บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ Enola Holmes
มีหลายเหตุผลที่ทำให้ Enola Holmes ดึงความสนใจฉันได้ตั้งแต่ปล่อยตัวอย่างหนัง
หนึ่ง–เพราะมีน้อง Millie Bobby Brown ผู้น่ารักและฝากฝีมือการแสดงที่ไว้ใจได้จาก Stranger Things มารับบทนำเป็นน้องสาวของเชอร์ล็อก โฮล์มส์ สอง–เชอร์ล็อก โฮล์มส์ รับบทโดยหนุ่มฮอตที่สุดคนหนึ่งในฮอลลีวู้ดตอนนี้อย่าง Henry Cavill (ยังไม่นับ Sam Claflin ที่มารับบท Mycroft Holmes พี่ชายคนโตของตระกูลอีกนะ) สาม–หนังกำกับโดย Harry Bradbeer ที่เคยทำซีรีส์ดัง Killing Eve และเรื่องที่ทำให้ฉันขำก๊ากทั้งน้ำตามาแล้วอย่าง Fleabag ยังไม่รวมเหตุผลว่ามันสร้างมาจากวรรณกรรมเยาวชนความยาว 5 เล่มจบที่โด่งดังและมีรางวัลการันตี ว่าด้วยการไขคดีของเอโนลา โฮล์มส์ นักสืบรุ่นเยาว์ที่ฝีมือเก่งฉกาจไม่แพ้พี่ชาย
แค่นี้ต่อมความอยากดูก็ถูกกระตุกโดยพลัน และหลังจากดูจบ อาจพูดได้ว่า Enola Holmes พาฉันไปไกลกว่าคำว่าหนังดูฆ่าเวลาได้แบบเกินคาด เพราะมันรวยอารมณ์ขัน ทำให้ลุ้นจิกเบาะ มีฉากซึ้งจับใจ และมีอีกหลายเหตุผลเลยที่ทำให้ฉันตกหลุมรักมันได้โดยง่ายดาย
โดดเดี่ยวแต่ไม่เปลี่ยวเหงา เพราะมีคนดูเป็นเพื่อน
ชื่อของ Enola มาจากคำว่า Alone สะกดย้อนหลัง เพราะ Eudoria Holmes แม่ของเธอ (รับบทโดย Helena Bonham Carter) ชอบเกมสะกดคำมากจนหยิบทริกการเล่นมาใช้ตั้งชื่อ ในขณะเดียวกันชื่อนี้ก็บ่งบอกคาแร็กเตอร์ของเอโนลาเป็นอย่างดี เพราะพ่อของเธอตายตอนยังเด็ก พี่ชายทั้งสองก็ออกจากบ้านไปตั้งแต่จำความได้ ทั้งชีวิตของเธอมีแต่แม่คนเดียวเท่านั้น
แล้วพอถึงวันเกิดอายุ 16 ปีของเอโนลา แม่ของเธอก็หายตัวไปอีก นางสาวเอโนลาจึงกลายเป็นนางสาวอโลนอย่างเต็มตัว แม้จะได้พบพี่ชายทั้งสองซึ่งกลับบ้านมาดูแลเธอแทนแม่ ทว่าการปฏิบัติราวกับเธอเป็นภาระก็ทำให้เอโนลาเหงาขึ้นเท่าทวี นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอ ‘เริ่มพูดกับคนดู’ เพื่อคลายความรู้สึกโดดเดี่ยว ในแง่การเล่าเรื่อง วิธีนี้เรียกว่า Break the 4th wall ซึ่งแบรดเบียร์-ผู้กำกับเคยใช้กับซีรีส์อย่าง Fleabag มาแล้ว พอหยิบมาใช้กับตัวละครนี้ก็ดูเป็นกิมมิกสนุกๆ ที่สมเหตุสมผล
นอกจากจะทำให้คนดูรู้สึกถึงความเปลี่ยวเหงาของเอโนลา การหันมาสนทนาเป็นช่วงๆ ของเธอก็ค่อยๆ สร้างความใกล้ชิดระหว่างเรากับเอโนลาทีละนิด จนเมื่อหนังดำเนินไปถึงช่วงท้ายสุด เราก็รู้สึกสนิทกับเธอโดยไม่รู้ตัว
สำรวจอีกด้านของเชอร์ล็อก โฮล์มส์
“เธอใช้อารมณ์ มันเข้าใจได้ แต่ไม่จำเป็น”
แม้จะพูดไม่บ่อยมากจนนับเป็นประโยคติดปากไม่ได้ แต่ประโยคนี้ของเชอร์ล็อก โฮล์มส์เวอร์ชั่นเฮนรี่ คาวิลล์ ก็น่าจดจำมากพอ เพราะนอกจากจะตอกย้ำคาแร็กเตอร์ของเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ผู้เย็นชาในเวอร์ชั่นก่อนๆ ที่เราเคยดู ประโยคนี้ยังทำให้เราเห็นว่าตัวละครนี้ก็เข้าใจเรื่องหัวจิตหัวใจกับเขาเหมือนกัน เขามีมุมอ่อนไหวแค่แสดงออกไม่บ่อยเท่านั้น (แต่เรื่องนี้จะบ่อยกว่าที่เคยเห็นแน่ๆ)
แปลกดีเหมือนกันที่พอเชอร์ล็อกกลายเป็นคนมีหัวใจ Nancy Springer นักเขียนนิยายต้นฉบับ, แบรดเบียร์ ผู้กำกับ, Jack Thorne นักเขียนบทหนัง, Legendary และ Netflix ผู้สร้างเวอร์ชั่นนี้ก็โดน Plaintiff Conan Doyle Estate บริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์เชอร์ล็อก โฮล์มส์ ฟ้องร้องว่าการทำให้คาแร็กเตอร์เชอร์ล็อก โฮล์มส์ ซึ่งเป็น ‘คนเย็นชา ไร้ความรู้สึก ชังผู้หญิง ไม่สามารถผูกมิตรกับใคร’ ให้กลายเป็นคนอบอุ่นและใจดีกับน้องสาวนั้นเป็นการฝ่าฝืนลิขสิทธิ์
อันที่จริง เชอร์ล็อก โฮล์มส์ คือวรรณกรรมที่กลายเป็นทรัพย์สินสาธารณะมาตั้งนานนม แต่เวอร์ชั่นของเฮนรี่ คาวิลล์ ในเรื่องนี้ดันเป็นเชอร์ล็อกที่อยู่ในยุคปี 1884 (ยังไม่เจอ John Watson คู่หูของเขา) มันดันไปตรงกับช่วงเวลาในนิยาย 10 เรื่องสุดท้ายของ Conan Doyle เป๊ะ (ตีพิมพ์ระหว่างปี 1923 ถึง 1927) ซึ่งจะกลายเป็นทรัพย์สินสาธารณะในปี 2022 นู่น ประเด็นคือใน 10 เรื่องสุดท้ายนั้น ดอยล์เขียนโฮล์มส์ให้เป็นคนมีหัวจิตหัวใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งตรงกับเชอร์ล็อก โฮล์มส์ใน Enola Holmes และนั่นคือเหตุผลที่โดนฟ้อง
ถึงตอนนี้การฟ้องร้องยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะหรือแพ้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าโฮล์มส์เวอร์ชั่นคาวิลล์นั้นมอบอีกแง่มุมของตัวละครซึ่งน่าสนใจ เป็นโฮล์มส์แบบอบอุ่นก็มีเสน่ห์ไม่ต่างจากเวอร์ชั่นเย็นชาเลยนะ
ประวัติศาสตร์ยุคเก่าที่ยังเป็นจริงในปัจจุบัน
นอกจากการตีความตัวละครแบบใหม่ สิ่งที่ทำให้ฉันตื่นตาคืองานสร้างที่พาคนดูย้อนกลับไปชมวิวสวยๆ ของชนบทอย่างเฟิร์นเดลและบ้านเมืองลอนดอนสมัยนั้น สิ่งที่น่าชื่นชมไม่แพ้กันคือถึงแม้หน้าหนังจะเป็นหนังดูสนุก ย่อยง่าย แต่ก็สอดแทรกประเด็นสังคมอันร้อนแรงลงไป ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่ช่วยขับเคลื่อนเรื่องราว รวมทั้งพัฒนาการตัวละครอย่างเอโนลาได้อย่างเข้มข้น
เอโนลาค้นพบว่าปริศนาการหายไปของแม่เป็นมากกว่า ‘การทอดทิ้งลูก’ เท่านั้น แต่มีความเกี่ยวพันกับการผลักดันกฎหมายปฏิรูปการเลือกตั้งให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน พูดให้เข้าใจง่ายอีกนิดคือ แม่ของเธอมีส่วนร่วมในภารกิจขับเคลื่อนให้เกิดสังคมประชาธิปไตยในคนหมู่มากนั่นเอง
การขับเคลื่อนนี้เกิดขึ้นจริงในลอนดอนช่วงปี 1884 เกิดการผลักดันกฎหมาย The Third Reform Act โดยรัฐบาลของ William Gladstone ซึ่งตั้งใจจะขยายฐานการโหวตไปสู่ประชาชนทั่วไปมากขึ้น รายละเอียดอาจไม่เหมือนกับในหนังเสียทีเดียว แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่ไม่น่าจะต่างคือความพยายามส่งเสียงของคนตัวเล็กตัวน้อยที่โดนสังคมกดทับ
ฉากหนึ่งที่ถูกกล่าวขวัญในโลกออนไลน์อย่างมากคือฉากเชอร์ล็อก โฮล์มส์ คุยกับ Edith (รับบทโดย Susan Wokoma) ครูสอนการต่อสู้คนแรกของเอโนลา ในร้านชาของเธอ แม้จุดประสงค์ของเชอร์ล็อกคือการมาหาเบาะแสของน้องสาวที่ออกตามหาแม่ในลอนดอน แต่บทสนทนาของพวกเขากลับตึงเครียด เสียดสีคนชนชั้นสูงผู้เป็นอิกนอแรนต์ และน่าเศร้าที่มันยังใช้ได้จริงในปัจจุบัน
“เพราะคุณไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงเมื่อไร้อำนาจ คุณไม่สนใจเรื่องการเมือง” อีดิธวิจารณ์
“มันน่าเบื่อจะตาย” เชอร์ล็อกแก้ตัว ก่อนอีดิธจะตอกกลับว่า
“คุณไม่สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงเพราะโลกที่คุณอยู่สุขสบายดีอยู่แล้ว”
บอกเลยว่า พริกกะเหรี่ยงร้อยเม็ดยังไม่เผ็ดเท่า
เสียงของผู้หญิง เสียงของคนรุ่นใหม่ เสียงของทุกคน
หนังยังสอดแทรกเรื่องการส่งเสียงของคนรุ่นใหม่และผู้หญิง อย่างตัวละครไวเคานต์ทิวส์เบอร์รี่ มาร์ควิสแห่งแบซิลเวเธอร์ (รับบทโดย Louis Partridge) เด็กหนุ่มผู้ถูกไล่ฆ่าเพราะตัวเองกำลังจะได้เป็นขุนนางผู้ออกเสียงโหวตปฏิรูปสังคม หรือตัวละครเอกอย่างเอโนลาผู้ไม่เคยถูกสอนให้ทำตัวเรียบร้อยหรือเป็นกุลสตรีตามแบบแผนตั้งแต่เด็ก “ไม่เหมือนหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงมาดี ฉันไม่เคยถูกสอนให้เย็บปักถักร้อย ไม่เคยปั้นกุหลาบขี้ผึ้ง เย็บผ้าเช็ดหน้า หรือร้อยเปลือกหอย ฉันถูกสอนให้ดู ฟัง ถูกสอนให้สู้ นี่คือสิ่งที่แม่สร้างฉันไว้” ซึ่งโชคดีแค่ไหนที่เธอได้รับการปลูกฝังแบบนั้น เพราะทั้งหมดที่แม่พร่ำสอนเธอทั้งการอ่าน วิทยาศาสตร์ การต่อสู้ หรือแม้กระทั่งเกมต่อคำ ย่อมต่อยอดมาเป็นวิชาที่ทำให้เธอเอาตัวรอดในโลกความจริงอันโหดร้าย
เมล็ดพันธุ์ในตัวเอโนลาเจริญงอกงามจนทำให้เธอเป็นอิสระจากขนบของสังคม และยังทำให้เธอเป็นคนคิดนอกกรอบ มองเห็นภาพกว้างของปัญหา และเมื่อประกอบเข้ากับความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นซึ่งติดตัวเธอมา เธอจึงกล้าเสี่ยง กล้าส่งเสียง และกล้าก้าวขาเข้าไปยืนอยู่ฝั่งที่คิดว่าถูก สิ่งที่เธอทำจึงสร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง และไปไกลกว่าภารกิจตามหาแม่แบบที่ตัวเธอเองก็คิดไม่ถึง
ทั้งหมดทั้งมวลเริ่มจากต้นกล้าความคิดว่า ‘เธอสามารถเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองได้’ และ ‘อนาคตขึ้นอยู่กับเรา’
ใช่ ชีวิตเราเป็นของเรา อนาคตขึ้นอยู่กับเรา จงกล้าเสี่ยง กล้าส่งเสียง กล้าก้าวขาเข้าไปยืนอยู่ฝั่งที่คิดว่าถูก
ใครจะรู้ สิ่งที่เราเลือกทำมันอาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง แบบที่ตัวเราก็คิดไม่ถึง
อ้างอิง
Netflix