One for the Road คือหนังที่เต็มไปด้วยความหวัง
ความหวังของบาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ที่จะผลักดันหนังเรื่องนี้ไปสู่ฝั่งได้สำเร็จ หลังจากกำเนิด ตรากตรำ ทดท้อ ต่อสู้มายาวนาน
ความหวังของ Houseton และ GDH ที่จะดันรายได้หนังเรื่องนี้ให้ไปได้สวย ในภาวะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทะลุหลักหมื่นมาหลายวัน แม้หน้าหนังและชื่อชั้นผู้กำกับนั้นไม่ธรรมดา แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์แบบนี้คนเบื้องหลังคงหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไหร่
ความหวังของตัวละครในเรื่องที่ต่างเคยทำผิด และหวังว่าจะได้รับการให้อภัยเมื่อไปเอ่ยคำขอโทษต่อคนคนหนึ่งที่ปลายทาง
มันอาจน่าน้อยใจแทนบาสสักนิด ว่าเวลาสื่อพูดถึง One for the Road ช่วงโปรโมต มักจะพูดว่าเป็น ‘หนังบาสที่หว่องโปรดิวซ์’ เสมอ แม้ว่า หว่องกาไว ยอดผู้กำกับชาวฮ่องกงจะเป็นโปรดิวเซอร์ แต่ตัวหนังนั้นมีความเป็นบาสอยู่เต็มเปี่ยม ทั้งเรื่องสไตล์การเล่าเรื่องที่ฉับไว ไม่เรียงลำดับเวลามาก โปรดักชั่นเนียนกริ๊บ และการดำเนินเรื่องที่ใช้ความสามารถทางการแสดงเป็นตัวโอบอุ้มหนังทั้งเรื่อง
ด้วยลายเซ็นที่ชัดมากของบาส ทำให้คนที่ชินกับการดูหนังพล็อตประมาณนี้ที่ให้เวลากับการเดินเรื่อง อาจจะไม่ชินหรือไม่ชอบกับจังหวะของหนังในช่วงแรก แต่สักพักจะเริ่มจูนติดและดูไปได้เพลินจนจบ กลายเป็นว่าการเล่าเรื่องและตัดต่อแบบไม่ลำดับเวลา ช่วยขยายและขยี้ปมของตัวละครที่มีจำนวนมากและซับซ้อนได้ดีทีเดียว
เนื้อหาของหนังว่าด้วยการเดินทางไปหาแฟนเก่าของอู๊ดและบาส เล่าเรื่องความสัมพันธ์และความหวังได้ค่อนข้างจริงและหลายมิติ มีตั้งแต่การสมหวังที่ได้รับการให้อภัย ไปจนถึงการบดขยี้ความหวังนั้นอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะบางความสัมพันธ์นั้นเปราะบาง เสียแล้วซ่อมไม่ได้ ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจฟื้นคืนให้ดีดังเดิม
บาสมักให้สัมภาษณ์ว่า One for the Road มีความเป็นหนังส่วนตัวอยู่สูง เราไม่รู้ว่าบาสนำชีวิตส่วนตัวมาใส่มากแค่ไหน แต่ที่รู้คือ หนังพูดถึงคนไม่มีที่ยืน ไม่มีที่ไป และพยายามตะเกียกตะกายเพื่อแสวงหาความสุข หนึ่งในนั้นคือการเดินทางไปเอ่ยคำขอโทษต่อคนที่เคยทำผิด และหวังว่าจะได้รับการให้อภัย
เพราะการมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ทรมานกว่าความตายยิ่งนัก
การเล่าเรื่องนี้ให้คนอินจำเป็นมากที่ต้องใช้นักแสดงคุณภาพ ซึ่งทีมนักแสดงเรื่องนี้ทำได้ดีทุกคน แม้ตัวบทจะขับเน้นให้ ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร และ ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ เป็นตัวนำ แต่บทก็เฉลี่ยการแสดงให้ตัวละครได้เด่นเท่าๆ กัน ยิ่งบวกกับโปรดักชั่นที่ดี สีสวย ก็ยกระดับหนังขึ้นไปอีกขั้น
เรื่องหนึ่งที่เราแอบเสียดาย คือการใช้เสียงและเพลงในเรื่องที่สามารถชูให้เด่นและเล่าเรื่องได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ดี มันอาจเป็นจังหวะที่กำลังดีแล้วในมุมของผู้กำกับ ไม่งั้นอาจไปกลบจุดอื่นจนเสียสมดุลไป
ในบรรดา 3 ความหวังที่เอ่ยถึงตอนต้น เราเชียร์และลุ้นให้ความหวังของผู้สร้างเป็นจริงที่สุด One for the Road เป็นหนังที่คุ้มกับการดูในโรง เพราะมันมอบพลังบวกให้คนดู การหนีจากโลกความเป็นจริงเพื่อชมมหรสพในโรงภาพยนตร์ช่วยฟื้นฟูจิตใจได้ดี นี่คือสิ่งที่ GDH ทำได้ดีมาตลอดและน่าจะช่วยอุตสาหกรรมหนังไทยให้มีความหวังขึ้นมาบ้างในปีนี้