ถอดหน้ากากสำรวจหน้าสด ความจริง และสิ่งที่เรียนรู้จากธรรมะของ ปอนด์ ใจดีทีวี

ปอนด์ ใจดีทีวี คือมนุษย์บ้าพลังที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ฉันรู้จัก

ก็จะมีใครอีกที่มีพลังมากพอจะทำอะไรหลายอย่างไปพร้อมๆ กันโดยไม่มีใครสั่งให้ทำ ทั้งทำแชนแนล ‘ใจดีทีวี’ ในยูทูป พอดแคสต์ชื่อ ‘BON PODCAST’ เป็นพิธีกรรายการต่างๆ ทางช่องเวิร์คพอยท์ ทำรายการเล่าข่าวนานาสาระของตัวเองในชื่อ ‘โต๊ะข่าวตั่ง’ โปรดิวซ์รายการ live ภาษาใต้ แถมเร็วๆ นี้ยังนึกสนุกลุกขึ้นมาทำทอล์กโชว์ที่ต้องพูดคนเดียวเป็นชั่วโมงๆ อีก

พูดมาถึงตรงนี้อาจมีคนทำหน้าสงสัยว่า ปอนด์ที่เรากำลังพูดถึงอยู่คือใคร

ภริษา ยาคอปเซ่น คือคนนั้น ปอนด์แจ้งเกิดในปี 2010 ตอนที่เธอตามสามีชาวนอร์เวย์ไปอาศัยอยู่ที่ประเทศบ้านเกิดของเขา ความเหงาจากการอยู่ในประเทศที่ไม่คุ้นเคยทำให้เธอเริ่มทำคลิปลงยูทูป แสดงเป็นตัวละครต่างๆ ทั้งคุณพลอย สาวออฟฟิศที่ชอบพูดไทยคำอังกฤษคำ, น้องคุกกี้ สาวแอ๊บแบ๊ว, น้องเอแคลร์ พริตตี้มอเตอร์โชว์ และเด็กหญิงวิภา นักเรียนผู้ถ่อมตัว (เกิ๊น) และอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้เราหัวเราะท้องแข็งทุกครั้งที่ได้ดู

หลังจากนั้นไม่กี่ปี ปอนด์ก็ขยับขยายพื้นที่จากหน้าจอคอมพิวเตอร์มาสู่หน้าจอทีวีในฐานะพิธีกรของช่องเวิร์คพอยท์ และทำงานอีกสารพัดตามใจอยาก บางช่วงเราเลยได้เห็นเธออัดคลิปรีแคปวิจารณ์รายการ The Face Thailand Season 2 ทุกเอพิโสด เป็นหนึ่งในนักเดี่ยวไมโครโฟนงาน One Night Stand Up ของกตัญญู สว่างศรี หรือตื่นเช้ามาทำรายการเล่าข่าวของตัวเองก็ยังเคยมาแล้ว

8 ปีหลังจากปอนด์โด่งดังจากคลิปเลียนแบบคาแรกเตอร์ต่างๆ วันนี้เธอกลับมาพร้อมกับทอล์กโชว์ชื่อ ‘โชว์หน้าสด’ ในวันเสาร์ที่ 17 มิถุนายนที่จะถึงนี้ เพื่อจะมาถอดหน้ากากอันหลากหลายที่เราสวมใส่อยู่ทุกวันและเปลือยหน้าสดที่อยู่ภายใต้หน้ากาก หรือที่เธอเรียกว่าความจริงของชีวิต

ความจริงของปอนด์ ใจดีทีวี

เล่าให้ฟังหน่อยว่าโชว์หน้าสดจะเกี่ยวกับอะไร

นี่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเลย (หัวเราะ) คือจริงๆ ในโชว์หน้าสด เราจะพูดถึงหน้าที่ไม่สดของเรา เหมือนหน้ากากที่เราใส่เวลาทำหน้าที่ต่างๆ ในชีวิต เป็นลูก เป็นแฟน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเจ้านาย เป็นลูกน้อง มันคือหน้ากากทั้งหมด ในโชว์นี้เราจะพูดถึงหน้ากากอย่างอิสระว่าหน้ากากเหล่านั้นเป็นยังไง ซึ่งบางทีเราพูดในชีวิตจริงไม่ได้ เราก็เลยมาพูดบนเวทีในห้องปิดที่คนจ่ายตังค์มาฟังเรา (หัวเราะ)


อะไรทำให้คุณอยากเล่าเรื่องนี้

ตอนแรกเรากะจะทำเรื่องอื่น คิดไว้ว่าจะมีแขกรับเชิญ แต่แขกรับเชิญที่เราตั้งใจไว้หาตัวยากมาก อย่างพระแจ๊ส (อดีตมิสทิฟฟานี่ปี 2009) ที่เราต้องไปนิมนต์ ต้องไปถามเจ้าคณะอะไรต่างๆ ก็เลยไม่เอาแล้ว จะทำอะไรก็ได้ที่เราพูดคนเดียวได้

ตอนนั้นเราเพิ่งกลับมาจากการปฏิบัติธรรมที่วัดก็ไปเจอกับทีมของยู (กตัญญู สว่างศรี) ที่ชวนจัดงานนี้พอดี แล้วตามประสาคนที่เพิ่งออกมาจากวัด มันรู้สึกเปราะบาง รู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นรอบตัวเรา ทำไมมันเฟค ทำไมโลกนี้ช่างเต็มไปด้วยหน้ากาก เราก็เลยโยนไอเดียว่าจะพูดเรื่องความไม่เรียลของคนที่เราสวมทับจนไม่รู้ว่าเนื้อแท้คืออะไร แต่พอหลังจากนั้นอาทิตย์หนึ่ง ถ้าเป็นคนที่เคยบวชก็จะรู้ว่าออกมาจากวัดมันก็จะนั่งเทศน์เพื่อนสักอาทิตย์ เสร็จแล้วก็จะเริ่มแปลงร่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม พอผ่านไปหนึ่งอาทิตย์กลับมาคุยเรื่องทอล์กใหม่เราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เป็นชะนีที่ซื้อลิป MAC ก็เลยคิดว่างั้นพูดแบบบางๆ แล้วกัน ไปแตะเรื่องหน้ากากในมุมเล็กๆ บางมุมที่เป็นมุมขำๆ ของแต่ละสถานการณ์ในชีวิต


มีคนบอกว่าถ้าเกิดคุณเป็นคนที่ชอบตัวละครอย่างคุณพลอย น้องคุกกี้ หรือน้องเอแคลร์ ก็ควรจะมาดูโชว์นี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

เพราะว่าตัวละครเหล่านั้นก็คือหน้ากากแบบหนึ่ง ตอนนี้ที่พูดอยู่เราก็เป็นตัวเอง 50 เปอร์เซ็นต์ อีก 50 เปอร์เซ็นต์ คือหน้ากาก performer เพราะเรากำลัง perform อยู่ จริงๆ เวลาอยู่บ้านก็ไม่ได้พูดอย่างนี้ใช่ไหม พูดกับแฟนก็ไม่ได้พูดแบบนี้ พูดคนเดียวก็พูดอีกแบบ ในโชว์หน้าสดเราจะเปิดตัวตนของเราให้มากที่สุดแล้วจะเห็นความน่ารักของหน้ากากแต่ละอัน เพราะไม่ใช่ว่าการใส่หน้ากากมันจะแย่ บางทีเราหันไปคุยกับแฟนว่าเธออุ่นนมให้ลูกหรือยัง (เสียงปกติ) แล้วก็หันมาหาลูก คุยกับลูกว่ายังไงค้า (เสียงสอง) แบบนี้ หน้ากากมันก็มีหน้าที่ของมัน


จากที่เคยทำคลิปทางยูทูป ทำรายการทีวี ทำไมคราวนี้คุณถึงอยากถ่ายทอดเรื่องนี้ในรูปแบบของทอล์กโชว์

เรามีความรู้สึกว่าอะไรที่มันสดแล้วมันเกิดขึ้นกับตัวเรา ความรู้สึกมันต่างกันมาก เมื่อต้นปีปอนด์ทำแฟนมีตติ้ง มีคนมาประมาณ 70-80 คน เรารู้สึกว่ามันอบอุ่นมาก เป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนเวลาคนมาดูไลฟ์ของเรา อย่างเรื่องวิธีการสื่อสารอีก วันนี้นั่งคุยกันรู้สึกอย่างหนึ่ง กลับไปฟังผ่านเทปก็ให้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง พอไปเขียนเป็นตัวหนังสือก็รู้สึกอีกอย่าง ดังนั้นอะไรที่สดคือมันการรับส่งกันเดี๋ยวนั้นเลย ซึ่งเราชอบอะไรแบบนั้นมาก


ก่อนหน้านี้คุณเคยขึ้นเวที One Night Stand Up ที่ยู กตัญญูเป็นคนจัดด้วย งานครั้งนั้นเป็นยังไงบ้าง

ครั้งนั้นคนดูของยูจะเป็นคนละแบบกับเราเลย คนดูของเราจะเป็นลูกสาว กระเทย แก๊ง Drag Race ก็ชวนกันมาหมดเลย แต่งตัวมาเต็มที่ คนฟังของยูก็จะเป็นคนแมน ๆ จำได้ว่าวันแรกที่ไปเดี่ยวกัน มีแฟนๆ ของเรามา เขาก็ขำกันมาก พอวันที่สองไม่มีแฟนๆ ของเราแล้ว ทุกคนนั่งแบบ (ทำหน้านิ่งๆ) ไม่เก็ต เราก็อ๋อ เรามีคนดูคนละแบบกัน เขาไม่เก็ตเฉยๆ ทั้งเรื่องภาษาและ sense of humor ที่ไม่เหมือนกัน


ถ้าให้จำกัดความ sense of humor ของปอนด์เป็นแบบไหน

เราเคยคุยกับเพื่อนว่ามันเป็นสีตุ่นๆ เหมือนอยู่ๆ ก็ได้กลิ่นเหม็นขึ้นมา มองหน้าเพื่อนแล้วขำกันแบบนั้น มีความเป็นวงในนิดนึง แต่สิ่งที่เราขำที่สุดในชีวิตก็คือสิ่งที่เป็นเรื่องจริง เราไม่ต้องปั้นคำคล้องเสียงอะไรแบบนี้ ไม่ต้องไปเล่นอะไรที่สองแง่สามง่าม เราพูดเรื่องจริง นั่นแหละคือสิ่งที่ขำที่สุดสำหรับเรา เหมือนเวลาทำใจดีทีวี เราก็แค่แสดงให้เหมือนที่สุด ข้างในไม่ต้องคิดเลยนะว่าเดี๋ยวจะแซะใคร คำว่าแซะ คำว่าจิกกัดนี่มาจากคนดู แต่ในใจเราไม่มีเลย เราแค่ชอบให้เหมือนเฉยๆ


เอาเข้าจริง ตัวตนของปอนด์เป็นแบบไหน

ลึกๆ เราเป็นคนไม่มั่นใจก็ต้องทำเป็นว่ามั่นใจ เหมือน fake it until you make it ตัวตนจริงๆ เราเป็นยังไงบางทีเรายังไม่รู้เลย ช่วงค้นหาตัวเองเราพยายามจะเป็นนั่นเป็นนี่ เคยซื้อ a day มาแล้วก็เดินถือ a day แต่เป็นคนเกลียดการอ่านหนังสือมาก เคยอยากเป็นผู้หญิงที่เก๋ อ่านหนังสือ ใส่แว่นกรอบดำ

เอาจริงๆ ทุกวันนี้เราเป็นยังไงเราก็ยังไม่รู้ เรารู้สึกว่าการเรียนรู้ตัวเองมีค่าเท่ากับการลอกอะไรก็ไม่รู้ออกจากตัวตน ยิ่งลอกได้มากก็คือยิ่งเรียนรู้มาก ยิ่งโถมอะไรใส่ตัวเองยิ่งเป็นการ unlearn ถอยหลังลงคลอง มันต้องลอกออก ยิ่งลอกก็ยิ่งเห็นตัวเองชัดขึ้น นั่นคือการเรียนรู้

การเรียนรู้ตัวเองมีค่าเท่ากับการลอกอะไรก็ไม่รู้ออกจากตัวตน ยิ่งลอกได้มากก็คือยิ่งเรียนรู้มาก

การลอกตัวเองต้องทำยังไง

เราต้องนั่งดูตัวเอง connect กับตัวเราจริงๆ แล้วก็สัมผัสความรู้สึก ไม่ใช่ความคิดนะ เพราะความคิดนี่ก็เฟค บางทีเราคิดว่าเราต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ปอนด์ ยาคอปเซ่นต้องเฟียร์ซ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดจะต้องคมต้องฉับ แต่นี่คือเราบิลด์ตัวเองหมดเลยนะ เพราะเราเข้าวัดไง ดังนั้นปัจจุบันคือความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด เมื่อความคิดมันฟุ้งซ่านมากจะคิดอะไรได้ ที่เราคิดแบบนี้แน่นอนว่าใครก็คิดได้ ซึ่งถ้าใคร ๆ ก็ทำได้นี่มันก็ไม่ใช่เราแล้ว แต่ความรู้สึกนี่เรารู้สึกได้คนเดียว คนอื่นจะรู้สึกพร้อมเราไม่ได้


คุณลอกเปลือกตัวเองอยู่เรื่อยๆ ไหม

จริง ๆ ควรนะ เราก็พยายามทำในวันที่ทำได้ พระท่านจะสอนให้เราขโมยทำ อย่างทำงานอยู่ก็แว้บมานึกถึง ให้ความคิดอยู่ในร่างกายเรา เหมือนเป็นเกม เราชอบคำหนึ่งที่ท่านบอกว่าระหว่างที่เราคิดอะไรสิ่งนั้นเป็นใหญ่แล้วในชีวิตเรา เราเคยคิดถึงตัวเองไหม ไม่เลย จะไปกินข้าว กินบุฟเฟ่ต์ แฟนทิ้ง แม่ด่า น้อยมากที่เราจะคิดถึงตัวเอง ดังนั้นเราก็เลยพยายาม จะใช้ความคิดก็ได้แต่ให้ดึงมาอยู่ในร่าง คิดถึงเข่า ขา ตับ ไตอะไรแบบนี้ แต่ตราบใดที่เรายังไม่เป็นอริยบุคคล เราก็ยังมีสิ่งที่ติดอยู่ ยิ่งเรียนรู้ดูตัวเองก็ยิ่งรู้ว่าเราอัตตาสูง

เราเอาตัวเองเป็นใหญ่ เมื่อไม่ได้ดั่งใจอย่างยามโบกรถจนเราขับรถครูดเสา เราก็โมโหยามมากๆ เพราะเราเชื่อเขา แต่จริง ๆ เขาก็ไม่ได้ตั้งใจเปล่าวะ แต่เราคิดว่าเธอคือยาม หน้าที่ของเธอคือโบกรถให้ฉันจอดรถอย่างปลอดภัย แต่เธอทำไม่ได้ มันมีฉัน มีเธอ นี่คือความยึดติดของเรา การแยกตรงนี้ทำให้เราไม่มีความสุข


พอรู้อย่างนี้แสดงว่าทุกวันนี้ก็ปรับตัวแล้วใช่ไหม

ใช่ จะมีโมเมนต์ที่เราต้องละเอียดอ่อน เราคิดว่าคนที่เป็นนักเขียน นักพูด ศิลปิน ต้องมีโมเมนต์ที่เขาต้องสัมผัสตัวเอง มีโมเมนต์ที่กลับไปสะท้อนในสิ่งที่เคยทำ อย่างเรายิ่งเวลาเข้าคอร์สยาวๆ 5-6 วัน จะมีโมเมนต์สะท้อนตัวเองเยอะมาก เราถึงรู้ว่าเราอัตตาแน่นจริงๆ นี่เราคิดว่าเราอัตตาน้อยลงกว่าปีที่แล้วแล้วนะ ส่วนปีที่แล้วก็คิดว่าน้อยกว่าปีก่อนหน้านั้น แล้วคิดดูตอนอายุ 18 เราจะเบอร์ไหน (หัวเราะ) ตอนที่ยังไม่รู้ตัว ตอนนั้นคือสวยมาก เก่งที่สุด (หัวเราะ)


คนมักจะมองคุณว่ามีความคิดเป็นฝรั่ง ไม่คิดว่าคุณจะเข้าวัดปฏิบัติธรรมด้วย

สำหรับเรา การเข้าวัดเป็นสิ่งที่ตรงจุดที่สุดแล้ว ฝรั่งก็เข้าวัดนะ แต่ถ้าถามว่าจริงๆ เราเป็นฝรั่งไหม เราว่ามันเป็นภาพที่คนอื่นมองเรามากกว่า ตอนเด็กๆ เราเคยพรีเซนต์ตัวเองว่าเป็นฝรั่ง แต่ทุกวันนี้คือเราเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ เพราะหนังสือต้องมีคำนำ เนื้อเรื่อง แล้วก็สรุป แต่เวลาพระเทศน์ก็เทศน์เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย จบ ไม่ต้องมาคำนงคำนำ มันถึงเลย เราชอบแบบนั้น แบบ ‘เอาความจริงมา’ เดี๋ยวทุกคนก็ตาย แบบนี้ เราก็เลยชอบฟังเทศน์


ธรรมะช่วยเรื่องการทำงานของคุณบ้างไหม

ช่วย เพราะว่าธรรมะคือธรรมชาติ ในการทำงานยิ่งเราเป็นธรรมชาติมันก็ยิ่งสื่อสารกับคนได้ถึง เหมือนถ้าเราเข้าใจธรรมชาติการสื่อสารมันก็สื่อถึงกัน จริงๆ แม่พาไปวัดตั้งแต่เด็ก ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันหรอกนะ แต่พอโตขึ้นเราถึงรู้ว่าเราเป็นคนที่ถ้าจะทำอะไรต้องทำให้จบ เวลาฟังพระเทศน์คือจบที่ตายเลยนะ เป็นจุดจบที่ทุกคนต้องมีร่วมกัน แล้วคือมันจบ นั่นคือระบบของเรา ระบบที่รู้สึกว่าท้ายที่สุดทุกคนต้องตาย ถ้ายิ่งคิดแบบนี้มากเท่าไหร่มันก็เหมือนช่างมันเถอะ เราจะไม่ยึดกับปัญหามาก เพราะว่าเดี๋ยวเราก็ตาย พอตายไปปัญหานั้นก็ไม่มีใครจำได้เลยนะ สิ่งที่คิดว่าใหญ่โตมากที่สุดตอนนี้ พอตายปุ๊บก็จบ แล้วจะทุกข์เพื่ออะไร

สิ่งที่คิดว่าใหญ่โตมากที่สุดตอนนี้ พอตายปุ๊บก็จบ แล้วจะทุกข์เพื่ออะไร


ธรรมะช่วยลดความอยากเป็นคนนั้นคนนี้ของคุณด้วยไหม

มันทำให้เราเห็นเลยแหละ เพราะระหว่างที่เราอยากเป็นคนนั้นคนนี้เราจะไม่รู้ตัว สมมติเราทาปากสีน้ำตาลแล้วเรารู้สึกเหมือนเป็นไคลี่ เจนเนอร์ แต่เราไม่รู้ตัว พอเพื่อนบอกว่าอีนี่ก๊อบปี้ อยากเป็นเหมือนเซเลบริตี้ เราก็เหวี่ยงว่าบ้าเหรอ ฉันทำเพื่อตัวเอง ฉันไม่ได้อยากเหมือนใครทั้งนั้น เราจะไม่รู้ตัวเลย แต่พอเราไปอยู่กับธรรมะ เขาจะบอกเลยว่าอะไรคือของจริง ถลกหนังออกมาสิ ถลกออกมาเรื่อยๆ สิ่งนี้คือของจริง แต่สังคมทุกวันนี้มันมีแต่ของไม่จริง คนก็เลยงงว่าอะไรจริง อะไรไม่จริงไง ถ้าไม่เคยถูกแสดงให้เห็นว่าความจริงคืออะไร คุณจะงงไปหมดเลย


อย่างนี้ความจริงสำหรับปอนด์คืออะไร

ความจริงมันคือธรรมชาติทั้งหมดเลย เราสัมผัสอยู่ทุกวัน แต่ถ้าเรามองผ่านเลนส์แห่งความไม่จริงมันก็บิดเบี้ยวไปหมด เช่น เรามองว่าไคลี่ เจนเนอร์สวยมาก แต่ถ้ามองว่าการที่มนุษย์คนนึงจะมีปากใหญ่ตูดใหญ่ขนาดนั้น มันก็ผิดปกตินะ แต่เราพอมองผ่านเลนส์แห่งความไม่จริง มันคือความสวย ความแซ่บ เราก็อยากจะไปฉีดปากบ้าง นี่ฉีดมาแล้วก็ไปเอาออก แต่ ณ ตอนนั้นคือบอกเพื่อนว่าบ้า ฉันไม่ได้อยากเป็นไคลี่แค่อยากลองเฉยๆ ฉันเก๋ ฉันรู้จักตัวตนดี ฉันมั่นใจอะไรอย่างนี้ แต่จริงๆ อาการพวกนี้คืออาการของคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองทั้งหมดเลย


แสดงว่าพูดอีกอย่าง ทอล์กโชว์ที่กำลังจะทำก็คือพูดถึงความจริง

ใช่ บนเวทีเราจะพูดเหมือนพูดกับเพื่อน ปกติเรากล้าไหมที่จะบอกเขาว่าลูกแกไม่น่ารัก ลูกแกย่นมาก (หัวเราะ) กล้าไหม ไม่ เราต้องมีหน้ากากเพื่อน เพื่อนตัดผมมาเราก็ต้องสวมหน้ากากเพื่อนบอกว่าเพื่อนดูดี แต่จริงๆ คือไม่ เพื่อนทำจมูกมาแล้วทุกคนก็บอกว่าดีๆ เดี๋ยวก็ยุบ (หัวเราะ) แต่เดี๋ยว! เหมือนสะพาน Golden Gate มาก อยากขับรถข้าม ทุกวันนี้เรามีหน้ากากที่เราต้องใส่ แต่บนเวทีเราก็จะพูดเลยว่านี่คือสะพาน Golden Gate ลูกแกไม่น่ารัก เขาจะได้ความจริงอย่างน้อยก็จากฉันนะ (หัวเราะ)

อย่างที่บอกว่าโลกนี้มันเต็มไปด้วยของจริงบ้างไม่จริงบ้าง ในทอล์กเราจะบอกว่าความจริงของเราคืออะไร และความไม่จริงมันก็ไม่ใช่จะไม่ดีไปเสียหมด หน้ากากก็มีหน้าที่ของเขา แต่เราจะไม่บอกว่าอะไรดีอะไรไม่ดีนะ อย่างที่บอกว่าเวลาเราเป็นตัวละครต่างๆ สิ่งที่จำเป็นสำหรับเรามันก็แค่ความเหมือน เราพูดให้เหมือนจริงเฉย ๆ แต่ว่าดีไม่ดีนั้น คุณเป็นคนตัดสิน


ภาพ
เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล

AUTHOR