ศักดิ์ศรีและอีโก้ของ Tattoo Colour กับความฝันที่อยากใช้ดนตรีให้เป็นอาชีพตลอดไป

“อวดเก่งจริงๆ”

“อีโก้ตัวใหญ่จังเลย”

“ตอบได้น่าหมั่นไส้มาก”

ข้างต้นคือความรู้สึกส่วนหนึ่งของ Tattoo Colour หลังจากที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของตัวเองในอดีตจากนิตยสาร a day ฉบับที่ 112 (2009) 

นั่นคือช่วงที่วงโด่งดังอย่างเต็มที่และประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดหลังจากปล่อยอัลบั้มที่ 2 ไม่ว่าจะเป็นเพลงโกหก, เปิดเพลงไหน เปิดเมื่อไหร่ ก็ยังสวยงาม, โอกาสสุดท้าย, จำทำไม, ขาหมู หรือ Cinderella เราเชื่อว่าหลายคนรู้จักพวกเขาจากเพลงเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่วงเต็มไปด้วยอีโก้และเป็นช่วงที่เหลิงที่สุดในชีวิต

“เราคิดว่าตัวเองแม่งแน่ คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าช่วง 25 คือเบญจเพส เป็นช่วงที่ไม่ดีของชีวิต แต่สำหรับ Tattoo Colour คือจุดพีกของวง เราก็เลยรู้สึกว่า ขนาดดวงชะตายังทำอะไรพวกกูไม่ได้เลย!” 

แน่นอนว่ากราฟชีวิตของคนเรามีขึ้น ก็ต้องมีลง เพราะหลังจากอัลบั้มที่ 2 กระแสของวงค่อยๆ เริ่มถดถอยลงมา จนกระทั่ง อัลบั้มล่าสุดและการทำคอนเทนต์ TCTV ใน Youtube ทำให้ผู้คนเริ่มกลับมาเห็นวงอีกครั้งหนึ่ง

ตลอดระยะเวลา 18 ปีที่พวกเขาโลดแล่นในวงการเพลง ตั้งแต่วงแห่งศักดิ์ศรีของเด็กขอนแก่น ‘I-scream 479’ ที่เริ่มต้นจากเวทีประกวด แต่ไม่เคยชนะเลยสักครั้ง ทำเพลงออกมาขายในโรงเรียน และกลายมาเป็น Tattoo Colour ภายใต้รั้ว Smallroom แบบงงๆ จนถึงทุกวันนี้ สิ่งหนึ่งที่ยังคงแข็งแรงสำหรับพวกเขาเสมอมาคือความฝันที่อยากใช้ดนตรีให้เป็นอาชีพตลอดไป

ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยบอกว่า ความสำเร็จที่เกินความคาดหวัง อาจจะทำให้วงหวั่นๆ อยู่บ้าง ว่าจะรักษามันไว้ได้อีกนานแค่ไหน ตอนนี้พวกเขายังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า กราฟเส้นทางดนตรีหลังจากนี้จะเป็นยังไงบ้าง ไปฟังคำตอบพร้อมกันได้เลย

ถ้าเทียบกับนักวิ่งจริงๆ กะว่าจะวิ่งแค่ 100 เมตร แต่ตอนนี้เราวิ่งมา 3 กิโลแล้ว

Tattoo Colour a day ฉบับที่ 112 (2009)

ช่วงเวลาที่เหลิงที่สุดในชีวิต

รัฐ : ตอนนั้นปากดีชิบหาย ใครตอบวะ แต่คำพูดดูจั๊มมาก

ดิม : เปิดหนังสือดูดิ

ตง : ตงตอบว่ะ (หัวเราะ) ก็นี่จะวิ่งแค่ 100 เมตรยังมา 3 กิโลเลย ตอนนี้ก็น่าจะวิ่งไปแข่งมาราธอนที่บอสตันแล้ว 

รัฐ : ต้องบอกก่อนว่าตอนนั้นปี 2009 เราเพิ่งออกอัลบั้มสอง กำลังจะเข้าอัลบั้มสาม เป็นช่วงที่ดังมาก ซึมซับความโด่งดังอย่างเต็มที่ จากเด็กขอนแก่นเดินทางมา Smallroom เพื่อจะทำอัลบั้ม จากนั้นชีวิตเราก็ก้าวกระโดดเลย ไม่ได้เป็นขั้นบันได เป็นช่วงที่เราเหลิงที่สุดในชีวิต

ตง : เป็นช่วงที่นิสัยไม่ดีที่สุด อีโก้เยอะที่สุด

รัฐ : อีโก้แต่ละคนในวงอิทธิฤทธิ์ก็จะต่างกันนะ อย่างผมก็จะเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองคิด คือสิ่งที่วิเศษสุดแล้ว ประมาณว่าเชื่อกูดิ เชื่อผมดิพี่ ตอนนั้นเชื่อคนอื่นน้อย แต่ก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกละอายใจว่าทำไมเราคิดแบบนั้น หลังจากนั้นก็พลิกตัวเองให้รู้จักฟังคนอื่นมากขึ้น 

ดิม : ของรัฐเป็นคนที่ไม่ฟังใคร แต่ของผมคือฟังทุกคน อะไรที่คนบอกว่าดี อะไรที่คนบอกว่าสนุก เราทำหมด ใครชวนไปไหน ไปหมดเลย ตอนนั้นเพิ่งจะรู้จักโลกกว้าง เพิ่งจะรู้จักเงินก้อนแรกที่หามาได้ โดยที่ไม่ต้องโทรไปขอพ่อแม่ว่าเงินหมด เงินไม่มีทางหมด เงินมันอยู่ในกระเป๋าเราอยู่แล้ว เวลาไปเที่ยว คนอื่นไม่ต้องออก เราออกเอง คือเป็นสายปาร์ตี้ เจ้าสำราญสุดเหวี่ยง

ตง : ผมเป็นสายหงุดหงิด ใครพูดอะไรไม่เข้าหูนิดหน่อย ก็โกรธเขา สุดท้ายพอเป็นมากๆ ก็โดนเตือนมา แต่ก็ยังดีที่โดนเตือนแล้ว หันกลับไปมองว่า แม่งจริง ส่วนของพี่จั๊มผมจำได้ว่าจะเป็นคนเอาแต่ใจมากๆ อยากได้อันนี้ต้องได้ ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ กู Tattoo Colour นะเว้ย มึงต้องหาให้กูให้ได้ สมมติไปกองถ่ายอยากกินโค้ก แต่ไม่มี มีแต่เป๊บซี่ ก็ไม่ได้กูจะเอาโค้ก

รัฐ : เราคิดว่าตัวเองแม่งแน่ คนส่วนใหญ่จะบอกว่าช่วง 25 คือเบญจเพส เป็นช่วงที่ไม่ดีของชีวิต แต่สำหรับ Tattoo Colour ช่วงอายุ 25 คือจุดพีกของวง เราก็เลยรู้สึกว่าขนาดดวงชะตายังทำอะไรพวกกูไม่ได้เลย! เราคิดถึงขนาดนั้น ก็เลยทำให้คนอื่นที่ทำงานด้วยลำบากใจอยู่เยอะ 

ตง : ถ้าถามว่าตอนนี้เราวิ่งมากี่กิโลแล้ว เราคงนับเป็นกิโลไม่ได้ แต่มันคงเป็นการเดินต่อไปเรื่อยๆ เราไม่ได้หันกลับไปนับแล้วแหละ ว่าเดินมาไกลแค่ไหน เราก็คงไม่ได้วิ่งแล้ว แต่เป็นการเดินแล้วมองบรรยากาศรอบข้าง เดินไปทีละก้าวอย่างมั่นคงมากกว่า 

รัฐ : เหมือนว่าวที่ช่วงแรกกว่าจะให้มันติดลมบนก็ต้องปั่นกันแรงหน่อย พออยู่ในจุดลมบนแล้ว เราก็ต้องประคองให้มันอยู่ในทิศทางที่เราต้องการ พอถึงจุดที่ต้องเอาว่าวลงมาก็ควรจะลงมาสวยๆ ไม่ได้ไปติดต้นไม้หรือเชือกขาดไปซะก่อน

เรื่องใหญ่ในวันนั้นของเด็กชายแทททู

ดิม : ผมติดหนี้พนันบอล ตอนนั้นคิดว่าชีวิตคงจบวันนั้น ครั้งนี้กูต้องโดนแล้วแหละ (หัวเราะ) ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 100 ติดหนี้ 20,000 ปัญหาคือ เล่าให้แม่ฟังอย่างภาคภูมิใจ ดิมเดินโพยบอลนะแม่ ดิมได้ตังค์แล้วนะ แม่ช็อก แม่ร้องไห้ พอมองกลับไปตอนนั้น มันเป็นเรื่องเล็กสำหรับเรา แต่มันใหญ่สำหรับแม่ เงินอาจจะได้มาง่ายก็จริง แต่ก็อาจจะเดือดร้อนคนอื่นทีหลังเหมือนกัน

จั๊ม : ผมสอบตกครั้งแรกช่วงเรียนมหาลัย ตอนนั้นก็รู้แหละว่า เราไม่ได้สนใจในการเรียนวิชานั้นเท่าไหร่ เราไม่ได้ชอบเท่าที่ควร พอสอบเสร็จผลออกมา ก็ติด F ตอนนั้นก็คิดว่า เชี้ย จะบอกแม่ยังไงดีวะ คือเราไม่เคยติดเลย เราเป็นเด็กที่มีความเนิร์ดๆ หน่อย แต่ยังไงก็ต้องบอกแม่แหละ แม่บอกไม่เป็นไร ก็โชคดีไป

ตง : พอมองย้อนกลับไปเรื่องราวต่างๆ ผมรู้สึกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรที่มันใหญ่ เพียงแต่ว่าเราต้องยอมรับว่ามันมีปัญหา ไม่ใช่วิ่งหนีมัน ยอมรับว่ามีปัญหาเพื่อเราจะได้แก้มัน ซึ่งจริงๆ ปัญหาไม่ต้องแก้ด้วยตัวคนเดียวก็ได้ เมื่อก่อนผมจะติดนิสัยเวลามีปัญหาชอบแก้คนเดียว ซึ่งมันจะทำให้ฟุ้งซ่าน พอแก้ไม่ได้ มันก็ตัน สิ่งที่อยากบอกคือ ทุกปัญหาคุณอาจจะยังแก้มันไม่ได้ในตอนนั้น แต่ให้เวลากับมัน ปรึกษาคนที่รู้ คนที่เราไว้ใจ เรามีเพื่อน เรามีพี่ เรามีคนรอบข้างที่สามารถคุยได้ เราต้องมองให้เห็นความจริง ถอยตัวเองแล้วมองกลับไปที่ปัญหา ดูว่าปัญหาคืออะไร แล้วค่อยๆ แก้ไปทีละอย่าง

รัฐ : ผมเคยทะเลาะกับพี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารค่ายเพลง Smallroom) ช่วงที่จะทำอัลบั้ม 3 ตอนนั้นอยู่ในช่วงที่ไม่ฟังใคร ในฐานะมือกีตาร์หรือนักแต่งเพลงผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการมีลายเซ็นมากๆ เพราะถ้ามีลายเซ็นคนก็จะจำเราได้ เรารู้สึกว่ามันสำคัญกว่าสกิลหวือหวาด้วยซ้ำ เราก็มองว่านี่มันคือข้อดีร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ตอนนั้นก็เลยคุยกับพี่รุ่งว่าจะทำอัลบั้ม 3 ยังไง พี่รุ่งก็บอกว่า ‘กลิ่นตัวมึงแรงไป’ ผมก็เลยตอบกลับไปว่า ‘แล้วการเป็นตัวเองมันไม่ดีตรงไหน การเป็นตัวเองมันคือสิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอครับ’ กวนตีนมากตอนนั้นน่ะ ทะเลาะกันแบบใหญ่โต ตั้งแต่ดึกดื่นถึงเช้าเลย 

สิ่งที่อยากพูดคือมันเป็นการโต้แย้งที่เรามืดบอด เพราะการที่ยึดติดว่าเราประสบความสำเร็จจากการที่คิดว่ามีเอกลักษณ์ มีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนมันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นเราก็ต้องพัฒนาและซึมซับจากคนอื่น เพื่อให้ตัวเราเองด้วย สุดท้ายแล้วเราไม่ได้เป็นคนอื่นหรอก แต่เราจะเป็นตัวเองที่มีเรื่องอื่นมาประกอบกันแล้วร่างเราจะเก่งขึ้น เราจะเป็นเซลล์ร่างสอง ร่างสามที่เก่งขึ้น

เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เราใช้ชีวิตด้วยกันมาตลอด

Tattoo Colour a day ฉบับที่ 112 (2009)

ความทรงจำของวงที่ไม่เคยชนะเลยสักครั้ง

รัฐ : การทำวง I-scream 479 สมัยเรียน เรารู้สึกว่ามันเท่ มีเพลงตัวเอง เล่นดนตรี หล่อด้วยไง มันให้หมดอะ 

ดิม : เล่นเพลงแต่งเอง มีแร็ป มีร็อก มันคือความฝันวัยเด็ก

รัฐ : จุดสูงสุดของนักดนตรีที่เป็นเด็กมัธยมในยุคเราคือการได้เล่นดนตรี รอเวลาเลิกเรียนเพื่อจะได้ไปซ้อมดนตรีด้วยกัน ได้เล่นในงานโรงเรียน ได้เล่นในงานประกวด มันคือแพชชันมากๆ กิจกรรมของเด็กมัธยมในเวลานั้นแค่นี้มันก็สนุกมากๆ แล้ว 

ดิม : สมัยนั้นมันไม่มีโลกโซเชียลฯ ไม่มีพื้นที่ให้เล่น เราคิดแค่ว่าเวทีประกวดเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่เราสามารถเอาเพลงตัวเองไปโชว์ได้ เราไปประกวดดนตรีต่างๆ เราไม่เคยชนะรางวัลอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นเราผูกพันกับแฟนคลับ เราบอกคนดูว่าวันนี้ไม่ต้องมาเชียร์ให้ชนะหรอก เพราะยังไงเราก็ไม่ชนะ แต่วันนี้มาดู I-scream 479 เล่นเพลงใหม่ได้ที่เวทีนี้นะ ซึ่งกรรมการให้คะแนนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ เพราะเราไม่ได้ต้องการผลว่าแพ้หรือชนะ เราสนใจแค่ว่าจะใช้เวทีนี้ในการที่จะเปิดตัวเพลงใหม่ จ่ายค่าสมัคร หารกันไม่ถึงร้อยได้เล่นเวทีอาชีพ เครื่องเสียงมืออาชีพ เป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมมากๆ

รัฐ : เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องก็มาชมเพลงว่าเพราะนะ เมื่อไหร่จะแต่งเพลงอีก ไม่รู้ว่าเขาพูดด้วยความจริงใจหรือเขาบิวด์เรา แต่มันก็เป็นกำลังใจให้เราแต่งมาเรื่อยๆ จนมันมีเยอะขึ้น ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดถึงค่ายเพลงหรอก เพราะเคยส่งไปก็เงียบ ซึ่งทางเดียวที่จะมีซีดีเป็นของตัวเองได้คือต้องทำเอง พยายามอัดกันเอง ไรต์แผ่นกันเอง ทำอัลบั้มขึ้นมา นั่นเป็นจุดสูงสุดแล้วตอนที่อยู่ขอนแก่น

ทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกว่าไม่มีอะไรสดใหม่เท่าตอนทำเพลงชุดแรก ทำเพลงช่วงอายุ 18 มันคือ 18 ปี ที่เราใช้เวลาสะสมของ เราตื่นเต้นกับทุกอย่าง เห็นอะไรก็ว้าวไปหมด เราพยายามเอาทุกอย่างมาอัดอยู่ในอัลบั้ม 1 เหมือนเอาความฝันตัวเองมาอัดให้คนได้ฟัง ซึ่งข้อผิดพลาดมันก็มีเยอะ แต่มันคืออัลบั้มที่สดใหม่มาก ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าต้องเป็นมืออาชีพ คิดแค่ว่าสิ่งนี้คือความฝันของเรา

ไปด้วยกันไปได้ไกล

รัฐ : ถ้าสังเกตจะเห็นว่าพวกเรา 4 คนบุคคลิกภาพก็ไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งเราเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก ด้วยความเป็นเพื่อนกันมันก็เลยเชื่อมโยงกัน เอาจริงๆ พวกเราก็แทบจะทะเลาะกันวันเว้นวัน เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็เป็นไปได้หมด แต่เราก็รู้ว่าทะเลาะกันเพราะอะไร แล้วเราก็สามารถหยุดมันได้ บางอย่างสามารถยอมให้เพื่อนได้ บางอย่างเข้าใจกันได้ บางอย่างหาจุดกลางได้ เพราะเราอยู่ด้วยกันมานาน ความคาดหวังของเราคืออยากให้วงเรามันไปต่อมากสุดเท่าที่เป็นไปได้

ดิม: ความฝันของเราคืออยากใช้ดนตรีให้เป็นอาชีพตลอดไปไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ มันเลยทำให้เรือของความฝันลำนี้มันแข็งแรงมาก มันไม่รู้จะแตกไปไหน เพราะสุดท้ายหายไปคนหนึ่งก็ไม่ใช่ Tattoo Colour ออกไปคนหนึ่งก็ไม่รู้จะไปทำอะไรกันอยู่ดี สุดท้ายอยู่ 4 คนมันสามารถไปด้วยกันและไปได้ไกล

รัฐ : ขนาดวันก่อนน้าแอ๊ด คาราบาวยังบอกเลยว่าไม่เลิกละ เปลี่ยนใจ (หัวเราะ)

ดิม : แกพูดในคอนเสิร์ตเลยตอนเพลงจะจบ ผมไม่เลิกแล้วนะครับ อ้าว!

รัฐ : แกอาจจะมีแรงอยู่มากกว่าที่คิด ถ้าเลิก แกก็อาจจะเหงา มันคือทั้งชีวิตแกเลยหรือเปล่า พูดถึงคาราบาวขึ้นมา เรามองวงคาราบาวเป็นไอดอลในเรื่องนี้นะ คาราบาวคือวงที่ดูแลกันเอง ดูแลครอบครัวได้หมดทุกคนเลย ทุกตำแหน่ง ยันคนขับรถตู้ สเตจ ซาวนด์เอนจิเนียร์ เราก็อยากให้องค์กร Tattoo Colour เป็นอย่างนั้น สมัยก่อนจะมีคำถามว่าอยากให้วงเป็นแบบวงไหน เราอยากเป็นวงที่เลี้ยงตัวเองได้แบบนี้แหละ

ดิม : เรายิ่งโชคดีเข้าไปอีกตรงที่ทุกวันนี้มันมีโลกโซเชียลฯ อีก เราก็ไม่ต้องง้อสื่อ เราทำ TCTV กันเองอีก สมัยก่อนนักดนตรียังไม่มีช่องทาง ต้องนอนรอเล่นคอนเสิร์ตตอนกลางคืน ทุกวันนี้ มีทั้งกลางวัน กลางคืนเพิ่มเติมเข้ามา รู้สึกว่าสนุกสนานแล้วก็ไม่คิดว่าจะเลิกกันง่ายๆ

อัลบั้ม 2 ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆ จนน่าตกใจไปแล้ว แต่หลายๆ คนในแวดวงก็ยังมองว่า Tatoo colour เป็นวงเด็กอยู่ อาจจะเป็นเพราะโชคก็ได้

Tattoo Colour a day ฉบับที่ 112 (2009)

โชคหรือตัวจริง

รัฐ : ผมว่าเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วนะ (หัวเราะ) ตอนนั้นไม่ใช่แค่ผมที่คิด เพื่อนหรือพ่อแม่เราก็คิดเหมือนกัน เพราะมันดังเร็ว มันฟลุกไหม แต่คนทั่วไปอาจจะไม่ได้เห็นพาร์ตตอนเราทำงานว่ามันซีเรียส มันจริงจัง มันจับจด มันเครียด กลับไปกลับมา แก้แล้วแก้อีกกันขนาดไหน 

ช่วงแรกเราเห็นวงในค่ายหรือวงในรุ่นเดียวกันมีงานเยอะ กระเป๋ากีตาร์กระเป๋าเดินทางมีแท็กขึ้นสนามบินแปะเต็มเลย หมายความว่ากระเป๋าเดินทางใบนี้มันถูกเดินทางมา มันทัวร์ไปทั่วประเทศแล้ว เรามองว่ามันเท่มาก ตัดภาพมาที่กระเป๋าเราใสๆ มีแต่ฝุ่น เราก็อยากให้กระเป๋ากีตาร์ กระเป๋าเดินทางเราเป็นแบบนั้นบ้าง เราก็เลยพยายามทำเพลง พรีเซนต์ตัวเอง ไปเล่นประจำกลางคืนตามร้านผับต่างๆ เพื่อหาเงิน โปรโมตเพลง โปรโมตตัวเอง คิดในมุมที่เราสามารถพัฒนาและสนุกกับมันได้ด้วย พยายามมีไอเดียสนุกๆ เสมอ 

ทุกครั้งเราก็หวังว่าทุกเพลงที่ปล่อยแม่งจะฮิตชิบหายทั้งหมด แต่ความจริงแล้วก็มีบางเพลงที่เงียบ บางเพลงที่ปล่อยไปตั้ง 5 ปีกว่าจะฮิต บางเพลงที่ร้องเองไม่ฮิต คนอื่นเอาไปร้องแม่งฮิตกว่า ถ้าจะมองว่าฟลุกหรือเป็นเพราะโชคเราก็ยอมรับได้นะ แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นความฟลุกหรือเป็นโชคที่เกิดจากความตั้งใจจริงๆ เราก็ยังตั้งใจทำงานเหมือนเดิม หลังจากนี้ถ้าจะมีโชคให้เราพึ่งอีกก็อยากพึ่งนะ 

เรามีเป้าหมายว่าอยากให้วงอยู่ไปตลอด สามารถดูแลครอบครัวได้ ซึ่งตอนนี้ก็ทำได้แล้ว หลังจากนี้เป้าหมายก็คือทำยังไงให้มันยังอยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราจะทำอะไรได้บ้างตามยุคสมัย เราต้องทำตัววัยรุ่นขึ้นแบบไหน ไม่ควรทำอะไรแล้วในยุคสมัยนี้ อันนี้เป็นเป้าหมายของวงเพื่อไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุด

ความสำเร็จที่เกินความคาดหวังอาจจะทำให้วงหวั่นๆ อยู่บ้างว่าจะรักษามันไว้ได้อีกนานแค่ไหน

Tattoo Colour a day ฉบับที่ 112 (2009)

ถ้าไม่หยุดทำ ยังไงก็สำเร็จ

รัฐ : วันนั้น (ที่วงกำลังมีชื่อเสียง) คงหวั่นมากอยู่ที่พูดไปแบบนั้น วันนี้ถ้าตอบว่าไม่หวั่นแล้วก็คงไม่ใช่ แต่วุฒิภาวะเราวันนี้ อาจจะไม่รู้สึกหวั่นไหวหรืออ่อนแอเท่าวันนั้นแล้ว เพราะเราผ่านมาทั้งหมดแล้ว เราเติบโตขึ้นจากประสบการณ์ เรามีแผนที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ทั้งด้านการทำงาน การแก้ไขตัวเองทั้งภายนอกภายในจิตใจ รู้แล้วว่าถ้าเจอเหตุการณ์ประมาณนี้ต้องรับมือยังไง ไม่ได้เศร้ามาก ไม่กระโตกกระตาก หรือบางเหตุการณ์ที่ดีใจสุดๆ เราก็ไม่ได้ดีใจกับมันขนาดนั้นแล้ว เรานิ่งได้มากขึ้น แต่ภาพลักษณ์คงดูไม่ได้นิ่งมากเพราะเราเป็นคนแบบนี้

ดิม : วันนั้นอาจจะเคว้งอยู่ว่าเราจะทำอะไรกันต่อ แต่วันนี้เราทำมาหมดแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องหวั่นแล้ว ทำต่อไปทีละขั้น รักษาคุณภาพงาน ทำสิ่งที่เรารัก ถ้าไม่หยุดทำยังไงมันก็สำเร็จ 

รัฐ : เวลาใครขอปรึกษาก็จะบอกว่าอย่าท้อ ทำต่อไป ยังไงก็จะถึงวันของเรา ซึ่งคนพูดเองในบางวันมันก็ท้อเอง แต่วันนี้เราผ่านมาแล้ว คำเหล่านั้นมันก็ยังจริงอยู่ ท้อบางทีมันก็เกิดขึ้นแหละ แต่ก็ต้องให้กำลังใจตัวเองว่า สิ่งที่เราบอกคนอื่นไว้ เราก็ต้องบอกตัวเองด้วย 

มีคนนิยาม Tattoo Colour ว่าเราไม่ได้เหมือนเป็นพ่อหรอก เพราะเราก็ดูไม่น่าเคารพขนาดนั้น แล้วเราก็ไม่ได้เป็นเพื่อนหรอก เพราะเราก็ไม่ใช่เด็กแล้ว แต่เราเป็นเหมือนพี่ชายใจดีข้างบ้าน เจอผู้ใหญ่เราก็หยอกได้แบบไม่เกินเบอร์ เจอเด็กเราก็เล่นกับเด็กได้ เจอคนกวนตีนเราก็กวนตีนกลับได้ หรือวันไหนที่เศร้าก็หันมาเจอพี่ชายกลุ่มนี้ หันไปแล้วจะรู้สึกมีความสุขหรือมีคอนเทนต์กับบ้านนี้เสมอ

ถึงแม้วงจะเก่งมากแค่ไหน ก็ยังอยากจะโตขึ้นไปอีกขั้น อยากจะทำเพลงให้คนยอมรับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเรื่อยๆ

Tattoo Colour a day ฉบับที่ 112 (2009)

18 ปี 64 เพลง 6 อัลบั้ม

รัฐ : เราอยู่นานนะ แต่ผมแอบคิดว่าเราไม่ใช่วงที่ทำอัลบั้มเยอะ ถ้าเป็น The Beatles น่าจะ 200 กว่าเพลงแล้วนะ เราอัตราส่วนยังน้อยกว่า ผมยอมรับว่าผมเก่ง แต่ไม่ได้เก่งแบบอัจฉริยภาพขนาดนั้น 

ดิม : ยอมรับจากใครวะ

รัฐ : เอาใหม่ๆ ผมยอมรับว่าผมเป็นอัจฉริยภาพนะ แต่ผมพยายามจะถ่อมตัวให้ว่าดูแค่เก่งระดับหนึ่งก็พอ เดี๋ยวคนจะหมั่นไส้ (หัวเราะ) เอาดีๆ คือเราก็อยากจะทำงานไปเรื่อยๆ บางทีคนอยากมาทำงานกับเราหรือแต่งเพลงให้ ช่วงหลังๆ ปฏิเสธไปเยอะเลย ผมพูดกับเขาตรงๆ ว่าไอเดียผมก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก ไม่ได้เยอะขนาดนั้น ผมจะเก็บไอเดียเหล่านี้ไว้ทำกับวงตัวเอง ไว้ทำกับ Tattoo Colour ถ้าเกิดจะทำผมมีข้อจำกัดนะ

ดิม : ล้านหนึ่ง

รัฐ : ล้านหนึ่งเนี่ย เอาวันไหน เอาเดโมพรุ่งนี้เลยมั้ยพี่ (หัวเราะ)

ตง : ผมมองว่าวง Tattoo Colour เป็นวงที่ทำงานกับคนอื่นไม่เก่ง พอเราต้องทำงานของเราร่วมกับคนอื่นเหมือนเบลนด์เข้าหากันยาก การทำงานของเราและเพลงของวงเราแม่งประหลาด

รัฐ : เพลง Tattoo Colour เป็นเพลงป็อบที่ประหลาด ประหลาดนี่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะ มันแค่ไม่เหมือนกับคนอื่นหรือวิธีที่คนอื่นทำงานโดยสากลเท่าไหร่ เราจะชอบทำอะไรคิดอะไรแบบแผลงๆ เราก็ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งที่คนอยากทำงานกับเราเขาต้องการรึเปล่า เห็นอย่างนี้เราก็เกรงใจเขานะ กลัวว่าเขาจะอึดอัดไหมเวลาทำงานกับเรา 

จั๊ม : ถ้าจะให้เห็นภาพชัดก็คือจุดเปลี่ยนของ Tattoo Colour มีอยู่สามอย่างหลักๆ ตอนอัลบั้มชุดที่ 8 จงเพราะ คือตอนที่พาวงบินสูงทำให้เราหลงระเริง ช่วงที่สองคือช่วงที่กระแสของวงค่อยๆ เริ่มถดถอยลงมาระหว่างอัลบั้มตรงแนวๆ กับ POP DAD เริ่มเห็นภาพว่าเราไม่ใช่วงที่อยู่ในตลาดหรือเป็นกระแสหลักของวงการเพลงขนาดนั้นแล้ว สุดท้ายที่น่าจะชัดที่สุดคือตอนที่ทำอัลบั้มเรือนแพ ทุกคนเริ่มกลับมาเห็นวงอีกครั้งหนึ่ง

เราไม่อยากจะร้องเพลงฟ้าซ้ำๆ จำทำไมซ้ำๆ เพราะเรายังมีไฟที่อยากจะสร้างเพลงใหม่ๆ ให้คนฟังอยู่เสมอ

Tattoo Colour a day ฉบับที่ 112 (2009)

ทำสิ่งที่รักโดยไม่ฝืนตัวเอง

รัฐ : ต้องบอกว่าการทำอะไรซ้ำๆ มันน่าเบื่อจริงๆ นั่นแหละ แต่บังเอิญว่ามันเป็นสิ่งที่เรารักก็เลยไม่ได้รู้สึกเบื่อขนาดนั้น ต้องยอมรับความจริงว่าบางครั้งมันก็เบื่อ เคยพูดกันเล่นๆ บนรถตู้ในวันที่เหนื่อยว่า เราไปทำอาชีพที่เรารักกันเถอะ คนเราเกิดมาอีกกี่ชาติ จะได้เป็นนักดนตรีกี่ชาติ ไม่นับชาติที่ได้เกิดเป็นหมูหมากาไก่อะไรอีก แต่พอขึ้นเวทีเห็นคนดู เห็นบรรยากาศคนที่มารอดูเรา ร้องเพลงกับเรา ความเบื่อหายแล้ว มันก็เป็นความสนุกขึ้นมา 

รัฐ : เราผ่านอัลบั้มชุดที่ 8 มันคือที่สุดของเรา หลังจากนั้นมันก็ต้องลง เราก็ผ่านจุดที่ลงมาแล้วด้วย เพราะงั้นเรารู้แล้วว่าช่วงที่ขึ้นต้องรับมือยังไง ช่วงที่ลงต้องรับมือยังไง การทำอัลบั้มใหม่เราก็จะมองว่าเหมาะสมในช่วงไหนที่กราฟเรายังพอเลี้ยงไหว ไม่เหนื่อยเกินไป ต้องทำอะไรกับใครยังไง หรืออย่าง TCTV มีจุดไหนที่ต้องปรับบ้าง แล้วเราจะทำยังไงให้มันเป็นกราฟเคลื่อนไหวไปทั้งชีวิตเราให้วงเรายังอยู่ต่อได้อย่างดีโดยที่ไม่ฝืนธรรมชาติตัวเอง

พอคิดว่าเราจะอยู่ยาว เราก็ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในกราฟของยุคสมัยของเพลงไทย เราอยากจะเห็นว่าในยุค 5 ปี 10 ปีนี้ Tattoo Colour จะอยู่ตำแหน่งไหน ตำแหน่งนี้ไม่ได้หมายความว่าชนะที่ 1 ที่ 2 นะ แต่หมายความว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ วงเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้น คนมองเรายังไง ซึ่งเราก็อยากให้ผลประกอบการของวงอยู่ในจุดที่ดี เราก็ค่อยๆ ทำไป ถามตัวเอง เฝ้าดูตัวเองเหมือนกันว่าสุดท้ายจะไปอยู่จุดไหนได้บ้าง แค่อย่างน้อยมีวง Tattoo Colour อยู่ในทำเนียบ เพลงไทยก็คงเป็นสิ่งที่เราภูมิใจแล้ว

บทเรียนจากวันนั้นสู่ชาวนัววันนี้

ดิม : อย่าเล่นพนันบอลนะครับ มันไม่ดี (หัวเราะ) ใครเพิ่งจะมีชื่อเสียงหรือเพิ่งจะมีเงินทองก็เก็บเงินให้เป็น อย่าเป็นแบบผม

ตง : กองทุนลดหย่อนภาษี บริหารการเงินให้ดีนะครับ เรื่องอีโก้ก็สำคัญ ทุกปัญหามีทางออก 

จั๊ม : ผมรู้สึกว่าคนเรายิ่งโตยิ่งโง่ ถ้าเราไม่ขวนขวายคำนี้มันก็จะชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะโลกมันกว้างใหญ่มากนะ แต่โลกก็เป็นสถานที่ที่เราแสวงหาโอกาสได้เยอะมากถึงมากที่สุดเช่นกัน ถ้าเราไม่ใช้เวลาให้เกิดความรู้ เราก็จะยิ่งโตและยิ่งโง่ได้ง่ายมากขึ้น 

รัฐ : เมื่อก่อนผมจะกลัวคนอื่นจะมองเราไม่ดี กลัวคนอื่นไม่เข้าใจเรา เราเป็นคนที่ทำอะไรด้วยความตั้งใจแล้วกลัวคนอื่นจะมองเราผิดพลาดไป เหมือนเราสร้างความคาดหวังให้ตัวเองกับคนอื่นมากมาย พอโตขึ้นมาก็เลยรู้ว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครสนใจเราขนาดนั้น ไม่มีใครจะมาจับจ้องเราขนาดนั้นหรอก 

วันนี้แต่งตัวดีพอรึยัง ใส่กางเกงสีแดงเดินออกไปข้างนอกจะอายเขามั้ยเนี่ย คนที่ไปเดินห้างเขามองเราไม่ดีแน่เลย เอาจริงๆ คือไม่มีใครสนใจมึงขนาดนั้น เขาเห็นก็อาจจะแค่คิดแล้วก็ผ่านไป เพราะเขาก็ต้องสนใจแต่เรื่องตัวเอง เพราะฉะนั้นเวลาเราอยากจะทำอะไรก็ทำเลย 

หรือถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเล่นดนตรีมากๆ ก็ไม่ต้องไปคิดหรอกว่าคนอื่นแม่งจะมาดูถูกเรา คนจะชอบพูดว่ามีคนมาเหยียดหยาม มาบุลลีอะไรอย่างนี้ จะบอกว่ามันก็แค่แป๊บเดียวมากๆ สักพักเขาก็ไปสนใจอย่างอื่นแล้ว อาจจะไปด่าคนอื่นต่อ แต่คนที่ติดค้างอยู่มันกลายเป็นเรา ซึ่งเราก็ไม่ต้องไปเสียเวลาไปติดตาม ไปเคียดแค้น ไม่ต้องคิดว่าฉันจะทำไปเพื่อเอาชนะแกในสักวันหนึ่ง เพราะขนาดตอนที่เราเก่งมากๆ มีคนมาชมแป๊บเดียวแล้วเขาก็ไปเหมือนกัน ไม่มีใครสนใจมึงขนาดนั้นหรอก เพราะฉะนั้นโฟกัสแค่สิ่งที่เราทำก็พอแล้ว

PHOTOGRAPHER

Cozy Cream

ไม่ใช่โซดา อย่ามาซ่ากับพี่

gunsept

เด็กหาดใหญ่ แหลงใต้ไม่เป็นแต่ว่า รักดนตรี ศิลปะ ภาพยนตร์

Sisi Wattanagool

มองขึ้นไป….ครับ