Ninetails : บุกบาร์โคมแดงถิ่นนางจิ้งจอกเก้าหางกลางกรุงเทพฯ

ถ้าคุณเป็นแฟนเพจ ‘กระทำความหว่อง’ เมื่อประมาณสองเดือนที่แล้ว เจ้าของเพจนี้เดินไปตามบาทวิถีย่านลาดพร้าวที่เปลี่ยวเหงาในยามค่ำคืน แล้วจู่ๆ ก็สะดุดตาเข้ากับรายละเอียดของร้านเล็กๆ ริมถนนที่รถราพลุกพล่าน ใกล้ปากทางเข้าลาดพร้าวซอย 4 ภายในร้านประดับประดาด้วยโคมสีแดงไฟสลัวดึงสายตาผู้คนให้หยุดมองราวกับต้องมนตร์ ด้วยบรรยากาศที่ดูลึกลับเสมือนคำเชื้อเชิญระคนท้าทายให้ก้าวเดินเข้าไปค้นหาความลับที่ซ่อนเร้นภายใน หลังเจ้าของเพจคนนั้นดื่มกินและผ่อนคลายอารมณ์จนอิ่มหนำ ก่อนเดินออกจากร้าน เขาทิ้งท้ายกับเจ้าของบาร์ว่าจะกลับไปรีวิวความประทับใจที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว

เวลานั้นเจ้าของร้านไม่รู้มาก่อนเลยว่าคนคนนี้คือเจ้าของเพจกระทำความหว่อง หลังโพสต์ภาพและคำบรรยายสั้นๆ เกี่ยวกับร้านได้ไม่นาน คนที่มีรสนิยมคอเดียวกันต่างพากันแชร์โพสต์ออกไปในวงกว้าง และตามมาเยือนร้านนี้กันล้นหลาม ผมเป็นหนึ่งในคนที่เห็นโพสต์ที่ว่าแล้วตามมา จนได้ค้นพบว่าภายใต้การตกแต่งคล้ายสไตล์หนังฮ่องกงแบบฉบับหว่อง การ์ ไว ร้านนี้มีเรื่องราวและรายละเอียดให้ซึมซาบมากกว่าภาพที่สวยงามภายนอก

Ninetails Bar & Booster ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนของศิลปะโลกตะวันออก นอกจากอาหารและเครื่องดื่มแปลกใหม่ให้ลิ้มลอง ร้านยังขับเน้นด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นกว่าใครบนเส้นลาดพร้าว โดดเด่นแรกคือการตกแต่งด้วยโทนร้อนฉูดฉาดที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน โดดเด่นถัดมาคือการถักทอเรื่องราวที่น่าสนใจของร้านเข้าไว้ด้วยกัน มวลเสน่ห์เหล่านี้กำลังรอให้เราทุกคนไปพิสูจน์ด้วยสองตาของตัวเอง

ทำใจกล้าเข้าไว้ เพราะต่อจากนี้ เราจะพาคุณไปบุกรังนางจิ้งจอกแสนเจ้าเล่ห์

บาร์และร้านอาหารที่เกิดจากความถนัดของเพื่อน 4 คน

Ninetails Bar & Booster เริ่มต้นจากความชื่นชอบนั่งสนทนาในบาร์และร้านอาหารเด็ดของเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันจำนวน 4 คน พวกเขาเคยทำงานออฟฟิศเดียวกัน จึงมีไอเดียว่าถึงเวลาต้องมีบาร์และร้านอาหารดีๆ เป็นของกลุ่มสักที เพื่อนทั้งสี่คนที่ผมพูดถึง ประกอบไปด้วย โอ-โอภาส ตันติภนา สถาปนิกหนุ่ม ผู้ดูแลการเขียนแบบและขึ้นแปลนร้าน ตั้งแต่ต้นจนโครงสร้างเสร็จสมบูรณ์ เกต-ภาณุมาศ โตวรกุล อดีตหนุ่มนักการตลาด ผู้ทำหน้าที่จัดการร้าน และรับผิดชอบเมนูค็อกเทลสูตรลับเฉพาะที่หาดื่มไม่ได้จากที่ไหน คริต-ชาคริต คมคาย ผู้เชี่ยวชาญงานด้านการตกแต่งหน้าร้าน (Visual Merchandiser) ที่หยิบเอาทักษะถนัดมาออกแบบและตกแต่งร้านเองทั้งหมด นอกจากเก่งเรื่องการตกแต่ง คริตยังรับผิดชอบสร้างสรรค์เมนูแหวกแนว เพราะชื่นชอบการทดลองทำเมนูใหม่ๆ เป็นชีวิตจิตใจ และสุดท้าย แนน-ธณัฏฐา อนุวงศ์พินิจ ผู้ดูแลด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ และข้อมูลออนไลน์ของร้านก่อนปล่อยออกมาโปรโมตร้านทุกชิ้น เมื่อเพื่อนทั้งสี่ตัดสินใจลงขันร่วมทำธุรกิจ พวกเขาจึงตั้งต้นเขียนแบบ เลือกสรรช่าง ควบคุมงาน ออกแบบการเปิดเพลง จัดแจงเมนูอาหารและเครื่องดื่มครบสูตร จนร้านออกมามีหน้าตาน่าสนใจอย่างที่เราได้เห็น


บาร์นางจิ้งจอกเก้าหางย่านลาดพร้าว

ชื่อร้าน Ninetails แปลว่า 9 หาง อิงมาจากตำนานลือเลื่องของจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีต้นตำนานมาจากประเทศอินเดียและถ่ายทอดส่งต่อกันผ่านเส้นทางสายไหม ส่วนใหญ่แล้วจิ้งจอกเก้าหางมักถูกวางบทบาทให้เป็นปีศาจร้าย นางมักแปลงร่างเป็นหญิงงามหลอกล่อเพื่อหวังดึงเอาผลประโยชน์จากชายหนุ่ม ตำนานร่วมนี้แพร่หลายทั้งในประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ว่ากันว่าปีศาจตนนี้เดินทางไปทั่วทวีปเอเชีย และถูกดัดแปลงให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นจนมีรายละเอียดของเรื่องราวแตกต่างกันออกไปตามสิ่งแวดล้อม กลายมาเป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมหรือที่เรียกว่าวัฒนธรรมร่วมของภูมิภาค ด้วยความที่ร้าน Ninetails & Booster ใช้องค์ประกอบของโลกตะวันออกจากหลายสถานที่จึงสะท้อนความเป็นบาร์ที่บอกเล่าความเป็นพหุวัฒนธรรมได้อย่างน่าสนใจ สี่สหายเจ้าของรังนางจิ้งจอกจึงตัดสินใจนำเรื่องราวในตำนานมาดัดแปลงให้เป็นเรื่องเล่าที่แข็งแรงของร้านตัวเอง และปรับเอาเนื้อหามาบันดาลใจสร้างสรรค์เป็นรังนางจิ้งจอกแสนเจ้าเล่ห์

“Ninetails เป็นชื่อร้านและมีคอนเซปต์เสมือนว่านี่เป็นรังโคมแดงของนางจิ้งจอกสาวแห่งลาดพร้าว ซึ่งหลอกล่อให้ลูกค้าชายเข้ามาดื่มกิน แล้วร้านก็จะปรนนิบัติ ปรนเปรอ และให้บริการอย่างดี เมื่อคุณสนุกสนานในร้านจนลืมโลกภายนอก ช่วงเช้าก็จะตื่นขึ้นมาบนกองใบไม้ และจดจำอะไรไม่ได้อีกเลย” เกตหนึ่งในหุ้นส่วนเล่าถึงคอนเซปต์ร้านด้วยความตื่นเต้น

“เราต้องการทำร้านที่แปลกใหม่บนเส้นลาดพร้าว เมื่อก่อนเราเที่ยวแถวนี้บ่อยๆ อยู่แล้ว เลยมองว่าที่นี่ยังไม่มีร้านแฮงเอาต์เพื่อเอาไว้พูดคุยกันจริงจัง เลยอยากทำร้านที่มีรายละเอียดมากกว่าการมาดื่มจนเมาแล้วกลับบ้าน เพราะส่วนมากร้านแถวนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องไอเดียและเดคคอเรชันเป็นรองเรื่องอื่นๆ”

“ลูกค้าเราคือกลุ่มคนมีอายุสักหน่อย เราตั้งใจให้เป็นที่พักพิงของกลุ่มคนที่เริ่มต้นทำงาน (first jobber) อยากให้ที่นี่เป็นทั้งสถานที่เที่ยว ที่นั่งกินอาหารอร่อย ฟังเพลง พูดคุยกัน หรือนัดเพื่อนมาสังสรรค์พบปะและทอดตัวนั่งได้อย่างเป็นกันเอง” เกตเล่าถึงที่มาและกลุ่มลูกค้าของร้านตัวเอง

มนตร์เสน่ห์แห่งโลกตะวันออก

เมื่อเริ่มแผนการทำร้าน เพื่อนทั้งสี่ตกลงกันว่าจะสร้างสรรค์บาร์ที่ผสมผสานระหว่างดีไซน์ของยุคเก่าและใหม่โดยไม่จำกัดไว้ที่สไตล์จีนแต่เพียงอย่างเดียว ทว่าเลือกใช้ทุกองค์ประกอบที่น่าสนใจจากฝั่งโลกตะวันออก ร้านจึงเลือกนิยามตัวเองว่ามีสไตล์ที่โดดเด่นแบบ ‘โอเรียนทัล’ ตกแต่งส่วนผสมให้ลงตัว ละเมียดกันตั้งแต่ป้ายสลักภาษาไทยหน้าร้านซึ่งดูเหมือนป้ายร้านพาณิชย์โบราณ แล้วนำข้องจับปลาพื้นบ้านไทยมาประยุกต์เป็นโคมไฟสองอันที่ห้อยเด่นอยู่บริเวณหน้าร้าน

เมื่อก้าวเดินเข้ามาบริเวณชั้นหนึ่งของบาร์ เราจะพบกับภาพตัวแทนของจิ้งจอกสาวยุคใหม่ที่จ้องมองเราด้วยแววตามาดมั่น เจ้าของร้านทั้งสี่ตีความว่านางจิ้งจอกสาวตนนี้อาศัยอยู่ในเมืองกรุง เธอไม่จำเป็นต้องสวมใส่ชุดจีนกรุยกรายแบบโบราณ แต่จะสวมใส่ชุดร่วมสมัย โดยคงรายละเอียดของเสื้อผ้าที่ต้องมีความเป็นจีนสอดแทรกอยู่ ที่สำคัญยังคงจิตวิญญาณของคาแรกเตอร์นางจิ้งจอกที่ล่อหลอกชายหนุ่มมาตั้งแต่ครั้งอดีตไว้ไม่ให้จางหายไป

จุดเด่นของ Ninetails คือเจ้าของเลือกใช้โต๊ะและเก้าอี้นั่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมจีนโบราณที่หาดูยากในปัจจุบัน เพดานร้านออกแบบและติดตั้งไฟฉายแสงสลัวสีแดงอ่อน ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ถ้าเป็นผู้หญิงนั่งอยู่ใต้แสงสีแดงนั้นเธอจะดูเซ็กซี่น่าค้นหา หรือที่คริตบอกเราว่านั่งจิบค็อกเทลสวยๆ จนชายหนุ่มต้องเหลียวมอง บริเวณชั้นล่างโดดเด่นด้วยกลุ่มโคมสีแดงห้อยลงมาจากเพดานเตี้ย และบริเวณหน้าบาร์ที่มีตัวอีกษรจีนนีออนดัดสีแดงที่แปลว่าเก้าหางติดตั้งเป็นจุดรวมสายตาของลูกค้าภายในร้าน ส่วนบริเวณผนังด้านบันไดขึ้นไปยังชั้น 2 มีสุภาษิตที่เขียนด้วยอักษรจีนตัวเต็มติดไว้และชวนให้คนมองอย่างเราอยากค้นหาความหมาย

ถ้าคุณเดินขึ้นบันไดจากชั้นล่างมายังชั้นสอง จะพบว่าราวบันไดมีเชือกสีแดงพันเงื่อนแบบ axe rope เกตและคริตเล่าว่าเชือกที่พันราวนี้จะช่วยเพิ่มแรงดึงดูดทางสายตาและป้องกันมือของลูกค้าที่จับราวลื่นไถล

บริเวณผนังเหนือบันไดคือกระด้งหัตถกรรมไทยเรียบง่าย สะท้อนความเป็นประเทศอุตสาหกรรมเกษตรที่ติดตัวอักษรคำมงคลของจีนไว้ ได้แก่ ความรัก มิตรภาพ ลาภ สุขภาพดี ร่ำรวย ครอบครัว และความซื่อสัตย์ เป็นต้น

อีกส่วนที่น่าสนใจคือการใช้ซี่เหล็กดัดจากร้านตัดเศษเหล็กเหลือใช้มาตกแต่งผนังทั้งชั้นบนและล่างได้อย่างลงตัว ทั้งนี้บริเวณชั้นสองยังใช้พัดตกแต่งโดยเว้นระยะห่างให้พอสวยงาม เมื่อเงยหน้ามองเพดานชั้นสอง คุณจะพบกับเพดานที่ติดตั้งร่มจากอำเภอบ่อสร้าง จังหวัดเชียงใหม่ เรียงแถวเป็นระเบียบสวยงาม ตามมุมต่างๆ ของชั้นสองตกแต่งอุปกรณ์เครื่องใช้จีนโบราณ เช่น เถาวัลย์ โคมไฟญี่ปุ่น หน้ากากญี่ปุ่น กระติกน้ำ จักรเย็บผ้า เพื่อสร้างอารมณ์ให้เป็นเหมือนบ้านของคนเอเชียที่มีของใช้วางอยู่ในบ้านจริง

ส่วนที่ผมประทับใจมากเป็นพิเศษคือกลุ่มกรงนกไม้พ่นสีโอ๊กที่ห้อยลงมาจากเพดานส่วนหน้าร้าน ให้ความรู้สึกหรูหราน่ามอง และหากคุณมองบริเวณพื้นทั้งชั้นล่างและชั้นบน เจ้าของร้านเลือกปูพื้นด้วยกระเบื้องสไตล์ชิโนโปรตุกีส ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับชาวจีนสิงคโปร์ จีนมาเลเซีย รวมถึงชาวจีนทางภาคใต้ของบ้านเราด้วย

เมื่อใช้เวลาสำรวจร้านอย่างทั่วถึง เราพบว่าการตกแต่งที่หรูหราและเต็มไปด้วยเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้มีราคาแพงอย่างที่คิด เพราะเจ้าของร้านทั้งสี่ตั้งใจเลือกซื้อวัตถุดิบจากท้องตลาดที่หาได้ง่ายๆ เช่น ตลาดสำเพ็ง ร้านตัดเหล็กเหลือใช้ และงานหัตถกรรมจากชุมชนท้องถิ่น แล้วนำมาผสมผสานอย่างชาญฉลาด จนกระทั่งหาต้นกำเนิดไม่ได้ว่าร้านนี้เป็นร้านวัฒนธรรมจีนยุคไหนกันแน่

“ถ้าตัวจริงเรื่องวัฒนธรรมจีนมาร้านเราจะสังเกตเห็นว่าองค์ประกอบต่างๆ ที่มาวางรวมล้วนขัดกัน แต่อาศัยการจัดวางให้กลมกลืน เราไม่ได้ต้องการเน้นว่าที่นี่เป็นร้านสไตล์จีนขนาดนั้น แต่อยากบอกว่ามันเป็นส่วนผสมของโลกตะวันออกที่จับต้องได้มากกว่า”

อาหารฟิวชั่นเลิศรส

อาหารหลักของร้านนี้ไม่ใช่อาหารจีนอย่างที่คุณคิด เพราะที่นี่มีอาหารที่เหมาะสำหรับการกินเคล้าคุยกันในหมู่เพื่อน อย่างคอหมูทอดเกลือ ไก่ทอด หรือกุ้งแช่น้ำปลา แต่ซิกเนเจอร์จานเด็ดที่ผู้มาเยือนรังนางจิ้งจอกห้ามพลาดคือเมนูที่คริตสร้างสรรค์ขึ้นเองอย่าง ‘ข้าวผัด Ninetails’ ข้าวผัดสไตล์ฮ่องกง เคล้าด้วยเครื่องมากมาย อาทิ เมล็ดถั่วลันเตา กุนเชียง เบคอน และกุ้งแห้ง ให้รสสัมผัสเค็มๆ จากกุ้งและรสหวานจากกุนเชียงละมุนลิ้นในปาก

ต่อด้วยเมนูสุดสร้างสรรค์อย่าง ‘หมูหวานลิ้นจี่’ ซึ่งใช้คอหมูผัดกับเนื้อและน้ำลิ้นจี่รสหวานชื่นใจ คริตเผยว่าเขาใช้วิธีผัดให้แห้งแบบจีน สำหรับจานเด็ดจานนี้ ถ้าใครชอบกินคอหมูนุ่มๆ กับลิ้นจี่นิ่มๆ น่าจะอินกับเมนูนี้ไม่น้อย

เมนูต่อมาคือ ‘หมาหยอกไก่’ ซึ่งคริตดัดแปลงมาจากไก่ทอดคาราเกะต้นตำรับญี่ปุ่น แล้วนำมาผสมกับผงเครื่องเทศหมาล่าของชาวจีนยูนนาน ซึ่งโดยส่วนมากนิยมใช้ทำซุปและอาหารประเภทย่าง จุดเด่นของเมนูนี้คือความหอมของเครื่องเทศ และสัมผัสแปลกลิ้นจากไก่ทอดคาราเกะลูกครึ่งญี่ปุ่นจีนยูนานที่รสชาติแหวกจนเราลืมไม่ลง

ตามด้วยเมนูสุขภาพอย่างเห็ดออรินจิทอดโรยงาขี้ม่อน งาเม็ดเล็กหายาก สิ่งที่ทำให้เจ้าเห็ดทอดนี้ต่างจากที่อื่นคือความหอมมันของงาขี้ม่อน ที่เจ้าของร้านกล้านำลูกเล่นมาใช้กับเมนูได้อย่างดี ส่วนใครที่เป็นนักกินชีสตัวยง เราขอแนะนำเมนูถั่วแขกเบคอนชีส ซึ่งคริตนำถั่วแขกมาทอดให้กรอบ พร้อมโรยพาเมซานชีส และเบคอนทอดกรอบมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ ซึ่งนอกจากรสชาติมันๆ ของชีส ยังมีพริกแห้งป่นพอละเอียดโรยลงไปเพื่อตัดเลี่ยน สะท้อนความเป็นตะวันออกและตะวันตกในจานได้อย่างเฉียบคม ทั้งหมดเราขอเน้นย้ำเลยว่าเมนูพวกนี้มีให้สัมผัสที่นี่ที่เดียวเท่านั้น

เครื่องดื่มเด็ดอาวุธลับนางจิ้งจอก

นอกจากน้ำเปล่า น้ำผลไม้ และเบียร์เย็นๆ ในร้านยังมี 4 ค็อกเทลที่หาดื่มไม่ได้จากที่ไหน เพราะเป็นสูตรที่เกตซึ่งเคยทำงานเป็นผู้ช่วยบาร์เทนเดอร์ที่สหรัฐอเมริกาคิดค้นขึ้นเอง ตัวแรกคือ Snow Plum in the Garden น้ำบ๊วยปั่นสูตรจีนเติมรสเย็นด้วยจินโทนิก ได้รสความเปรี้ยวผสมหวานลงตัว ตัวที่สองคือ Pomegranate Mojito แทนที่จะใส่น้ำมะนาวเหมือนโมจิโต้ทั่วไป แต่ทางร้านใช้น้ำทับทิม ผลไม้จีนรสหวานหอมมาแทนที่ และเปลี่ยนจากการใช้รัมมาเป็นวอดก้าบาดอารมณ์จนกลายเป็นค่ำคืนที่คุณจะลืมไม่ลง ต่อมาตัวที่สามคือเครื่องดื่มที่เกตย้ำหนักหนาว่าห้ามพลาดคือ Ninetails Poison เพราะในเมื่อร้านเป็นรังของปีศาจจิ้งจอก เครื่องดื่มตัวนี้จึงถูกคิดค้นมาให้คนดื่มเมามายไม่รู้ตัวจนลืมวันเวลา แล้วตื่นขึ้นมาบนกองใบไม้แห้งยามเช้า ซึ่งมีทั้งความหวานและความเข้มจากดาร์กรัม ได้กลิ่นหอมจากเฮเซลนัตไซรัปผสมชาจีน ประดับด้วยใบกระวานราวกับตื่นมาบนกองใบไม้ ส่วนตัวสุดท้ายคือ Cocoa of the Golden Flower ชาเก๊กฮวยผสมจินโทนิกและวอดก้าเข้าไป เพิ่มแท่งอบเชยปักไว้ใช้คน เมื่อแก้วครอบจมูกจะได้กลิ่นหอมๆ และรสชาติอันเข้มข้นตราตรึงใจ

เพลงไร้พรมแดน

นอกจากอาหารตาและอาหารท้อง สิ่งที่ขาดไม่ได้คืออาหารหูอย่างเสียงเพลงไพเราะ เกตเล่าว่าทางร้านจะเริ่มเปิดเพลงเบาๆ ตอนเช้าและไล่ระดับจังหวะให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ เริ่มต้นด้วยเพลงคลาสสิก แจ๊ส โมทาวน์ ฟังก์ และอินดี้ป็อป เพื่อเป็นแอมเบียนต์ประกอบบรรยากาศการพูดคุยกันในร้านอย่างเพลิดเพลิน ส่วนยามดึกที่คนในร้านกำลังกรึ่มกับบรรยากาศได้ที่ ทางร้านจะเปิดเพลงที่คึกคักสร้างจังหวะสนุกด้วยดีปเฮาส์ ผสมอิเล็กทรอนิก และ EDM เบาๆ หรือแม้แต่เพลงไทยก็เปิดให้คอเพลงแนวนี้ฟังกันอย่างเต็มอิ่ม

นอกจากเพลงที่ร้านเปิดคลอสร้างบรรยากาศไม่ขาดสาย ช่วงค่ำๆ ของบางคืนยังมีการเล่นเพลงไทยมาเสิร์ฟผู้ชมถึงสองช่วงคือสามทุ่มและห้าทุ่ม เพลงส่วนมากที่เล่นเป็นเพลงไทยฟังง่ายและเพลงไทยยุค 90s เอาใจลูกค้าวัยทำงานหลายๆ คนที่ชอบระลึกถึงความหลังช่วงวัยเด็ก

ร้าน Ninetails Bar & Booster เปิดให้บริการทุกวันจันทร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 17.00 – 01:00 น. สำหรับคนที่ขับรถมาร้าน จอดรถได้ที่ลาดพร้าวซอย 2 ซอย 6 และซอย 8 แต่แนะนำให้จอดซอย 2 จะใกล้ร้านที่สุด ส่วนด้านหน้าร้านจะจอดได้หลังเวลา 20:00 น. เป็นต้นไป ส่วนใครที่ไปแล้วติดใจมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเพจของเราได้เลยนะ

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR