เปลี่ยนความล้มเหลวให้เป็นความหวังผ่านบทเพลงของ ภูมิจิต

หากเราวัดโลกทั้งใบจากตัวเลขและสถิติ 

พลิกยังไงก็เห็นว่า ภูมิจิตคือวงดนตรีที่ล้มเหลว 

แต่ถ้ามองนอกจอ ไปดูเขาเล่นคอนเสิร์ตสดๆ สักครั้ง จะเห็นว่าภูมิจิตเป็นหนึ่งในวงที่มีแฟนเพลงเหนียวแน่นที่สุด บางคนฟังตั้งแต่วัยรุ่นยันมีลูก แม้แต่คนรุ่นใหม่ก็ตามมาฟังเขา เพราะเนื้อหาของเพลงที่ว่าด้วยปัญหาชีวิตช่วงวัยรุ่น การเติบโตเป็นผู้ใหญ่อันยากลำบาก และปัญหาของวัย First Jobber โดนใจคนวัยกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่ไปเต็มๆ 

สี่สมาชิกวงไม่ใช่คนหนุ่มอีกแล้ว พุฒิ-พุฒิยศ ผลชีวิน กานต์-เกษม จรรยาวรวงศ์ บอม-ธิตินันท์ จันทร์แต่งผล และ แม็ก-อาสนัย อาตม์สกุล มีครอบครัวและความรับผิดชอบกันทุกคน พวกเขาใช้อายุที่มากขึ้นให้มีประโยชน์ ส่งผลให้บทเพลงกลมกล่อมและคมคายยิ่งขึ้น

ปีนี้ภูมิจิตทยอยปล่อยเพลงใหม่ หลังจากห่างหายไปนาน ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ คือ ขอโทษวัยหนุ่ม ไข่ดาวน์ และ จอมโจรคิด ที่ผ่านมาเราเจอกันหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยได้นั่งคุยเรื่องเพลง อัพเดตชีวิตกันและกัน เมื่อมีโอกาส เราเลยขอนั่งคุยยาวๆ คล้ายเป็นการทบทวนชีวิตช่วงส่งท้ายปี

เพลงของภูมิจิตเด่นที่เนื้อเพลง ส่วนใหญ่เป็นฝีมือการแต่งของพุฒิ ถ้าจะถามถึงเบื้องหลังสิ่งนี้ ก็ต้องไถ่ถามถึงชีวิตส่วนตัวของเขาและเพื่อนด้วย 

เพราะเพลงกับชีวิตของสมาชิกภูมิจิตแยกจากกันไม่ออก กลมกลืนเป็นหนึ่ง มีความหมาย สั่นสะเทือนหัวใจพวกเขาทุกเพลง

ไม่ว่ามันจะมียอดวิวเท่าไหร่ก็ตาม

ฉันขอโทษตัวเองในวัยหนุ่ม ที่ฉันไม่เป็นดั่งฝัน

G ปีนี้ พุฒิลางานมาเล่นคอนเสิร์ต 4-5 ครั้งC 

G อาชีพปกติของเขาคือC Gวิศวกรในบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์C ว่ากันว่าถ้างานเขามีปัญหา รถรุ่นใหม่บางแบรนด์อาจไม่ได้ออกตรงตามกำหนด พุฒิเป็นคนจริงจัง ทำงานหนัก ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเขาจึงวางงานเลี้ยงชีพและครอบครัวมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ 

G สมการนี้แทบจะตรงกันข้ามในวัยหนุ่ม พุฒิยศยุคนั้นคือนักดนตรีไฟแรง พร้อมฝ่าทุกอุปสรรคเพื่อเป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ทุ่มเททำเพลงและเล่นคอนเสิร์ตแบบเอาตายไปข้างC 

Gช่วงที่ดูเหมือนจะใกล้ภาพความสำเร็จนั้นมากที่สุด คือการทำงานในอัลบั้มชื่อว่า Midlife พุฒิ กานต์ บอม แม็ค ได้เข้าไปทำงานกับค่ายเพลงในฝันอย่าง GMM Grammy ในเครือสนามหลวงมิวสิก แม้ว่าโดยหลักการ สนามหลวงจะช่วยดูแลด้านลิขสิทธิ์ ไม่ได้ทำงานในระดับศิลปินเข้าค่าย แต่พวกเขาก็ตั้งใจ คิดว่านี่คือก้าวสำคัญสำหรับวงอย่างแท้จริงC

Amพวกเขาตั้งใจ แต่อาจจะมากไป ส่งผลให้ความเครียดและกดดันตกมาที่พุฒิเต็มๆC

“ช่วงมิดไลฟ์เราทะเยอทะยานมาก คิดว่าจะใช้ทรัพยากรและความรู้ทั้งหมด เพื่อจะผลักดันตัวเองให้สำเร็จ แต่เรารู้สึกว่ามันล้มเหลวไปหมดทุกทาง ยิ่งทำยิ่งล้มเหลว ยิ่งเชื่อมั่นในความรู้ยิ่งล้มเหลว เราเสียเพื่อน เสียครอบครัว เสียงานด้วย เสียหมดทุกอย่างเลย” เขาเผยอย่างหมดเปลือก

Gพุฒิเล่าขยายว่า เขาทำงานหลายด้านจนคนรอบตัวคิดว่าเขาเป็นประหนึ่งผู้จัดการของวง เป็นความหวังในการผลักดันวงไปข้างหน้า นั่นทำให้พุฒิรู้สึกว่าเขาโดดเดี่ยว จิตวิญญาณความเป็นวงหายไปอย่างรวดเร็วC 

“ความจริงอัลบั้มมิดไลฟ์เสร็จนานมากแล้ว แต่มันถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราใช้เวลาทำมัน 8 ปี แล้วเหมือนเราต้องเป็นคนนิสัยไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ 

“เอาจริงๆ ต้องบอกว่ามิดไลฟ์มันมีปัญหาเยอะมาก เราเปลี่ยนทีมงานไปห้าครั้งก่อนจะมาถึงสนามหลวง เราเคยเจอโปรดิวเซอร์ที่จะไล่มือกีตาร์ อีกที่นึงไม่โอเคกับวิธีทำงานแบบภูมิจิต คือมันโดนเปลี่ยนไปเยอะมาก เราพยายามจะแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด เครียดมาก สถานการณ์ในวงไม่ค่อยดีเท่าไหร่” 

Gยอดขายและการถูกพูดถึงของมิดไลฟ์อยู่ระดับปานกลาง ไม่ได้รางวัลอะไรมากนัก ช่วงเวลาที่น่าท้อใจที่สุดคือตอนเล่นคอนเสิร์ต Big Mountain ครั้งที่ 10 ภูมิจิตขึ้นเล่นช่วงดึก มีคนดูบางตาประมาณ 30 คน เล่นเสร็จตอนเที่ยงคืน พุฒิมีเวลานอน 2 ชั่วโมง ก่อนจะตื่นมาขับรถไปทำงานที่โรงงานวันอาทิตย์C

Amนักร้องนำเขียนท่อนแรกของเพลง ขอโทษวัยหนุ่ม หลังเล่นคอนเสิร์ตจบC

“เราคิดว่าทำเพลงมา 20 ปี มาได้แค่นี้เองเหรอ วันนั้นขับรถกลับ รู้สึกกับตัวเองว่า กูขอโทษมึงว่ะ มาได้แค่นี้จริงๆ ตอนมิดไลฟ์เราทุ่มเททรัพยากรทุกอย่างเท่าที่เราทำได้ไปหมดแล้ว”

“ไอ้สัตว์ ขนาดทุ่มเท ยังได้แค่นี้เอง”

ตอนนี้ฉันเป็นตาแก่คนหนึ่ง ที่ปวดหลัง ที่เจ็บช้ำ นอนไม่หลับ บนโลกที่ไม่เป็นดั่งฝัน

Gพุฒิแต่งครึ่งหลังของเพลง ขอโทษวัยหนุ่ม จบเมื่อเขาต้องอยู่บ้านเพราะติดโควิดC

Gโรคร้ายไม่เพียงทำให้วงไม่มีงาน ยังทำให้สมาชิกทุกคนได้ทบทวน สำหรับพุฒิ แม้ไม่อยากทำเพลงอีกแล้ว เขียนอะไรมาก็รู้สึกว่าห่วย แต่เขารู้ดีว่าถ้าจะทำให้ภูมิจิตกลับมา ต้องดึงจิตวิญญาณวงกลับมาก่อนC

Gเมื่อทำเองคนเดียวมันตีบตัน เขานึกถึงการใช้สายตาคนนอกเข้าช่วย โชคชะตาทำให้เขาได้รู้จักแฟนเพลงคนหนึ่งชื่อว่า กันดิษฐ์ เด็กหนุ่มเข้ามาช่วยเรื่องการสื่อสารกับแฟนเพลงทาง facebook page เมื่อพูดคุยกับคนฟังมากขึ้น ยอดก็ดีขึ้น วงก็เริ่มกลับมามีชีวิตอีกครั้งC

Gเมื่อเพลง ขอโทษวัยหนุ่ม เสร็จ ดูเหมือนวงจะเริ่มกลับมาอีกครั้ง ทุกคนกระตือรือร้น สำหรับพุฒิเอง ความเศร้าโศกที่อยู่ในบทเพลง เป็นเหมือนการสะท้อนมุมมองต่อความสำเร็จที่ต่างไปจากเดิมC

Amไม่เป็นดั่งฝันก็ได้ แค่รู้ว่าเราใช้ชีวิตอยู่เพื่อใครดีกว่าC

“เหมือนเราตั้งคำถามใหม่ว่า จะมีชีวิตไปทำไม ถ้าไม่สำเร็จแล้วทำไมเราถึงยังควรมีชีวิตอยู่ เมื่อก่อนเรารู้สึกว่า เรามีชีวิตเพื่อไปให้ถึงความสำเร็จ แต่ถ้าไม่สำเร็จแล้ว ชีวิตเราจะทำอย่างไรต่อ

“คนขี้แพ้อย่างเราอาจจะมีเยอะกว่าที่คิดนะ คนที่ไปถึงสิ่งที่ตัวเองตั้งหวังไว้อาจจะไม่เยอะมาก ดังนั้นโจทย์ใหม่คือ จะใช้ชีวิตที่ไม่สำเร็จอย่างไรให้มีความสุข เราว่ามันอาจจะเป็นโจทย์สำคัญสำหรับคนที่โตมาในยุคเรา ยุคที่ เต็มไปด้วยคำว่า ทำตามแพสชั่นและความฝัน ถ้าตามไม่ได้ แล้วเราต้องทำยังไงกับมัน” 

Gการมีคนช่วยมากขึ้น พุฒิเองก็ปล่อยวางมากขึ้น ทำให้วงกลายเป็นวงช้าๆ วิธีการทำงานก็เปลี่ยนไป เน้นการทำงานด้วยกันพร้อมหน้ามากขึ้น กลับไปเข้าห้องซ้อมเล่นเพลงแบบดั้งเดิม เหมือนที่เขาเคยทำช่วงวัยรุ่นC

“เราคิดว่าถ้าภูมิจิตเป็นอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณของชายชราสี่คน แล้วจิตวิญญาณนี้สามารถแผ่ไปหาคนรอบๆ ได้ เราถือว่ามันโอเคนะ ดีกว่าเป็นชายชราสี่คนที่มาเล่นดนตรีด้วยความไร้วิญญาณ แต่ต้องพยายามแผ่วิญญาณไปให้คนรอบๆ เราว่าส่วนหนึ่งที่เราไม่สำเร็จในช่วงมิดไลฟ์อาจจะเป็นเพราะว่า เราอาจจะขาดวิญญาณพวกนี้ไปในช่วงเวลานั้น”

ฉันถามตัวเอง จะอยู่ทำไมบนโลกใบนี้ คำตอบเดียวคือเธอเท่านั้น

“พบคำตอบชัดเจนหรือยังว่าใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข”

“พบแล้ว ถ้าภรรยามีความสุข ชีวิตมันจะโอเค” พุฒิตอบ 

​”คำตอบธรรมดามาก”

“บางคำถามเราไม่เข้าใจมันหรอก จนกระทั่งเราจะเจอมันด้วยตัวเอง ถึงจะรู้ว่าเรื่องไหนสำคัญเรื่องไหนไม่สำคัญ เรื่องไหนจำเป็นไม่จำเป็น”

Gใช่ว่าภูมิจิตจะไม่สำคัญ พุฒิใช้คำว่า Take this moment, we are on the way ไม่ตั้งความหวังที่เหนื่อยเกินไป ทำไปเรื่อยๆ ให้ชีวิตและความสุขเป็นอันดับหนึ่งเสมอ

“มันมีคำในยุคสมัยเราที่บอกว่า ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ ถึงพลาด  ก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว เมื่อก่อนเราว่าข้อความนี้มีปัญหา คือถ้านายอยู่ท่ามกลางดวงดาว แต่ไม่ได้ไปดวงจันทร์ ก็ไม่มีความสุขอยู่ดี ตอนนี้คือ จะอยู่ดวงดาวก็ดวงดาว จะอยู่ดวงจันทร์ก็ดวงจันทร์ ก็เราอยู่ตรงนี้ ค่อยๆ หาทางไป ยุคสมัยหนึ่งเราพยายามจะมองแต่ดวงจันทร์ จนไม่ได้มองว่าดวงดาวก็โอเคนี่” พุฒิเล่า

Gในความรู้สึกส่วนตัวของพุฒิ ภูมิจิตเปลี่ยนจากความฝันกลายเป็นคำว่า ครอบครัว ความสำคัญของภูมิจิตคือการสื่อสารกับผู้คนตรงหน้า ระหว่างเล่นคอนเสิร์ต ไม่ใช่การใส่ใจตัวเลขในแพลตฟอร์มจนเกินงาม

Gภูมิจิตวันนี้สมควรเป็นวงที่ทุกคนภูมิใจ มีเพลงที่เชื่อมโยงคนฟังยุคอินดี้ที่มีครอบครัวแล้ว และคนรุ่นใหม่ที่กำลังเจอปัญหาชีวิต พบว่าเพลงของพวกเขาช่วยปลอบประโลมจิตใจC

Amผู้คนในโลกหลากหลาย Cมีเส้นทางชีวิตต่างกันไป Cการมีความสุข รู้ว่าเราอยู่เพื่อใคร Cคือพลังที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป 
Amนี่คือวาบความคิดที่เราได้เมื่อฟังเพลงของภูมิจิตยุคนี้จบ Cแม้เป็นปรัชญาเชยช้า ที่ได้จากความชราG แต่ก็ยังมีพลังเสมอC

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

พิชญุตม์ คชารักษ์

ชีวิตหลักๆ นอกจากถ่ายภาพ ชอบชกมวยเป็นชีวิตจิตใจ ฟังเพลงที่ดนตรีฉูดฉาดกับเบียร์เย็นๆ