Converse เพื่อนหญิงพลังหญิงที่ออกแบบข้ามทวีปโดย Millie Bobby Brown และพอลลีน วัฒโนดม

Millie By Youเมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงชีวิตวัยรุ่น รองเท้าผ้าใบ Converse น่าจะเป็นส่วนประกอบเล็กๆ ในความทรงจำของใครหลายคน

พอลลีน–พร วัฒโนดม ก็เช่นกัน

เธอคือคนหนึ่งที่มี Converse เป็นสมาชิกประจำตู้รองเท้าที่บ้านมานาน โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มีโอกาสออกแบบคอลเลกชั่นพิเศษให้กับแบรนด์ระดับโลกแบรนด์นี้ แถมยังเป็นการออกแบบร่วมกับนักแสดงสาวดาวรุ่งอย่าง Millie Bobby Brown จากภาพยนตร์เรื่อง Enola Holmes และซีรีส์ Stranger Things ผู้เคยร่วมงานกับ Converse มาแล้ว 2 คอลเลกชั่นด้วยกัน

แม้ว่ารองเท้าผ้าใบของ Converse ส่วนใหญ่จะมีจุดแข็งคือดีไซน์ที่คลาสสิก เรียบง่าย และเข้ากันได้ดีกับเสื้อผ้าแทบทุกลุค จนครองใจผู้คนทุกยุคสมัยและแทบไม่เคยหายไปจากเทรนด์แฟชั่น แต่สำหรับดีไซน์ Pinky Promise ในคอลเลกชั่นที่ 3 ของ Millie By You มิลลี่และพอลลีนตั้งใจเลือกใช้ลายเส้นกราฟิกที่มี stroke โดดเด่นสะดุดตา พร้อมตัวเลือกหลากหลายเฉดสี แถมยังมีกิมมิกสนุกๆ คือการเปิดให้ผู้ซื้อปรับแต่งรองเท้าได้เองอีกด้วย (น่าเสียดายที่ Converse เปิดให้จับจองได้แค่ในโซนอเมริกาเหนือและยุโรปเท่านั้น)

ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดนี้ เราไม่แปลกใจที่คอลเลกชั่นนี้จะขายหมดอย่างรวดเร็ว

ในเมื่อโปรเจกต์นี้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะชักชวนดีไซเนอร์อย่างพอลลีนมาเล่าเบื้องหลังสนุกๆ ในระหว่างการออกแบบ ซึ่งเธอต้องเก็บเป็นความลับมาตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา

Millie x PaulineMillie By You

ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่โปรเจกต์นี้จะเกิดขึ้น พอลลีนคือหนึ่งในสมาชิกคอมมิวนิตี้ Converse All Star ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของ Converse ที่จะสร้างเครือข่าย young creative leader นับร้อยคนจากหลายประเทศทั่วโลก และโครงการนี้เองที่ได้พาผลงานของเธอไปสู่สายตาของมิลลี่จนได้ร่วมงานกันในที่สุด

“ทันทีที่ได้เห็นผลงานของพอลลีนและโซเชียลมีเดียของเธอ ฉันพบว่ามันช่างเต็มไปด้วยกราฟิกสีสันสดใสและถ้อยคำที่ส่งต่อพลังบวก” มิลลี่อธิบายถึงความประทับใจแรกของเธอต่อผลงานของพอลลีน

ถึงแม้ว่าพอลลีนจะมีพื้นฐานการดีไซน์อย่างเข้มข้น ในฐานะนิสิตชั้นปีที่ 4 ภาควิชา Communication Design คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่เธอก็ยอมรับว่าตัวเองไม่เชี่ยวชาญงานกราฟิกดีไซน์มากอย่างที่ใครหลายคนคิด โปรเจกต์นี้จึงห่างไกลจากคำว่าง่ายอยู่หลายขุม ทั้งยังมีสารพัดข้อจำกัดในแง่การผลิตที่ส่งผลกระทบมาสู่ขั้นตอนการออกแบบ รวมถึงความยากในการถ่ายทอดแก่นสำคัญของคอลเลกชั่นนี้ นั่นคือการให้กำลังใจผู้หญิงในสังคม

“อย่างแรกที่เราถามทาง Converse ไปคือ เราสามารถไล่สีรองเท้าเป็น gradient ได้ไหม (หัวเราะ) เพราะเราเป็นคนที่ชอบสีสันเยอะๆ ได้มีโอกาสดีไซน์รองเท้าให้ Converse ทั้งทีเราก็ฟุ้งไอเดียมากมายเต็มไปหมด” พอลลีนเล่าถึงไอเดียแรกของเธอที่ต้องพับเก็บไปในทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับเงื่อนไขมากมาย

“แต่เนื่องจากเขาต้องผลิตในระบบ mass production และใช้เทคนิคซิลก์สกรีน ทำให้เราถูกจำกัดให้ใช้สีได้ไม่เกิน 3 สี ซึ่งมันน้อยมาก (เน้นเสียง) แล้วก็ไม่สามารถออกแบบลายที่มีดีเทลละเอียดมากเกินไปได้ด้วย”

อีกหนึ่งความยากของพอลลีนคือการออกแบบบนพื้นที่รูปทรงแปลกประหลาดอย่างรองเท้า Chuck Taylor All Star ซึ่งแตกต่างจากการวาดภาพบนแคนวาสทรงสี่เหลี่ยมทั่วไปอย่างสิ้นเชิง 

“มันเป็นความยากทั้งในเรื่องของรูปทรง สัดส่วน และองค์ประกอบด้วย เนื่องจากพื้นฐานเราเป็นคนชอบอะไรเยอะๆ ชอบให้งานดูเต็มเฟรม ดังนั้นช่วงแรกเราจึงพยายามที่จะใช้พื้นที่ให้เต็มรองเท้าที่สุด แต่ก็มีฟีดแบ็กกลับมาว่าเขาอยากให้เราลดทอนลงเหลือแค่จุดเดียว ซึ่งเราก็เสียดายแหละ เพราะรู้สึกว่ามันยังมีพื้นที่ตรงนี้เหลืออยู่เลยนะคะ” พอลลีนเล่าติดตลก

ผู้หญิง ≠ สีชมพู

พอลลีนในวัย 21 ปีนับว่าเป็นนักเรียนออกแบบที่มีผลงานหลากหลาย สดใหม่ และวัยรุ่นมาก แต่ถึงอย่างนั้นการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคอลเลกชั่น Millie By You ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ 

“ทาร์เก็ตกรุ๊ปของโปรเจกต์นี้คือวัยรุ่นอเมริกัน เพศหญิง อายุ 14-16 ปี ซึ่งถึงเราจะยังไม่แก่แต่เราก็ผ่านช่วงวัยนั้นมาได้สักพักแล้ว พยายามจะนึกย้อนกลับไปแต่ก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าตัวเองในวัยนั้นเคยชอบอะไรบ้าง” พอลลีนว่า

โชคดีที่เธอผ่านจุดนั้นมาได้ด้วยการรีเสิร์ชและลิสต์คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเมสเซจและอินไซต์ความเป็นผู้หญิง อย่างเรื่องหุ่น หน้าอก เส้นผม สีผิว ผสมกับไอเดียจากฝั่งมิลลี่ซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับกลุ่มเป้าหมายมากกว่า

“มู้ดบอร์ดที่มิลลี่ทำมาช่วยให้เราเห็นภาพรวมมากขึ้น หนึ่งในนั้นมีภาพลายเส้น doodle ที่เราเลือกหยิบมาต่อยอด ผสมกับความชอบส่วนตัวของเราเองที่ชอบสีสันฉูดฉาด ชัดเจน และค่อนข้างเป็นนามธรรม เสนอเป็นไอเดียลายเส้นสีดำที่วางซ้อนอยู่กับบล็อกสีสไตล์ฟรีฟอร์มเพื่อให้มันดูมีเลเยอร์มากขึ้น ซึ่งมิลลี่ก็ชอบไอเดียนี้มากเพราะเขารู้สึกว่ามันสะท้อนถึงความ perfectly imperfect ที่คุณไม่จำเป็นต้องระบายสีให้อยู่ในเส้นในกรอบเสมอไป” 

และถึงแม้ว่าจะเป็นคอลเลกชั่นที่ออกแบบมาเพื่อกลุ่มเด็กผู้หญิงวัยรุ่น แต่มิลลี่และพอลลีนก็ตั้งใจให้รองเท้ารุ่นนี้มีเฉดสีที่หลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เป็นตัวของตัวเองตลอดเวลาที่สวมใส่ 

“ในคอลเลกชั่นนี้เราอยากรวบรวมเฉดสีที่เป็นพลังบวก เห็นแล้วยิ้ม สร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิง และไม่จำเป็นต้องเป็นสีชมพู!” มิลลี่อธิบายไว้กับ Converse 

“เราเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ชอบสีชมพู แต่สุดท้ายแล้วคอลเลกชั่นนี้ก็มีสีชมพูอยู่ดีนะ” พอลลีนเล่าพร้อมกับหัวเราะ แต่นั่นเป็นเพราะโลกนี้ยังมีผู้หญิงที่ชอบสีชมพูอยู่ ดังนั้นพวกเธอจึงเลือกที่จะเพิ่มตัวเลือกให้กับคนที่ชอบสีอื่นๆ ซึ่งนอกจากสีเบสิกอย่างขาวและดำแล้ว เฉดสีที่เหลือก็จะเน้นไปทางพาสเทลตุ่นๆ ในสไตล์ของมิลลี่

“เนื่องจากคอลเลกชั่นนี้ออกแบบมาเพื่อให้คนสามารถปรับแต่ง เลือกสีลิ้น เชือกรองเท้า และสีดีไซน์ต่างๆ รวมถึงสามารถเขียนชื่อหรือคำไว้ที่ด้านหลังรองเท้าได้ด้วย ด้วยเหตุผลนี้มันจึงต้องเป็นกลุ่มสีที่เข้ากัน สามารถนำไปแมตช์ได้ไม่ยากเกินไป” พอลลีนเสริม

รองเท้าของเพื่อนสาว พี่สาว และน้องสาว

นอกจากจะเป็นรองเท้าที่ช่วยส่งพลังให้กับผู้หญิงแล้ว คอลเลกชั่นนี้ยังถูกเปิดให้จับจองกันในช่วงเดือนมีนาคมหรือ International Women’s Month

“เราคิดว่าเดือนนี้จะมีส่วนช่วยให้โปรเจกต์นี้เสียงดังขึ้น เพราะสิ่งสำคัญที่เราอยากสื่อสารผ่านดีไซน์ก็คือกำลังใจ เราอยากให้ผู้หญิงทุกคนที่สวมรองเท้าคู่นี้รู้ไว้เสมอว่าผู้หญิงอย่างเราจะซัพพอร์ตกันและกันเสมอเหมือนพี่สาวกับน้องสาว” พอลลีนอธิบายถึงที่มาของคีย์เวิร์ดสำคัญในการออกแบบอย่าง ‘sisterhood’ ซึ่งทั้งเธอและมิลลี่ต่างก็มีประสบการณ์ตรงในฐานะเด็กผู้หญิงที่เติบโตมากับพี่สาว-น้องสาวในครอบครัว

เพราะทั้งสองต่างเชื่อว่าผู้หญิงจะเข้มแข็ง มีพลัง และเต็มไปด้วยความเข้าใจกันเสมอ แม้ไม่ใช่ผู้หญิงที่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ตาม

“เรารู้สึกว่าการซัพพอร์ตกันเองของผู้หญิงมันเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะในปัจจุบันโลกนี้ยังขับเคลื่อนด้วยผู้ชายและมีแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่อยู่มาก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะดีขึ้นมากแล้วแต่เราก็รู้สึกว่าเรายังต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้กันต่อไป 

“ทุกวันนี้ norm ของสังคมยังคงบีบให้ผู้หญิงต้องทำตัวแบบเดียว พูดจาแบบเดียว ถึงจะเป็นผู้หญิงที่ดี ซึ่งเรารู้สึกว่ามันไม่จำเป็น และแม้กระทั่งกับตัวเราที่คิดและเชื่อแบบนี้มาโดยตลอด แต่สุดท้ายแล้วเราก็ยังถูกกดดันให้ ‘ทำตัวดีๆ’ ในแบบที่คนส่วนใหญ่ต้องการอยู่เลย” พอลลีนคือคนหนึ่งที่เผชิญกับอำนาจที่กดทับผู้หญิงในสังคมโดยตรง และตัดสินใจถ่ายทอดมันผ่านคอลเลกชั่นนี้

“เราอยากให้ทุกคนมั่นใจและแฮปปี้กับตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงแบบไหน คุณจะชอบสีอะไร นั่นคือตัวตนของคุณ ดังนั้นเราจึงดีใจมากที่คอลเลกชั่นนี้สามารถปรับแต่งเองได้ เพราะนอกจากมันจะตอบโจทย์คนที่ใส่แล้ว มันยังทำให้เรารู้สึกว่ารองเท้าคู่นี้ไม่ใช่แค่ดีไซน์ของเราหรือมิลลี่ แต่ทุกคนที่ซื้อไปจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการดีไซน์ ขณะเดียวกันเราก็เป็นพาร์ตหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้เขาได้เป็นตัวเองด้วย”

เพราะดีไซน์ที่ดี ไม่ได้มีดีแค่สวย

ในหลายเดือนที่ร่วมงานกับ Converse ผลงานการออกแบบของพอลลีนต้องผ่านกระบวนการทดลอง รับฟีดแบ็ก และแก้แล้วแก้อีกจนนับครั้งไม่ถ้วน ขณะเดียวกันก็ต้องลดทอนรายละเอียดไปมากมาย กว่าจะได้มาเป็นดีไซน์ Pinky Promise บนรองเท้า Millie By You คู่นี้

“ถ้าเทียบดูดราฟต์แรกกับตัวไฟนอล สิ่งที่เราทำตอนแรกมันค่อนข้างนามธรรมกว่านี้มาก เป็นลายเส้นแบบฟรีฟอร์มและมีดีเทลเยอะ แต่ในกระบวนการพัฒนาดีไซน์ งานของเราก็ค่อยๆ ถูกเชปให้ realistic มากขึ้น ซึ่งเป็นทิศทางที่ทาง Converse มองว่าเหมาะสมที่สุดกับโปรเจกต์นี้

“กระบวนการนี้สอนอะไรเราหลายอย่างเหมือนกัน สำหรับคนที่คุ้นเคยกับงานวิดีโอซึ่งมีรายละเอียดเยอะและเคลื่อนไหวตลอดเวลา พอมาทำงานนี้เราจึงต้องรู้จักที่จะตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปและคงไว้แค่ส่วนที่สำคัญ เพราะมันต้องสื่อสารให้ง่ายที่สุด จบในตัว ดูแล้วเข้าใจได้เลยในทันที” ถึงอย่างนั้นดีไซน์ที่เราเห็นก็ยังเป็นลายเส้นที่มีมูฟเมนต์ คล้ายกับงานภาพเคลื่อนไหวที่พอลลีนชื่นชอบ อย่างการผ่อนหนัก-เบาของเส้น stroke หรือจังหวะการขยับของสร้อยข้อมือ

“เมื่อต้องปรับแก้งานบ่อยๆ คุณรู้สึกเหนื่อยหรือท้อบ้างไหม” เราอดสงสัยไม่ได้ 

“เรากลัวว่าจะทำให้ใครผิดหวังมากกว่า มีหลายครั้งเราแอบคิดว่ามันยังไม่สวย จนอยากทำให้มันจบๆ ไปสักทีดีไหม แต่พี่สาวเราก็พยายามให้กำลังใจ บอกให้เราทำต่อไป เพราะมันโอเคแล้วจริงๆ”

ท้ายที่สุดแล้วผลงานของพอลลีนก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ไม่ใช่แค่ในแง่ความสวยงาม แต่ยังรวมไปถึงการสื่อสารเมสเซจและสตอรีเบื้องหลังการออกแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งเธอ มิลลี่ และทาง Converse ต่างก็ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน

“เรื่องการสื่อสารคือสิ่งที่เราเรียนรู้มาตลอด 4 ปีในฐานะนักเรียน Communication Design คือถ้าเมสเซจคุณดี คุณสื่อออกมาได้ ไปด้วยกันกับวิชวล มันก็จะเป็นโปรเจกต์ที่ดี ครบ จบ รอบด้าน” พอลลีนสรุป

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน