ่งนั้นให้ได้ สเตปมันอาจจะไม่ได้เป๊ะ มันอาจจะช้า-เร็วอยู่ที่ว่าเราเจออะไร 

อีกอย่างคือผมเชื่อในตัวเองมั้ง เชื่อในสิ่งที่เราคิดและอยากทำมันจริงๆ ว่ามันจะต้องเกิดขึ้นให้ได้ เชื่อว่าถ้าเราตั้งใจจริงๆ สุดท้ายผลลัพธ์ก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ออกมาดี ออกมาโอเค

เดาว่าต้องแบกความกดดันเอาไว้เพียบ

กดดันนะ คิดตลอดว่าทำไมพี่เขาถึงมาชวนเรา แต่การที่เขาชวนก็แปลว่าเขาอาจจะเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา แล้วเราก็รู้สึกว่านี่คือโอกาสดีมากที่เราจะได้ทดลองทำ การที่พี่เขายื่นโอกาสมาให้แปลว่าเขารู้อยู่แล้วว่าเราใหม่และพร้อมที่จะทดลอง พร้อมที่จะเสี่ยงไปกับเรา ก็รู้สึกว่าในเมื่อมันมีโอกาสที่จะได้ทำทำไมถึงไม่ทำสิ่งนี้ อย่างน้อยๆ มันคือการเรียนรู้ที่ผมจะได้อะไรเยอะมากๆ เราคิดแค่นั้น เราอยากเรียนรู้เราก็เลยเริ่มทำ ซึ่งมันก็ได้เรียนรู้จริงๆ นะ เหมือนเราโดนผลักตกลงน้ำแล้วต้องหาทางว่าย ต้องไปลองเรียนท่าลูกหมาตกน้ำด้วยตัวเองให้สุดทางก่อน สุดท้ายถ้าเราไม่ไหว เราจะจม พี่ๆ ที่ยืนอยู่ตรงขอบสระก็พร้อมจะยื่นมือมาช่วยเรา มันเป็นวิธีนั้น ซึ่งผมว่ามันดีมากเลย ทำให้เราได้เรียนรู้ ได้เข้าใจกระบวนการ รู้แล้วว่าเวลาพี่ๆ ทำงานหรือทำซีรีส์สักเรื่องมันไม่ง่าย ทำให้เราเข้าใจไปถึงวันนั้นที่เราอยากเป็นนักแสดง ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ต้องเลือกสิ่งที่มันเหมาะกับตัวหนังตัวซีรีส์ของเราที่สุด เข้าใจในหลายๆ มิติมากยิ่งขึ้น

 

การกำกับครั้งนี้แตกต่างไปจากตอนเป็นผู้ช่วยย้ง ทรงยศ หรือตอนกำกับเอ็มวีเพลงตัวเองไหม

ผมว่ายากกว่าเยอะเลย ที่ผ่านมาเราทำเป็นเชิง documentary เชิง behind the scene เป็นเอ็มวีที่เป็นสตอรี ไม่ต้องมีบท ไม่ต้องเล่าอะไรเยอะมาก เหมือนเป็นการจับโมเมนต์มาใส่มากกว่า เรื่องนี้ยากเพราะต้องเล่าผ่านบท ตัวละคร การพูดคุยหลายๆ อย่างที่ต้องลงดีเทล เหมือนเราสร้างมันขึ้นมา ผมไม่เคยเขียนบทอย่างจริงจัง ไม่เคยขึ้นโครงเองทั้งหมด ทุกอย่างมันเลยยากมากสำหรับผม มันมีหลายกระบวนการที่เราต้องคิด จะควบคุมการถ่ายทำยังไง จะบรีฟนักแสดงให้เข้าใจต้องทำยังไง เวลาเวิร์กช็อปจะสื่อสารยังไงให้นักแสดงแสดงเป็นตัวละครที่เราต้องการ ยิ่งเป็นเรื่องแรกที่เราทำงานผ่านแค่ออนไลน์ มันเลยเหมือนมีข้อจำกัดที่ยากขึ้นไปอีก เราอยากได้มุมกล้องนี้ แต่นักแสดงไม่ได้ถนัดในงานเบื้องหลัง ด้วยระยะเวลาที่มีการเตรียมตัวไม่เยอะ ก็จะมีความล่ก มีความกลัวอยู่ ค่อยๆ แบ่งรับแบ่งสู้ ค่อยๆ มีสติมากขึ้น

สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการทำสิ่งนี้เลยคือไม่ว่าจะนอยด์แค่ไหนสิ่งสุดท้ายที่มันต้องกลับมาคือสติ เพราะในฐานะไดเรกเตอร์เราต้องพางานเดินต่อไปให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าเราจะเขียนบทไม่ออกหรือบทจะไม่เสร็จ สุดท้ายมันแค่ต้องคิดว่าจะทำยังไง จะจมอยู่กับความเครียดแล้วปล่อยเกียร์ว่างไม่ได้ ยังมีคนรอทำงานต่อจากเราอยู่ มันเป็นความกดดันนั่นแหละ แต่ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้ ได้จัดการการทำงานของตัวเองให้ดีขึ้น

ความเป็นคนประเภท ‘คิดจะทำอย่างนี้แล้วฉันต้องทำให้ได้’ มันเป็นอุปสรรคหรือข้อดีให้กับการทำงานกำกับของเรายังไงบ้าง

ผมว่าก่อนหน้านี้ผมเป็นอย่างนี้หนักมาก เป็นพวกจะเอาผลแบบนี้ก็ต้องได้แบบนี้ แต่พอเราผ่านงานมาเยอะขึ้น สิ่งหนึ่งที่ผมแคร์มากคือคนที่ทำงานด้วยกัน แคร์ทีมงาน แคร์คนอื่นๆ ที่เขามาช่วยเราทำ เราจะคิดว่างานนี้เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีพวกเขา ผมมีสิ่งที่ผมอยากได้ แต่ก็พยายามจะฟังว่าทุกคนมีความเห็นยังไงบ้างหรือมองมุมที่ต่างออกไปยังไง เราพยายามจะฟังให้มากที่สุด ยิ่งกับการกำกับเรื่องนี้ มันเหมือนว่าพอเราใหม่เรายิ่งรู้สึกว่าต้องเรียนรู้จากคนที่เขาทำมาแล้ว เพราะทีมงานและพี่ๆ ทุกคนผ่านงานมาเยอะกว่าผม ผมเลยรู้สึกว่าไม่ได้ เราต้องเป็นแก้วที่พร้อมจะเข้าไปเรียน ไปเติม มากกว่าที่จะเข้าไปแบบน้ำเต็มแก้วแล้วบอกทุกคนว่าจะทำยังไง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมีความแน่นอน มีความชัดเจนบางอย่างที่เราอยากได้จริงๆ

ผมว่ามันต้องบาลานซ์เยอะเหมือนกัน เพราะบางทีเราก็จะมีความกลัวว่ามันจะไม่ดีหรือเปล่าอยู่ แต่สุดท้ายพอถึงเวลาปุ๊บ คนที่ตัดสินใจจริงๆ คือเรา พอเขาเสนออะไรมา มันก็เป็นเราอยู่ดีที่ต้องตัดสินใจว่าจะทำยังไง

 

เพราะบอกเสมอว่าทั้งการแสดง การเป็นนักร้อง และการเป็นผู้กำกับ คือความฝันที่แยกไม่ได้ อยากทำงานด้านนี้ควบคู่กันไปและพยายามจะทำให้ทั้งหมดออกมาดี คิดว่าตัวเองทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ไหม สามารถ multitask ทุกอย่างที่อยากทำให้ออกมาดีได้จริงหรือเปล่า

ผมดีใจนะที่ตัวเองเป็นเป็ด ผมทำหลายอย่างจริงๆ ทำเบื้องหลัง เป็นนักแสดง นักร้อง ดีเจ พิธีกร แต่สุดท้ายในวันหนึ่งเราก็ต้องมาจัดลำดับความสำคัญว่า ณ วันนี้อะไรสำคัญที่สุด ตั้งโกลให้ตัวเองว่าปีนี้จะทำอะไรเป็นหลัก อยากเรียนรู้อะไร อยากไปด้านไหนที่สุด เพราะบางทีโอกาสก็เข้ามาพร้อมกัน เราแค่ต้องเลือก ต้องตัดสินใจ เสียดายกับบางโอกาสที่เข้ามาได้ แต่สุดท้ายเราก็ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเลือกทำ การ multitask แบบนี้ก็ไม่เสียหายอะไร แต่ละปีเดี๋ยวมันก็คงจะสลับกันว่าความชอบไหนจะขึ้นมาก่อน ปีหน้าผมอาจจะได้เล่นหนัง mints อาจจะปล่อยเพลงแล้วประสบความสำเร็จ ลำดับความสำคัญก็อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ซึ่งผมว่านี่แหละทำให้เรากลับมามองโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น สุดท้ายเรา based on ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น แล้วเราก็แค่อิมโพรไวส์ไปกับหน้างาน แค่เชื่อว่าสุดท้ายแล้วเราไม่จำเป็นจะต้องยึดติดอยู่กับแค่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง สุดท้ายเราก็จะจัดลำดับให้ลงตัวกับชีวิตของเรา

ยังไล่ตามความฝันอยู่ไหม ในเมื่อก็ได้ทำมาครบแล้วทุกอย่างที่อยากทำ

แต่ผมว่าทุกอย่างที่ผมไล่ตามมันเพิ่งเริ่มต้นเองนะ ผมอาจจะแค่เป็นคนโชคดีที่เราอยากทำอะไรแล้วเราได้รับโอกาส เราก็แค่เรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมาว่าทุกโอกาสที่เราได้รับ เราแค่ต้องทำมันให้ดีที่สุด เราอาจจะได้เรียนรู้อะไรจากมัน อาจจะได้ไปต่อจากมัน แต่อนาคตก็เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ผมเลยรู้สึกว่าผมเพิ่งได้รับโอกาสหลายๆ อย่าง เพิ่งได้เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ มันยังมีทางอีกไกลที่เราจะต้องไป ความฝันมันเกิดใหม่ขึ้นทุกวันและผมคิดว่ามันไม่มีวันสิ้นสุดหรอกว่าพอได้ทำ ได้เล่นซีรีส์สักเรื่อง แล้วมันคือจุดจบของความฝัน มันไม่มีวันจบจริงๆ สุดท้ายมนุษย์เรามันต้องการ มีอะไรเกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา ความต้องการ ความฝันเราจะเพิ่มมาแล้วจบไป เพิ่มมาแล้วจบไป แต่เราก็มองจากปัจจุบันของเรานี่แหละว่าเราได้เริ่มทำความฝันของเราแล้ว เราจะทำมันต่อไปเรื่อยๆ แล้วที่เหลือในอนาคตมันจะเปลี่ยนไปยังไง ไปทางไหน เราก็แค่ go with the flow และเดินไปกับมัน อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นให้ได้

ผมคิดว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นยังไงเราก็พร้อมรับสิ่งที่เข้ามา พอผ่านเรื่องต่างๆ มาเราก็คิดว่าปรับตัวเองให้คิดแบบนั้นได้ง่ายขึ้น แต่ก็คงไม่ใช่ว่าปรับได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราแค่เข้าใจวิธีคิดว่าเป็นแบบนี้จะเจ็บน้อยลงกว่า คิดได้ว่าชีวิตมันก็แค่นี้ ดูแก่มาก แต่ในช่วงที่ผ่านมามันตกตะกอนได้แบบนี้จริงๆ เราได้เรียนรู้ว่าชีวิตมันก็แค่นี้ มันควบคุมอะไรไม่ได้ แค่ต้องอยู่กับความเป็นจริง และหาทางไปต่อในแบบของเรา

เป้าหมายตอนนี้คืออะไร โฟกัสกับอะไรอยู่

มันก็มีหลายอย่างเหมือนเดิมแหละ พาร์ตเพลงเราก็ยังจะทำต่อไป การแสดงเราก็ยังชอบเหมือนเดิม แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดคืออยากเรียนรู้ให้เยอะที่สุด คิดว่า 3 ปีหลังจากนี้เราอยากขึ้นมากำกับงานที่สเกลใหญ่ขึ้น ในช่วงนี้เราก็อยากเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ทำชิ้นงานต่างๆ พัฒนาตัวเองในทุกๆ ทาง เหมือนโกลเราเริ่มชัด ที่เราเคยฝันไว้ว่าอยากเป็นผู้กำกับตอน ม.4 มันกลับมากลายเป็นโกลแรก มองในความเป็นจริงขึ้นว่าสิ่งที่มันเลี้ยงชีพเราได้จริงๆ คืออะไร ความฝันต่างๆ ที่เราเคยมีก็ยังคงอยู่ ไม่ได้มอดไหม้ไป แต่มันถูกจัดเรียงให้แมตช์กับชีวิตเรามากขึ้น

ก่อนหน้านี้เคยมีช่วงที่เรา struggle กับชีวิตเหมือนกัน มีคำถามว่าความสำเร็จคืออะไรวะ พยายามคิดหาคำตอบว่าคือยอดวิวเหรอ คือการที่คนรู้จักเรามากขึ้นเหรอ สุดท้ายพอเราพยายามทำสิ่งนั้นเรากลับทุกข์ ไม่มีความสุข ได้คำตอบกับตัวเองว่าเราไม่ได้ต้องการสิ่งนั้นหรอก ความสำเร็จของเราเริ่มจากความสุขข้างในใจเราจริงๆ แค่รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วงานที่จะประสบความสำเร็จในใจผม มันคืองานที่ผมทำแล้วรู้สึกแฮปปี้กับมัน เพลงนี้คือเพลงที่เราอยากจะปล่อยไปจริงๆ เพลงนี้คือเพลงที่เราอยากจะร้อง หนังเรื่องนี้คือหนังที่เราดีใจมากที่เราได้กลับมาดูตัวเองเล่นทุกครั้ง มันน่าจะเป็นความรู้สึกนี้มากกว่า และสุดท้ายผมว่าความสุขเล็กๆ แบบนี้ ถ้าเราค่อยๆ สะสมมันไป มันอาจจะไม่ได้บูม แต่สุดท้ายเราจะอยู่กับมันได้เรื่อยๆ เราจะเลี้ยงตัวเองได้แบบสบายๆ เราจะมีความสุขกับทุกสิ่งที่เราทำ 

 

เหมือนว่าสุดท้ายแล้วแพสชั่นและความฝันก็คือสิ่งที่สำคัญกับเรา

สำคัญมากๆ สำหรับผม ผมรู้สึกว่าถ้าไม่มีความฝัน ไม่มีแพสชั่น ผมคงไม่พาตัวเองมาถึงจุดนี้ในทุกๆ เรื่องเลย ถ้าผมไม่อยากเป็นนักแสดง ผมก็คงไม่ดิ้นรนที่จะไปแคสต์งานเรื่อยๆ จนได้โอกาสมาเล่น Hormones ได้มาอยู่ในค่ายที่เราอยากอยู่ หรือกับด้านเพลง ถ้าวันนั้นไม่มีแพสชั่นว่ากูไม่มีงานแล้วต้องลุกขึ้นมาทำอะไร กูต้องหาสิ่งที่กูชอบ หรือไม่ได้ชอบเพลงด้วย ผมก็คงไม่ลุกขึ้นมาทำ และคงทำมันไม่ได้มาถึงวันนี้ แม้กระทั่งกับการกำกับถ้าสุดท้ายผมไม่มีแพสชั่นหรือถอดใจไปซะตั้งแต่แรก ผมคงไม่ทนฝึกงานมาตั้งแต่ตอนนู้น แล้วยังทำงานเบื้องหลังมาจนถึงตอนนี้ งานหนักแค่ไหนเราก็สู้มาตลอด ผมรู้สึกว่ามันสำคัญมาก และต้องรักษาสิ่งนี้ไว้ให้อยู่ เพราะถ้าวันหนึ่งมันหายไป เราก็คงไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร

ผมอาจจะโชคดีก็ได้ที่เกิดมาแล้วรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เหมือนถามตัวเองมาหลายรอบว่าใช่ไหม แล้วคำตอบมันก็ยังเป็นคำตอบเดิม มันก็เลยได้คำยืนยันกับตัวเองว่าสิ่งนี้ และหลายๆ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี่แหละคือแพสชั่น คือความฝันของเรา เราแค่ต้องรักษามันไว้ หรือถ้าวันหนึ่งเราไปเจอสิ่งใหม่แล้วเราเปลี่ยนไป เราก็แค่ต้องตามมันให้ทัน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน